xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 2-8 ม.ค.2565

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1."ทักษิณ" หวัง ปีนี้ได้กลับบ้าน เพื่อเป็นของขวัญให้คนไทย พร้อมชี้ ครึ่งปีหลัง อาจมีรัฐบาลใหม่!

เมื่อวันที่ 3 ม.ค. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จำเลยหลายคดี และนักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว The Room 44 ตอนหนึ่งว่า ปี 2565 จะเป็นปีที่หนัก เพราะเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขึ้น ค่าครองชีพจะสูงมาก ขอให้คนไทยอดทน ขอให้คนไทยผ่านพ้นวิกฤตไปให้ได้ แล้วครึ่งหลังน่าจะดีขึ้น ประคองตัวให้พ้นครึ่งปีแรก ปีหลังน่าจะดีขึ้น

นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า “ครึ่งปีหลังน่าจะเป็นรัฐบาลใหม่มานั่งบริหารมากกว่า ขอให้คนไทยมีความหวังว่าจะผ่านพ้นไปได้” เมื่อถามว่า เหตุใดครึ่งปีหลังจะมีรัฐบาลใหม่ นายทักษิณ กล่าวว่า มีหลายประการ อย่างแรกคือ รัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้ เพราะมีความเข้าใจกับประชาชนน้อย เนื่องจากมาจากข้าราชการที่มีสวัสดิการที่ดีคือทหาร คิดว่าประชาชนมีสวัสดิการที่ดี ทั้งที่ประชาชนต้องหาเช้ากินค่ำ จึงต้องเข้าใจประชาชนมากกว่านี้ ไม่ใช่เอาเงินมาแจกประชาชน เพราะแจกอย่างไรก็ไม่พอ คิดว่ารัฐบาลนี้ไปยากจากความสามารถของตัวเอง

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า “อันที่สองเรื่องการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี ถ้าตีความตามลายลักษณ์อักษรและเจตนารมณ์ของผู้ร่าง คือไม่อยากให้ใครอยู่เกิน 8 ปี เพราะกลัวรากจะงอก คิดว่านายกฯ คงถึงเวลาต้องพักผ่อน”

วันต่อมา (4 ม.ค.) นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ วู้ดซัม ได้ร่วมพูดคุยใน CARE Talk x CARE ClubHouse ตอน “ถอดบทเรียนสึนามิเพื่อกู้วิกฤตโควิด ประเทศจะรอด ผู้นำต้องฉลาดจริงไหม?” ซึ่งช่วงหนึ่ง นายทักษิณได้กล่าวให้กำลังใจคนไทย ตอนหนึ่งว่า ในปี 2565 ขอให้คนไทยใช้ความอดทนใน 1 ปีที่ผ่านมาเป็นจุดแข็งให้ท่านอดทนต่อไป ส่วนตัวอยากอวยพร แต่ไม่รู้อวยพรหรือเป็นการสาปแช่งคนที่ไม่ชอบหน้าตนหรือเปล่า เพราะจะขออวยพรให้ตนได้กลับบ้าน ให้ตนไปช่วยงาน เอาไปใช้งาน

ผมเนี่ยกลับบ้าน ผมต้องการอะไรรู้ไหม 1.อยากเลี้ยงหลานในเวลาที่เหลือ 2.ใครเป็นรัฐบาลก็ช่าง ถ้าอยากให้ช่วยคิดแก้ปัญหาให้ ตนพร้อมไม่คิดเงิน 3.จะรับจ้างบรรยายให้โอเลี้ยงแก้วหนึ่งก็พอ 4.จะไปชวนบรรดาเศรษฐีในเมืองไทย มาลงขันช่วยส่งเสริมสตาร์ทอัพ เพราะว่าเศรษฐีแต่ละคนมีธุรกิจของตัวเอง พวกสตาร์ทอัพก็กลัวถูกกลืน ไม่กล้าเข้าไปใช้ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมมา เศรษฐีทั้งหลายเอาตังค์มาลงขันกับผม ผมจะลงด้วย แล้วเราก็จะมาส่งเสริมสตาร์ทอัพให้คนรุ่นใหม่ แล้วถ้ามาเสนอไอเดียไม่ได้เรื่อง ผมก็จะบอกว่าไม่ได้เรื่องอย่างไร จะช่วยสอน ไปทำมาใหม่ ทำดีเมื่อไหร่มาเอาตังค์ อันนี้คือสิ่งที่ผมอยากจะทำ

ผมปวารณาตลอดเรื่องของพุทธศาสนา ผมอยากเห็นพุทธศาสนาของเราเข้มแข็ง วันนี้ค่อนข้างจะเป๋ เพราะฉะนั้นผมก็อยากช่วย เรื่องของแนวคิดทำให้พุทธศาสนาเข้มแข็ง เป็นหน้าที่ของคนแก่คนหนึ่ง แล้วไม่ต้องห่วงครับใครที่ด่าผมไว้เยอะแยะ ไม่ต้องกลัวหรอก ผมไม่ทำอะไรหรอก ผมก็ไม่ด่ากลับหรอก ถ้าผมด่าผมด่าตอนนี้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นผมก็จะกลับไปอย่างสันติ ผมจะเปลี่ยนชื่อเป็นสันติก็ยังไงอยู่ เป็นโทนี่ไปแล้วจะเป็นสันติก็ไม่ใช่ แต่ว่าให้รู้ว่าผมกลับไปไม่เป็นปัญหากับประเทศไทยแน่ แต่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและคนไทย

หวังว่าปี 65 ผมจะเป็นของขวัญให้คนไทย ไปทำงานรับใช้คนไทยและประเทศไทย แล้วไปช่วงไหนเมื่อไหร่ ผมจะกระซิบน้องอิ๊ง (อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร) คนเดียว น้องอิ๊ง จะเป็นคนบอกคนเดียว คนอื่นไม่บอก …ไม่ได้ มันเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ …ไม่เป็นภาระคนไทยแน่นอน

2.สธ.ยกระดับเตือนภัยโควิด จาก 3 เป็น 4 หลังโควิดพุ่ง ด้าน ศบค.ไม่ล็อกดาวน์ เพิ่มพื้นที่สีส้ม ขอ WFH ต่อ 14 วัน!


สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศ ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาก หลังผ่านเทศกาลปีใหม่ ส่งผลให้กระทรวงสาธารณสุขต้องยกระดับการแจ้งเตือนภัยโควิด โดยเมื่อวันที่ 6 ม.ค. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้แถลงข่าวด่วนว่า ขณะนี้ไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 5,775 ราย เป็นการระบาดเพิ่มขึ้นเข้าสู่อีกระลอกหนึ่ง สธ.อยากเปลี่ยนระดับการเตือน จากเดิมระดับ 3 เป็นการเตือนระดับ 4 คือ มีข้อแนะนำเพิ่มขึ้น มาตรการต่างๆ คงตามมา

คือ 1.อาจมีการปิดสถานที่เสี่ยง ที่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อ มีการเพิ่มมาตรการต่างๆ ให้มากขึ้นในสถานที่เสี่ยง 2.ชะลอการเดินทางต่างๆ เช่น การทำงาน จึงอยากให้ Work from home หากไม่จำเป็นในการเดินทางข้ามจังหวัด ก็อยากให้ประชาชนชะลอไปก่อน 3.การจำกัดการรวมกลุ่มทำกิจกรรมต่างๆ ต้องมีมาตรการเคร่งครัดมากขึ้น รวมกลุ่มให้ลดลง ไม่ให้แพร่เชื้อ และ 4.ปฏิบัติตามมาตรการ VUCA คือ Vaccine-Universal Prevention-Covid-19 free setting และ ATK

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวด้วยว่า “ผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตลดลง แต่การติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด ด้วยการเข้าใช้บริการสถานที่ระบบปิดในร้านอาหารกึ่งผับ บาร์ มีกิจกรรมงานเลี้ยง งานบุญทางศาสนา ที่อาจจะมีการระวังไม่เพียงพอ จึงทำให้มีการระบาด การเดินทางต่างๆ ก็มีผลต่อการแพร่กระจายเชื้อ อยากให้ประชาชนที่กลับมาจากต่างจังหวัดได้เฝ้าระวังอาการตัวเอง อย่างน้อย 14 วัน หากทำงานจากที่บ้านได้จะดีมาก โดยเฉพาะสัปดาห์แรก ตรวจ ATK เป็นประจำ เพื่อให้เราพบเชื้อได้เร็ว และควบคุมป้องกันอย่างรวดเร็ว”

วันต่อมา (7 ม.ค.) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. เผยว่า ที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีมติเสนอให้ปรับมาตรการคุมโควิด-19 รอบใหม่เพื่อรับมือโควิดสายพันธุ์โอมิครอน เบื้องต้นมีมติประกาศพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) จำนวน 69 จังหวัด ซึ่งถือเป็นการประกาศคุมทั้งประเทศ ยกเว้นเพียง 8 จังหวัดนำร่องท่องเที่ยวสีฟ้า

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวด้วยว่า “มาตรการภายใต้พื้นที่ควบคุม ไม่ล็อกดาวน์ ไม่ปิดสถานศึกษา ไม่ห้ามออกนอกเคสถาน ห้ามจัดกิจกรรมรวมกลุ่มเกิน 500 คน และขอความร่วมมือ WFH ต่ออีก 14 วัน สิ้นสุดวันที่ 31 ม.ค.นี้”

สำหรับพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) ที่เพิ่มขึ้นจาก 39 จังหวัด เป็น 69 จังหวัด จากเดิม 39 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชุมพร ชัยนาท ชัยภูมิ เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด ตาก นครนายก นครปฐม นครพนม นครราชสีมา นครศรีธรรม ราช นครสวรรค์ นราธิวาส น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ มหาสารคาม มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ยะลา ร้อยเอ็ด ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระแก้ว สระบุรี สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุบลราชธานี

ส่วนพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว 8 จังหวัด (สีฟ้า) ได้แก่ กทม. กาญจนบุรี กระบี่ ชลบุรี จันทบุรี ปทุมธานี พังงา และภูเก็ต พื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว ใช้มาตรการเช่นเดียวกับพื้นที่เฝ้าระวัง

ทั้งนี้ ศบค. มีมติปรับมาตรการโควิด-19 สำหรับสถานประกอบการ ที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ให้เปิดในรูปแบบร้านอาหาร โดยต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด /กทม.ก่อนวันที่ 15 ม.ค.นี้

ส่วนพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) อนุญาติให้ดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ถึง 21.00 น. แต่ร้านต้องผ่านมาตรฐาน SHA+ หรือ Thai Stop Covid ยกเว้นพื้นที่สีส้ม 69 จังหวัดไม่อนุญาต

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า “การผ่อนปรนให้เปิดนั่งดื่มแอลกอฮอล์ได้ มีการกำชับจากประธาน ศบค.ให้คุมเข้มป้องกันการแพร่ระบาด ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตาม จะให้ ศปม.ระดับจังหวัดคุม และขอให้ดำเนินคดี สั่งปิดร้านที่ฝ่าฝืนทันที”

สำหรับกิจการ กิจกรรมอื่นในพื้นที่สีส้มทั้งหมด เช่น ร้านเสริมสวย สถานกวดวิชา สถานรับเลี้ยงเด็ก ลานกีฬา ห้องสมุด ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ โรงภาพยนตร์ ร้านสะดวกซื้อ ตลาด ตลาดนัด ร้านอาหารทั้งในและนอกห้างสรรพสินค้า สถานบริการนวด สปา ยังเปิดดำเนินการได้ตามปกติ

3. “พัลลภ” แฉ ถูก “ทักษิณ” สั่งปลดพ้น พท. ด้าน “เรืองไกร-ศรีสุวรรณ” ยื่น กกต.สอบปม “ทักษิณ” ครอบงำ พท.!



เมื่อวันที่ 3 ม.ค. พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตสมาชิกพรรคเพื่อไทย แกนนำโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 7 (จปร.7) กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวถูกปลดออกจากสมาชิกพรรคว่า เป็นความจริง ซึ่งข่าวที่ออกมาเนื่องจากมีผู้สื่อข่าวโทรศัพท์มาสวัสดีปีใหม่ และได้สอบถามเรื่องสุขภาพ รวมถึงเรื่องของการทำงานในพรรค ตนจึงได้บอกว่าถูกปลดออก โดยไม่ได้รับแจ้งเหตุผลว่าเกิดจากสาเหตุใด

พล.อ.พัลลภ กล่าวต่อว่า เชื่อว่าการที่ตนถูกปลดไม่ใช่เหตุผลเรื่องการปรับปรุงพรรค เพราะเป็นการปลดตนเพียงคนเดียว โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้ามาก่อน ทราบเมื่อตอนที่พรรคเพื่อไทยจัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งตนก็จะไปร่วมงาน แต่ลูกน้องโทรศัพท์มาบอกว่าเขาลบชื่อนายออกแล้ว ทำให้ทราบมาตั้งแต่ตอนนั้น จึงได้โทรศัพท์สอบถามจากนายชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้รับทราบว่า นายทักษิณ ชินวัตรให้ปลด ซึ่งตนก็งงมาก เพราะไม่ได้ไปทำอะไรให้

“ผมก็โทรศัพท์ไปหาหมอชลน่านในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าพรรค และเคยมีบุญคุณกันมา ผมเคยช่วยชีวิตเขาจากพวกผู้มีอิทธิพลในจังหวัดน่านจะเก็บเขา ผมก็ชวนลูกน้อง 3-4 คนไปช่วย ไปเคลียร์ให้จนจบ หลังจากนั้นเขาก็ได้เป็น ส.ส.ยกทีม ทำให้ตอนแรกถามเหตุผลเรื่องปลดเขาก็อึกอัก ไม่ยอมบอก แต่ตอนหลังก็คาดคั้นไป เขาถึงบอกว่าทักษิณให้ปลดออก แต่ถามว่าผมทำผิดเรื่องอะไร เขาก็ไม่ตอบ”

เมื่อถามว่า หากเป็นแบบนี้แล้วจะต้องต่อสายตรงถึงนายทักษิณหรือไม่ พลเอกพัลลภ กล่าวว่า “ผมไม่ต่อสายคุยกับเขาหรอกครับ เพราะผมเช็กแล้วพบว่าเขาเป็นคนสั่งปลด ไปพูดก็ไม่มีประโยชน์ เนื่องจากเขาทำไปแล้ว ผมไม่อยากวิจารณ์อะไรมาก เมื่อปลดแล้วคือเขาไม่อยากได้เราก็แค่นั้น เขาเป็นเจ้าของพรรค แต่ก็ยังสงสัยว่าผมไปทำอะไร หากมันปรับทั้งหมดผมก็ไม่ว่าอะไร แต่นี่เอาออกคนเดียว ยังงงอยู่ว่า ผมไปทำอะไร และไม่มีเหตุผลชี้แจง ถาม นพ.ชลน่านก็บอกว่าคนนู้นเขาเป็นคนปรับออก หากปรับหลายคนก็เข้าใจว่าเป็นการปรับทัพใหม่ เพื่อเอาเด็กเข้ามา นี่ปรับผมออกคนเดียว”

พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ตนได้ข่าวว่า มีการไปบอกให้สื่ออย่านำเสนอข่าว อาจเกรงว่าจะมีผลกระทบ หรือถูกยุบพรรค เพราะถ้าเข้าข่ายเป็นการแทรกแซง ก็จะถูกยุบพรรค

วันต่อมา (4 ม.ค.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.พัลลภระบุว่า ถูกนายทักษิณปลดออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยว่า อาจจะเป็นหลักฐานที่มีมูลอันควรเชื่อได้ว่า พรรคเพื่อไทยเข้าข่ายกระทำการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 28 หรือไม่ ตนจึงได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์อีเอ็มเอสถึงประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แล้วในเช้าวันนี้ (4 ม.ค.) เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว

วันเดียวกัน (4 ม.ค.) มีรายงานว่า นายทักษิณ ชินวัตร ได้ให้สัมภาษณ์สื่อผ่านออนไลน์ กรณีที่ถูกระบุว่า เข้าไปแทรกแซงพรรคเพื่อไทย และสั่งปลด พล.อ.พัลลภ ออกจากพรรค ทั้งที่ตัวเองอยู่ต่างประเทศ โดยนายทักษิณ กล่าวว่า อย่างว่ามีบางคนได้ประโยชน์ ถ้าพรรคเพื่อไทยถูกยุบ มีพรรคได้ประโยชน์อยู่ ตนไม่รู้เรื่อง ไม่ได้โทรศัพท์คุยกับ พล.อ.พัลลภ มาหลายปีแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นก็สงสัย ทำไมมาโวยเช่นนี้ ผมไม่ทราบเลย งานประชุมพรรคที่ จ.ขอนแก่น เป็นงานประชุมสมาชิกพรรค ไม่ใช่การประชุมกรรมการบริหารพรรค “ยืนยันที่ผ่านมาผมไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทำกิจกรรมของพรรคเพื่อไทย เพียงแต่พูดคุยกันในฐานะคุ้นเคยรู้จักในเรื่องทั่วๆ ไป”

วันเดียวกัน (4 ม.ค.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่ พล.อ.พัลลภ อ้างว่าถูกปลดออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ตามคำสั่งของนายทักษิณ ชินวัตร และมีผู้นำไปร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบและพิจารณายุบพรรคเพื่อไทย โดยยืนยันว่า การที่ พล.อ.พัลลภ ระบุว่า ถูกลบชื่อออกจากที่ประชุมพรรคเมื่อวันที่ 28 ต.ค.นั้น ไม่น่าจะเป็นความจริง เพราะพรรคได้พิจารณาเชิญเฉพาะผู้ที่จะสามารถเข้าร่วมประชุมได้จริงๆ ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ

นพ.ชลน่าน กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ พล.อ.พัลลภ กล่าวอ้างว่า ถูกปลดออกจากการสมาชิกพรรคเพื่อไทย สามารถยืนยันได้ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะ พล.อ.พัลลภ ยังคงเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และเป็นสมาชิกแบบตลอดชีพ การบอกว่าถูกปลดจากการเป็นสมาชิกพรรค น่าจะเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และว่า การกล่าวอ้างว่ามีการพูดคุยทางโทรศัพท์กับผม โดยระบุถึงบุคคลภายนอกมาสั่งการให้ปลดจากการเป็นสมาชิกพรรคนั้น ได้ยืนยันแล้วว่า เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น การจะไปอ้างถึงคนแดนไกลหรือบุคคลภายนอกมาสั่งปลด จึงเป็นไปไม่ได้

ส่วนกรณีที่มีผู้ไปร้องต่อ กกต. อ้างว่าอาจเข้าข่ายการยุบพรรคหรือไม่นั้น นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ต้องฝากไปถึงผู้ร้องที่มีเจตนาที่จะร้องยุบพรรคเพื่อไทยด้วยว่า หากมีการร้องเท็จ พรรคเพื่อไทยก็จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย

นอกจากนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ จะร้องให้ กกต.ตรวจสอบพรรคเพื่อไทย กรณี พล.อ.พัลลภ ออกมาระบุว่า นายทักษิณสั่งปลดตนจากสมาชิกพรรคแล้ว ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เข้ายื่นคำร้องต่อ กกต.เมื่อวันที่ 6 ม.ค. เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีเดียวกัน “ผู้ที่จะวินิจฉัยได้ว่า กรณีที่เกิดขึ้นจากการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.พัลลภนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ เป็นหน้าที่และอำนาจของ กกต.ที่จะต้องวินิจฉัยตามที่กฎหมายกำหนด”

ส่วนกรณีที่นายทักษิณและ นพ.ชลน่าน ออกมาปฏิเสธไม่ได้มีการปลด พล.อ.พัลลภนั้น นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ไม่รู้ว่าเชื่อได้มากน้อยเพียงใด แต่เป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชนที่ถูกพาดพิงถึง ย้อมต้องปฏิเสธ ต้องดูพฤติการณ์ การกระทำต่อกรณีที่เกิดขึ้นว่า สอดรับกับข้อเท็จจริงที่ พล.อ.พัลลภ ออกมาให้สัมภาษณ์หรือไม่

4. ปลัดกลาโหม สั่งปลด "อลงกรณ์ ปลอดดี" ทหารเรือกร่างออกจากราชการ ฐานประพฤติชั่วร้ายแรง!



เมื่อวันที่ 7 ม.ค. รายงานข่าวแจ้งว่า พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ลงนามคำสั่งกระทรวงกลาโหม เรื่อง ให้ปลดนายทหารสัญญาบัตรออกจากราชการ โดยนายทหารดังกล่าว คือ น.อ.อลงกรณ์ ปลอดดี ร.น. หมายเลขประจำตัว 1325801253 (พรรค นว.) ประจำ ฐท.สส. ให้ปลดออกจากราชการ เป็นนายทหารกองหนุน ไม่มีเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ สังกัดกรมกำลังพลทหารเรือ (กพ.ทร.) เนื่องจากกระทำผิดวินัยทหารฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โดยคำสั่งให้มีผลทันทีตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค. 2565 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าวมีขึ้นหลังจากโลกโซเชียลฯ ได้มีการแชร์คลิปชายรายหนึ่ง ทราบชื่อคือ น.อ.อลงกรณ์ ปลอดดี อายุ 52 ปี ผู้อำนวยการกองอสังหาริมทรัพย์ ฐานทัพเรือสัตหีบ เข้ามาหาเรื่องเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ออกตรวจป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดชลบุรี โดยใช้ถ้อยคำที่หยาบคายและขว้างแก้วใส่ พร้อมอ้างชื่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อ้างว่ามีเพื่อนเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 47 ขู่ว่าจะย้ายทั้งโรงพัก และอ้างว่า ตนเองจบหลักสูตรนาวีซีลอเมริกาด้วย เหตุเกิดที่ร้านอาหาร โกดัง 168 พิกัดแยกปลาหมึก ทางเข้าตลาดสัตหีบ หมู่ 4 ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เมื่อคืนวันที่ 23 ธ.ค. 2564

นอกจากนี้ยังมีอีกคลิปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งแถวเอกมัย กรุงเทพฯ เมื่อคืนวันที่ 16 ธ.ค.2564 โดยชายรายหนึ่งมาหาเรื่องกับทางร้าน เพื่อไม่ต้องจ่ายค่าอาหารและเครื่องดื่ม มีเนื้อหาแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง อ้างว่าเป็นองครักษ์ ท้าให้มาจับกุมตัว จะได้รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นกระจอก จะรื้อร้านเมื่อไหร่ก็ได้ ไปเรียกใครมาก็ได้ รวมทั้งพูดทำนองว่าจะเข้าสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเขตพระราชฐานให้ดู และระบุว่า "กูใหญ่ที่สุดในประเทศ" พร้อมถามว่าเป็นใคร ท้าให้ไปเรียกบ้านใหญ่ชลบุรี ซึ่งกล่าวพาดพิงถึงตระกูลคุณปลื้ม และให้ไปเรียกบ้านใหญ่นครปฐม ซึ่งกล่าวพาดพิงถึงตระกูลสะสมทรัพย์ เรียกใครมาก็ได้ในประเทศนี้ เรียกนายกรัฐมนตรีมาก็ได้ อ้างว่าเพื่อนของตนเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่าจะถูกปลด แต่ก็ไม่เห็นจะถูกปลด ตนโปรโมทมาจนจะคุมภาคตะวันออกทั้งหมด ประกาศกร้าวว่าเรียกใครมาก็ได้ประเทศนี้ มึงขี้ครอกประเทศนี้ ใครคุ้มกบาลมึงเรียกมา"

ซึ่งกรณีดังกล่าว พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้รับรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมสั่งการให้หน่วยต้นสังกัด เรียกตัว น.อ.อลงกรณ์ เข้ารายงานตัวโดยด่วน และให้เจ้าหน้าที่สารวัตรทหารเรือควบคุมตัวนายทหารคนดังกล่าว นำไปเข้ารับการธำรงวินัย ที่ศูนย์ธำรงวินัยกองทัพเรือ ต่อมา พล.ร.อ.สมประสงค์ และ พล.ร.ท.นฤพล เกิดนาค ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ได้เข้ารับการธำรงวินัย เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2564

วันเดียวกัน (7 ม.ค.) มีรายงานว่า ศาลมณฑลทหารบกที่ 14 ได้อนุมัติหมายจับ น.อ.อลงกรณ์ ปลอดดี ในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย, ข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย และหมิ่นประมาท

โดยหมายจับดังกล่าวมีขึ้นหลังกระทรวงกลาโหมมีคำสั่งให้ ปลด น.อ.อลงกรณ์ ปลอดดี ออกจากราชการ เป็นนายทหารกองหนุน ไม่มีเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ เนื่องจากกระทำผิดวินัยทหารฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ล่าสุดมีรายงานว่า น.อ.อลงกรณ์ ได้ถูกควบคุมตัวเข้าเรือนจำ มทบ. 14 ฝากขังครั้งแรก เนื่องจากกระทำความผิดขณะยังเป็นทหาร โดยยังไม่มีญาติเดินทางมายื่นขอประกันตัวแต่อย่างใด

5. รวบแล้ว รปภ.หื่นขืนใจสาวในคอนโดฯ ย่านฝั่งธนฯ พบเคยก่อเหตุจนติดคุก เพิ่งพ้นโทษไม่กี่ปี!



เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 3 ม.ค. ล่วงเข้าวันที่ 4 ม.ค. เวลาประมาณ 01.00 น. นายมนตรี ใหญ่กระโทก อายุ 41 ปี หัวหน้า รปภ. คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งย่านบางแค ได้ก่อเหตุข่มขืนหญิงสาว อายุ 36 ปี ซึ่งเป็นลูกบ้านที่พักอาศัยภายในคอนโดมิเนียมดังกล่าว โดยเหตุเกิดหลังจากหญิงดังกล่าวเข้าห้องพักไม่ได้ เพราะลืมกุญแจไว้ในห้องพัก จึงเรียกนายมนตรีให้ช่วยตามช่างกุญแจมาเปิดห้องพัก หลังจากเปิดได้เรียบร้อย นายมนตรีได้ลงไปส่งช่างกุญแจ ภายหลังได้กลับมาเคาะห้องหญิงดังกล่าวอีกครั้ง หลังจากหญิงดังกล่าวเปิดประตู นายมนตรีได้ผลักผู้เสียหายเข้าไป ก่อนล็อกประตู และใส่กุญแจมือหญิงดังกล่าว ก่อนข่มขืน ซึ่งภายหลังหญิงดังกล่าวได้หนีออกมา พร้อมโทรแจ้ง 191

ซึ่งตำรวจเดินทางมาถึงคอนโดฯ ในเวลาที่รวดเร็ว แต่ไม่สามารถขึ้นคอนโดฯ ได้ เนื่องจาก รปภ.ด้านล่าง ไม่อนุญาตให้ตำรวจขึ้น โดยอ้างว่า ต้องแจ้งหัวหน้า รปภ.ก่อน แต่ติดต่อหัวหน้า รปภ.ไม่ได้ จึงไม่สามารถให้ขึ้น โดยอนุญาตแค่ให้ตำรวจดูกล้องวงจรปิด ส่งผลให้เวลาผ่านไปนาน 2 ชม.ทำให้นายมนตรี ผู้ก่อเหตุหลบหนีไปได้

วันต่อมา (5 ม.ค.) ตำรวจ สน.เพชรเกษม ได้ขอศาลอาญาธนบุรีอนุมัติหมายจับนายมนตรี ข้อหาข่มขืนผู้อื่นโดยผู้นั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้, บุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน ขณะที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แจ้งลงภาพนายมนตรี พร้อมตำหนิรูปพรรณ ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติอาชญากรพบว่า นายมนตรีเคยก่อเหตุข่มขืนเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เมื่อปี 2556 และถูกศาลสั่งจำคุก โดยเพิ่งพ้นโทษมาเมื่อปี 2560

ต่อมา (6 ม.ค.) พล.ต.ต.ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว ได้สั่งการให้ ผกก.สส.ภ.จว.สระแก้ว สนธิกำลังร่วมกับชุดสืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล เข้าปิดล้อมพื้นที่บ้านของนายมนตรี หลังได้รับแจ้งว่า ผู้ต้องหาเดินทางกลับไปที่บ้านแม่ที่ อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว และขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้าน เพื่อไปซ่อนอยู่ที่เพิงพักแห่งหนึ่งใกล้กับเขตแนวป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก ทั้งนี้ ระหว่างการติดตามจับกุม เจ้าหน้าที่ได้ยินเสียงปืนยิงสวนกลับมา คาดว่าคนร้ายน่าจะพกปืนไว้กับตัวด้วย

ในเวลาต่อมา มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวนายมนตรีได้ หลังจากแม่และญาติช่วยกันเกลี้ยกล่อมให้ยอมมอบตัว ก่อนที่นายมนตรีจะยอมออกจากป่าที่หลบซ่อนมามอบตัว หลังจากหนีไป 62 ชั่วโมง

ส่วนกรณีที่สังคมตั้งคำถามกรณีนิติบุคคลคอนโดมิเนียมและบริษัท รปภ.ที่รับนายมนตรีเข้าทำงาน มีการตรวจสอบประวัติหรือไม่ เพราะนายมนตรีเคยก่อเหตุคดีลักษณะเดียวกันกับเยาวชนที่ จ.สระแก้วมาก่อนนั้น ทาง บช.น.ได้สั่งให้ตรวจสอบว่า มาจากความบกพร่องในส่วนใด ทำไมถึงให้ใบอนุญาตนายมนตรีไปประกอบอาชีพได้ ทั้งมีคุณสมบัติต้องห้าม ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง

ล่าสุด (8 ม.ค.) ตำรวจ สน.เพชรเกษม ได้ยื่นคำร้องขอศาลอาญาธนบุรีฝากขังนายมนตรี เนื่องจากต้องสอบพยานอีก 5 ปาก รอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือและประวัติต้องโทษของผู้ต้องหา พร้อมคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวไป เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี และไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุร้าย ด้านศาลอนุญาตให้ฝากขังได้

ทั้งนี้ ไม่มีญาติมายื่นขอประกันตัวนายมนตรีแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่จึงนำตัวไปคุมขังไว้ที่เรือนจำพิเศษธนบุรีต่อไป

ด้านนายปกครอง อรรจนาการ ผู้จัดการพื้นที่ของคอนโดฯ ดังกล่าว พร้อมทนายความ ได้เดินทางเข้าพบ ผกก.สน.เพชรเกษม เพื่อมอบหลักฐานแสดงความบริสุทธิ์กรณีที่สื่อออนไลน์กล่าวหาว่า ทางโครงการประวิงเวลา ส่งผลให้คนร้ายหลบหนี “ยืนยันว่า ไม่ได้ประวิงเวลาแต่อย่างใด หากดูจากภาพกล้องวงจรปิด ญาติผู้เสียหายเดินทางไปยังตึกเอ ทว่าเหตุเกิดที่ตึกบี ใช้เวลาไม่นาน ในส่วนญาติผู้เสียหายที่ไม่สามารถขึ้นอาคารได้และตบหน้า รปภ.ที่ประจำอยู่ป้อมหน้าคอนโนฯ ในคืนเกิดเหตุนั้น เป็นเพราะ รปภ.คนดังกล่าวไม่มีคีย์การ์ด...” นายปกครอง กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ติดต่อไปทางผู้เสียหายและบริษัทรักษาความปลอดภัยแล้ว แต่ทางผู้เสียหายยังไม่พร้อมที่จะพูดคุย ซึ่งจะเร่งเยียวยาโดยด่วน


กำลังโหลดความคิดเห็น