รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความห่วงเด็กเล็กอายุ 5-11 ขวบควรฉีดวัคซีนเพราะจะได้ประโยชน์มากกว่า ลดป่วยหนัก-เสียชีวิต แนะควรมี ATK ติดบ้าน มีอาการตรวจได้ทันที อย่าหวังกับระบบสาธารณสุข เผยกลางเดือนมกราคมจะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
วันนี้ (6 ม.ค.) เฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat" ของ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความอัปเดตสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก ที่มีรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 297 ล้านราย จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้มาจากทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ ซึ่งรวมกันคิดเป็นร้อยละ 88.15 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 92.49 ล่าสุดจำนวนติดเชื้อใหม่จากทวีปยุโรปนั้นคิดเป็นร้อยละ 53.98 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 55.86 เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปครอง 5 ใน 10 อันดับแรก และ 12 ใน 20 อันดับแรกของโลก
นอกจากนี้ หมอธีระยังได้อัปเดตความรู้เกี่ยวกับ "โอมิครอน" ในประเทศไทยว่า
"Omicron นั้นมีการติดเชื้อในเซลล์ปอดน้อยลงกว่าเดลตา โดยตอนนี้มีงานวิจัยในห้องแล็บ และในสัตว์ จำนวน 7 ชิ้นจากอเมริกา สหราชอาณาจักร เบลเยียม ฮ่องกง และญี่ปุ่น ได้ผลออกมาสอดคล้องกัน ซึ่งก็เป็นไปในทางเดียวกับความรู้จากงานวิจัยอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นว่าสายพันธุ์ Omicron นั้นมีการเปลี่ยนแปลงกลไกการนำไวรัสเข้าสู่เซลล์ จากเดิมที่สายพันธุ์ก่อนๆ อาศัยตัวรับร่วม TMPRSS2 แต่ Omicron ใช้กลไกแบบ endocytosis
นอกจากนี้ยังพบว่า Omicron จะติดเข้าเซลล์ที่อยู่ในหลอดลม และแบ่งตัวได้มากกว่าเดลตา 70 เท่า นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อติดเชื้อได้มากขึ้นกว่าเดิม
อีกเรื่องที่สำคัญและได้รับคำถามมามากจากผู้ปกครองคือ ความกังวลเรื่องผลข้างเคียงจาก mRNA vaccine (Pfizer/Biontech) ในเด็กเล็กอายุ 5-11 ขวบ
ล่าสุดมีข้อมูลจาก US CDC ชี้ให้เห็นว่า ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากการฉีดวัคซีน Pfizer/Biontech ในเด็ก 5-11 ขวบนั้นมีน้อยมาก โดยในเด็กผู้ชายจะพบภาวะดังกล่าวเพียง 4.3 คนจาก 1,000,000 โดสที่ฉีด และในเด็กผู้หญิงจะพบเพียง 2 คนจาก 1,000,000 โดสที่ฉีด ทั้งหมดเกิดหลังได้รับเข็มที่ 2
ทั้งนี้ ขนาดของวัคซีน Pfizer/Biontech ที่ใช้ในเด็กนั้นจะมีขนาดต่ำกว่าผู้ใหญ่ 3 เท่า ดังนั้นหากพิจารณาตามข้อมูลวิชาการแล้ว ท่ามกลางการระบาดอย่างหนักทั่วโลก การฉีดวัคซีนในเด็กนั้นจะเกิดประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการ ลดโอกาสป่วยรุนแรง และลดโอกาสเสียชีวิต ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นนั้นมากกว่าความเสี่ยงจากการฉีดวัคซีน
สำหรับประชาชนไทย หากดูจากธรรมชาติการระบาดของ Omicron ของต่างประเทศ คาดว่าถัดจากกลางเดือนมกราคมการระบาดระลอกที่ 4 จาก Omicron ของไทยเราจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ปัญหาที่เห็นชัดเจนคือ การเข้าถึงบริการตรวจคัดกรองโรค ไม่ว่าจะ RT-PCR หรือ ATK ก็ตาม
การมี ATK เก็บไว้ที่บ้านบ้างก็จะเป็นประโยชน์ เวลาที่สมาชิกในบ้านมีอาการไม่สบายหรือสัมผัสความเสี่ยงมา หากตรวจได้ผลบวก โอกาสติดสูง หากตรวจได้ผลลบ อย่าวางใจ มีโอกาสเกิดผลลบปลอมได้ ขอให้ตรวจซ้ำในวันถัดๆ ไป เหนืออื่นใด โอกาสที่ระบบตรวจคัดกรองโรคของประเทศเราจะมีศักยภาพเพียงพอที่จะรองรับความต้องการตรวจจริงตอนที่ระบาดหนักน่าจะเป็นไปได้ยาก
ดังนั้นทางที่ควรปฏิบัติคือ ยามใดที่มีอาการไม่สบาย ไข้ ปวดหัว ไอ เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม ปวดเมื่อยตามตัว ครั่นเนื้อครั่นตัว ขอให้สงสัยโควิด-19 ด้วยเสมอ ใส่หน้ากาก อยู่ห่างๆ คนอื่นในบ้าน ไม่แชร์ของกินของใช้ และหาทางไปตรวจรักษาตามช่องทางที่มี
home isolation หรือกักตัวที่บ้านนั้น ในต่างประเทศทำได้ แต่ในประเทศไทย หลายพื้นที่อาจต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะเขตเมืองที่อยู่กันอย่างหนาแน่นแออัด บ้านที่รวยมีที่ทางคงไม่มีปัญหา แต่หากเป็นบ้านที่คับแคบ รวมถึงหอพัก คอนโดฯ แฟลต ชุมชนแออัด คงต้องระวังการแพร่ระบาดในพื้นที่ด้วย เพราะ Omicron มีอัตราการแพร่เชื้อติดเชื้อในครัวเรือนได้สูงกว่าเดลต้า (31% vs 21%) ดังนั้นหากผู้ติดเชื้อหรือครอบครัวประเมินแล้วเสี่ยงมาก ควรไปที่ community isolation ใส่หน้ากาก อยู่ห่างคนอื่นเกิน 1 เมตร เลี่ยงที่แออัดหรือระบายอากาศไม่ดี อัตตา หิ อัตตโน นาโถ"
อ่านโพสต์ต้นฉบับ