"เบสท์ เอ็กซ์เพรส" ผู้ให้บริการธุรกิจขนส่งพัสดุด่วน พร้อมนำรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์จากประเทศจีน นับเป็นแบรนด์เอ็กซ์เพรสเจ้าแรกในประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจรูปแบบแฟรนไชส์ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งภายใน 2 ปี มีศูนย์บริการสาขาทั้งหมด 1,100 สาขา ทั่วประเทศไทย เล็งสิ้นปีนี้ขยายเพิ่มอีก 800 สาขา และขยายต่ออีก 1,000 สาขาในปี 2565
สำหรับ "เบสท์ เอ็กซ์เพรส" เริ่มต้นก่อตั้งธุรกิจในประเทศจีนตั้งแต่ปี 2550 เติบโตอย่างก้าวกระโดดภายในระยะเวลา 10 ปี ตลอดจนยังสามารถดึงดูดนักธุรกิจที่ดีมีศักยภาพเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนได้ หนึ่งในนั้นคือ “อาลีบาบา” ซึ่งกลายมาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทฯ อีกด้วย
แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระยะเวลา 2 ปี รัฐบาลได้มีการออกมาตรการควบคุมโรค เน้นลดการออกจากบ้าน ลดการสัมผัส เว้นระยะห่าง เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเพิ่มมากขึ้น ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ขณะนี้อยู่แต่บ้าน ทำงานจากที่บ้านมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ประชาชนนิยมมากขึ้นคือ "การช้อปปิ้งออนไลน์" ซึ่งเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด และเซฟตัวเองจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
นายเจสัน เชียน ผู้จัดการทั่วไปภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประธานกรรมการบริษัท เบสท์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “เบสท์ เอ็กซ์เพรส” กล่าวว่า โควิดในปีนี้ถือว่าแย่และรุนแรงกว่าปีที่แล้ว ฉะนั้นคนส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่บ้านกันตลอดเวลา เรื่องการช้อปปิ้งออนไลน์มันทำให้จำนวนการขนส่งของเรามีปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างมากๆ เลย ซึ่งการขนส่งพัสดุด่วนในประเทศก็เกี่ยวเนื่องกัน เพราะของเราเป็นออนไลน์ มีทั้งลูกค้าที่เป็นหน้าร้านที่มาส่งของกับเรา หรือไม่ก็เป็นการขนส่งที่ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ หลากหลายแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Shopee Lazada และแพลตฟอร์มอีกเล็กๆ ที่การขนส่งคล้ายกับของเรา
สำหรับโปร 11.11
"ในปีที่ผ่านมา ที่บอกว่าในปีนี้จำนวนพัสดุเพิ่มขึ้นมา เนื่องจากคนยังคงไม่กล้ายังออกไปไหน หากเปรียบเทียบปีนี้กับปีที่แล้ว พัสดุจะเพิ่มขึ้นมากๆ ซึ่งปีที่แล้วเพิ่มมาระดับหนึ่ง ซึ่งในปีนี้เราก็ตั้งเป้าไว้ว่าอยากจะเพิ่มให้มากกว่าปีที่แล้วเกือบเท่าตัว เพราะฉะนั้น ณ ตอนนี้ที่เราตั้งรับ เรามีการตั้งรับอยู่ 3 ทาง ดังนี้" นายเจสันกล่าว
ทางที่ 1 คือเราเพิ่มความจุ (Capacity) ให้ HUB หรือศูนย์ประจายสินค้าของเรา ซึ่งตอนนี้เรามีอยู่ 5 แห่งทั่วประเทศ และมี 5 DC ทั่วประเทศเช่นกัน โดยในกรุงเทพฯ มี HUB อยู่ 2 แห่งคือ BKK HUB หรือฮับกรุงเทพฯ, RAMA 2 HUB หรือฮับพระรามสอง (ส่วนอีก HUB คือ PHS HUB หรือฮับพิษณุโลก, KKC HUB หรือฮับขอนแก่น และ URT HUB หรือฮับสุราษฎร์ธานี) ตอนนี้เราได้มีการเพิ่มความจุคือการเพิ่มขยายพื้นที่คลังสินค้าอีกประมาณ 50,000 ตารางเมตร และเพิ่มสาขาเพื่อรองรับลูกค้าอีก 200 สาขาเพิ่มจากปีที่แล้ว โดยเน้นความจุให้มากขึ้น เพื่อรองรับพัสดุที่เข้ามา
ทางที่ 2 เรามีการขยาย Auto Sorting คือการนำเครื่องช่วยคัดแยกพัสดุอัตโนมัติ เราเรียกว่า Auto Sorting เพิ่มมา 15 เครื่อง อยู่ใน BKK HUB ซึ่งเป็น HUB ที่ใหญ่ที่สุดของเรา
ทางเลือกสุดท้าย เราได้มีการโปรโมตเรื่องของการทำ Cross border คือบริการการจัดการคลังสินค้าและบริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน แน่นอนอยู่แล้วว่าโปร 11.11 มาจากประเทศจีน ซึ่งเราได้เตรียมการรองรับการขนส่งพัสดุระหว่างประเทศด้วย ซึ่งตอนนี้ที่เรากำลังทำอยู่คือ การรองรับการขนส่งจากประเทศจีนมาประเทศไทย จากประเทศไทยไปประเทศจีน ประเทศไทยไปประเทศมาเลเซีย และกำลังจะเปิดอีกคือ ประเทศไทยไปประเทศกัมพูชา เพื่อทำให้ลูกค้าเข้าถึงการบริการได้มากขึ้น
ในเรื่องของอุปสรรค
นายเจสัน ให้สัมภาษณ์ต่อว่า "โปร 11.11 ในปีที่แล้วทางบริษัทฯ เจออุปสรรคในเรื่องของความจุ (Capacity) ไม่ค่อยเพียงพอ รวมทั้งเรื่องของคัดแยกพัสดุ ทำให้มีการส่งพัสดุให้ลูกค้าล่าช้า ในปีนี้เราจึงเพิ่มตัว Auto Sorting 15 เครื่อง เพิ่มขยายความจุ และขยายคลังสินค้า เพื่อให้จัดหารให้เร็วมากยิ่งขึ้น ในปีที่แล้วหลายๆ แคมเปญที่ทำมาเรื่องของ Outsource หรือเรื่องของพนักงานที่ไม่เพียงพอ เพราะว่าช่วงเวลาปกติ กับช่วง 11.11 หรือโปรโมตชันต่างๆ เพิ่มขึ้นมากๆ ดังนั้นปีนี้ในช่วงเวลาของแต่ละแคมเปญ เราก็จะพยายามหา Outsource และจัดหาจำนวนรถต่างๆ เพื่อมาช่วยกระจายพัสดุให้เพียงพอ โดยในทุกเดือนเรามีโปรโมชันแบบนี้คล้ายกัน แต่ในช่วงของโปร 11.11 ถือเป็นแพลตที่ใหญ่มาก มีพัสดุค่อนข้างเยอะ อีกทั้งโปร 11.11 และโปร 12.12 จะเป็นช่วงเวลาที่ทาง BEST Express จะได้รับพัสดุมากที่สุด เพราะฉะนั้น 2 ช่วงเวลานี้ เราทำยังไงก็ได้ให้ "บริการให้ดี ส่งได้เร็ว""
ธุรกิจแฟรนไชส์ 100 เปอร์เซ็นต์
"พอเราเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ ดังนั้นในการจัดการของเราในช่วง 11.11 โดยเราก็มีการทำมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นก่อนมีโปรโมตชันใหญ่เราจะมีการอบรมฝึกหัด (Training) ทั้ง Offline และ Online รวมถึงให้แฟรนไชส์ที่มีการจัดการดีๆ มาคุยกับแฟรนไชส์ท่านอื่นให้เขาได้เรียนรู้ว่า บริษัทของเรามีวิธีจัดการยังไง โดยทางเราจะมีรางวัลตอบแทนให้กับแฟรนไชส์ที่ทำผลงานได้ดี อย่างเช่น การติด COD ที่สูง ซึ่งทางเราจะมีรางวัลให้ทุกเดือนกับแฟรนไชส์ แต่ในช่วงโปรโมชันเราจะมีการเพิ่มปริมาณรางวัล เพื่อให้แฟรนไชส์รู้สึกว่า "ฉันต้องทำให้ได้" รวมทั้งเตรียมระบบหลังบ้านที่จะทำให้แฟรนไชส์ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น โดยทางเราเองจะมีการอบรมเกี่ยวกับระบบการปฏิบัติ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดให้กับแฟรนไชส์ทุกเดือน สมมุติว่ามีแฟรนไชส์ใหม่มา เราจะอบรมที่เป็น Offline ก็คือให้เข้าสาขา 3-4 วัน เพื่อให้แฟรนไชส์รู้เลยว่าระบบการทำงาน ระบบหลังบ้าน หน้าร้านทำยังไง ระบบ CS เป็นยังไง และเฉลี่ยในการวิ่ง วิ่งยังไงถึงจะส่งสินค้าได้ดี ในแต่ละเดือนถ้าแฟรนไชส์ต้องการเรียนรู้ หรือว่าเรามีระบบใหม่ อย่างเช่น เราทำ Service เกี่ยวกับ Cross Border (บริการส่งพัสดุข้ามประเทศ) อันนี้ทางแฟรนไชส์ก็ต้องมาเรียนรู้ระบบจากเราอีกที ด้วยการเทรนนิ่งเพื่อให้เขาทำงานง่ายขึ้นในระบบหลังบ้านของเรา" นายเจสัน กล่าว
จุดเด่นการให้บริการของ BEST Express
นายเจสัน กล่าวว่า "อันดับแรกเลยเทียบกับคู่แข่ง เราเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะอย่างที่เห็นชัดเลยว่า BEST Express เป็นธุรกิจจากจีน ซึ่งเคยทำระบบแฟรนไชส์มา และทำมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นเราเอาระบบแฟรนไชส์เข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตอนนี้เรามีอยู่ 5 ประเทศที่เราขยายธุรกิจออกไปเป็น BEST Express คือ ประเทศเวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, กัมพูชา และไทย ซึ่งธุรกิจนี้ถือว่าเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากๆ เพราะว่าตัวแฟรนไชส์แต่ละท่านเหมือนเป็นเจ้าของด้วยตัวเอง ฉะนั้นเขาจึงมีการคิดว่าทำยังไงให้ได้กำไร "ทำยังไงให้มีปัญหา" หรือ "อุปสรรคน้อยที่สุด" เราต่างจากเจ้าอื่นอย่างมาก เพราะเจ้าอื่นๆ อาจจะเป็น 5% หรือ 10% ที่เป็นธุรกิจแฟรนไชส์ แต่ของเรา 100% เพราะฉะนั้นทุกสาขาของเราเป็นแฟรนไชส์หมดเลย"
"อันที่สอง เรามี Network เครือข่ายการจัดการที่ครอบคลุมทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลก ในตอนนี้เรามี BEST Supply chain เป็นธุรกิจเครือข่ายของต่างประเทศมีอยู่ประมาณ 15 ประเทศทั่วโลก แล้วพอเรามีเครือข่ายมากขึ้น มันทำให้การจัดการ การทำ Service Cross Border ของเราดีขึ้น และคิดว่าในอนาคตจะมีการขยายการทำ Cross Border หรือเซอร์วิสต่างๆ ไปต่างประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ครบ"
"อันที่สามเราได้มีการร่วมของเทคโนโลยี การจัดการต่างๆ ที่ดีในจีน และเอามาใช้ในตะวันออกเฉียงใต้เหมือนกัน ซึ่งอย่างในประเทศไทยเรามี "BEST Tracking Alert" ผ่าน LINE Official Account โดยถ้าลูกค้าผูกเบอร์ไว้กับเบอร์ของเราหรือ ผ่าน LINE Official Account เวลาลูกค้าไปส่งของพัสดุจะแจ้งเตือนอัตโนมัติ เป็นแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะสามารถรู้ได้เลยว่าขณะนี้พัสดุอยู่ที่ไหน เราไม่ต้องเช็กสถานะพัสดุเอง ระบบจะขึ้นสถานะให้เลยแบบอัตโนมัติ ถือเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่เรานำมาใช้ในประเทศไทย" นายเจสัน กล่าว
สาขาทั้งหมดของ BEST Express
นายเจสัน กล่าวต่อว่า "ตอนนี้ถ้าเป็นแฟรนไชส์หลัก เรามีหลายประเภทแฟรนไชส์ ถ้าเป็นแฟรนไชส์ทั้งรับ-ส่งพัสดุ มี 600 กว่าสาขา โดยในปี 2565 เราจะขยายให้ได้ 1,000 สาขาทั่วประเทศ"
แผนการตลาด-แผนธุรกิจของไตรมาสสุดท้ายปี 2564 และการให้บริการใหม่ๆ ในปี 2565
"ในปี 2565 เราอยากทำให้ธุรกิจของเรามีระบบขนส่งไม่ใช่แค่ในประเทศ ก็คือจะออกไปต่างประเทศด้วย โดยในตอนนี้ BEST Express มีการส่งพัสดุจากจีนมาไทย และอยากให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเครือข่ายที่สามารถไปได้หมด เหมือนส่งของจากประเทศไทยไปต่างประเทศได้หมด รวมทั้งต่างประเทศมาไทยด้วย และในปีนี้เราเปิดแล้วสำหรับ Cross Border ของไทยไปจีน ไทยไปมาเลเซีย แต่ในปีหน้านั้น BEST Express มีแพลนที่จะไปกัมพูชา เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ซึ่งจะมีการพัฒนาขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สุดท้ายตอนนี้ทาง BEST Express มี "BEST Big Parcel" เป็นการให้บริการส่งพัสดุขนาดใหญ่ได้สูงสุด 100 กิโลกรัม เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่จับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ต้องการส่งพัสดุขนาดใหญ่ ซึ่งในปีหน้าเราจะพยายามการบริการของเราให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และรองรับความต้องการของลูกให้มากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้คือแผนการของเราที่จะดำเนินการในปี 2565"