รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเป็นห่วงการเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ชี้อาจทำให้เกิดการระบาดของโรคซ้ำและรุนแรงขึ้น ยกชิลีและเดนมาร์กที่มีนโยบายเปิดประเทศก่อนหน้านี้ มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทั้งที่ฉีดวัคซีนมากกว่าเรา
จากกรณี นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564 วางเป้าหมายประเทศไทยจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไปโดยไม่ต้องกักตัว ภายใต้ข้อกำหนดเงื่อนไขที่คำนึงถึงความปลอดภัยสาธารณสุขคนไทยและชาวต่างชาติ เช่น ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศจากประเทศที่กำหนดว่าเป็นประเทศความเสี่ยงต่ำ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 12 ต.ค. รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat" ยกบทเรียนของประเทศชิลีและเดนมาร์กมาเป็นบทเรียนในการเปิดประเทศของไทย โดยพบว่าหลังการเปิดประเทศพบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หมอธีระได้ระบุข้อความว่า
"บทเรียนจากชิลีและเดนมาร์ก
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้มีข่าวหลายสำนักนำเสนอรายชื่อประเทศที่ประกาศนโยบายที่จะอยู่ร่วมกับโควิด-19 เช่น เดนมาร์ก ชิลี สิงคโปร์ และไทย
สิงคโปร์นั้นมีความชัดเจนว่าการระบาดแต่ละวันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดกว่า 3,700 คน ในขณะที่ชิลีและเดนมาร์กอยู่ในระดับหลักร้อยถึงหลักพัน
เพื่อให้ไทยได้เห็นเส้นทางเดินของประเทศที่ประกาศนโยบายคล้ายคลึงกัน และได้เดินไปก่อนเรา การศึกษาบทเรียนของเขาน่าจะเป็นประโยชน์ในการเตรียมรับมือกับสิ่งที่เราจะเจอในอนาคตอันใกล้ ในที่นี้เพื่อให้สเกลในกราฟเปรียบเทียบกันให้เห็นได้ดี จึงนำเสนอบทเรียนของชิลี และเดนมาร์กมาให้พิจารณากัน
1. สถานการณ์หลังปลดล็อก พบว่าจำนวนติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ชิลีปลดล็อกตั้งแต่ช่วงท้ายของสิงหาคมเป็นต้นมา และเปิดการเดินทางระหว่างประเทศตั้งแต่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ในขณะที่เดนมาร์กนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าเปิดเสรีการใช้ชีวิตตั้งแต่ต้นกันยายนเป็นต้นมา ทั้งสองประเทศมีแนวโน้มจำนวนการติดเชื้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังปลดล็อกการใช้ชีวิตราว 4-6 สัปดาห์ โดยจำนวนติดเชื้อต่ำสุดต่อวันที่เป็นฐานคือระดับเพียง 300-400 กว่าคนต่อวัน เฉลี่ยแล้วจำนวนการติดเชื้อต่อวันของชิลีและเดนมาร์กจะสูงขึ้นเป็น 2 เท่า โดยใช้เวลาราว 3 สัปดาห์
สำหรับประเทศไทย ที่กำลังจะเปิดเมืองท่องเที่ยว และเปิดประเทศ แต่ยังมีจำนวนติดเชื้อต่อวันสูงระดับหมื่นคนต่อวัน (ยังไม่รวม ATK) ดังนั้นหากพิจารณา doubling time แบบเดียวกับชิลีและเดนมาร์ก ก็คงพอคาดการณ์ได้ว่าจำนวนติดเชื้อต่อวันคงสูงจากหมื่น เป็นสองหมื่น เป็นสี่หมื่น ไปเรื่อยๆ ทุก 3 สัปดาห์ หากควบคุมไม่อยู่
2. อัตราการตรวจพบว่าติดเชื้อจากการตรวจคัดกรองโรคสูงขึ้นอย่างชัดเจน ชิลีเคยมีอัตราตรวจพบต่ำสุด 0.8% แต่เพิ่มขึ้นเป็น 1.3% ในขณะที่เดนมาร์กเคยต่ำสุดที่ 0.9% แต่เพิ่มขึ้นมาเป็น 1.4% ทั้งสองประเทศมีอัตราการตรวจพบเพิ่มขึ้นราว 60% โดยใช้เวลาราว 3 สัปดาห์เช่นกัน ในขณะที่เมืองไทย อัตราการตรวจพบที่แน่นอนนั้นไม่ทราบ แต่จากรายงานของ Ourworldindata เมื่อกันยายนที่ผ่านมา จะอยู่ราว 20-25% ซึ่งสูงกว่าชิลีและเดนมาร์กอย่างมาก ดังนั้นหากธรรมชาติหลังเปิดเสรีเหมือนกันกับเขา ก็อาจถีบตัวสูงไปถึง 32-40% ในเวลา 3 สัปดาห์ หรืออาจเร็วและแรงกว่านั้นก็เป็นได้
3. จำนวนการตรวจคัดกรองโรคของแต่ละประเทศ หากเทียบจำนวนการตรวจที่ทำไปต่อจำนวนประชากร 1,000 คน ตรวจมากกว่าไทย 3-12 เท่า ทั้งๆ ที่จำนวนการตรวจพบว่าติดเชื้อของเขาน้อยกว่าของเรา 3-4 เท่า
ดังนั้น หากเกิดการระบาดหนักหน่วงปะทุขึ้นมา ศักยภาพของระบบตรวจคัดกรองโรคจะเป็นกลไกต่อสู้โรคระบาดที่เป็นหัวใจหลัก หากทำได้น้อย ไม่มากพอ ไม่ทันต่อความต้องการ ก็จะยากที่จะหยุดยั้งการระบาดวงกว้างได้ คุมไม่ได้ ได้แต่ไล่ตามจนหมดแรง
4. ความครอบคลุมของการฉีดวัคซีน ทั้งชิลี และเดนมาร์ก มีการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ครอบคลุมประชากรกว่า 70% ของประเทศตั้งแต่สิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนที่เขาจะปลดล็อกการใช้ชีวิตหรือเดินทางท่องเที่ยว ประเทศไทยมีอัตราการฉีดครบโดสได้ราวครึ่งหนึ่งของประเทศชิลี และเดนมาร์ก
ดังที่ทราบกันดีว่า การฉีดวัคซีนนั้นมุ่งหวังจะให้เกิดประโยชน์ต่อตัวผู้ได้รับวัคซีน เพื่อลดโอกาสป่วย ลดโอกาสเสียชีวิต ดังนั้นด้วยอัตราความครอบคลุมวัคซีนของไทยเราที่น้อยกว่าชิลีและเดนมาร์ก การเปิดเมือง เปิดท่องเที่ยว และเปิดประเทศของไทยนั้นย่อมนำมาซึ่งความเสี่ยงสูงของการระบาดซ้ำรุนแรง และมีโอกาสป่วย และเสียชีวิตมากกว่าเขาอย่างแน่นอน เหล่านี้จึงเป็นเหตุผลจากหลักฐานเชิงประจักษ์ที่นำมาแสดงให้ดู เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงสิ่งที่ตนเองกำลังจะผลักดันให้เกิดขึ้น และอย่างน้อยที่สุด สิ่งที่นำมาแจ้งให้รับรู้รับทราบกันนี้ ก็เพื่อให้ประชาชนอย่างพวกเราทุกคนได้รู้เท่าทันสถานการณ์ และเตรียมวางแผนชีวิต รับมือกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้
ช่วงเวลาถัดจากนี้ เป็นไปตามที่ย้ำมาตลอดว่า ความใส่ใจสุขภาพของตนเองและครอบครัว หรือ Health conscious นั้นสำคัญมาก และจะเป็นตัวกำหนดเรื่องสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของพวกเราแต่ละคนขอให้มีสติในการใช้ชีวิต และป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด ด้วยรักและห่วงใย"