สถานการณ์น้ำท่วมทั่วไทยในรอบคืนที่ผ่านมา น้ำจากเขื่อนลำคันฉูเข้าท่วมโรงพยาบาลบำเหน็จณรงค์ ชัยภูมิ ผู้ป่วยติดค้างจำนวนมาก ส่วนที่ อ.ลำสนธิ จ.ลพบุรี น้ำท่วมถนนสุรนารายน์ ประชาชนติดค้างในบ้าน ขณะที่ อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ ครองแชมป์ฝนตกสูงสุดของวัน ด้านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท เพิ่มระบายน้ำกว่า 2,300 ลบ.ม./วินาที กระทบพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ
วันนี้ (26 ก.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ อันเนื่องมาจากพายุโซนร้อนเตี้ยนหมู่ อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน ส่งผลทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง กับมีลมแรงในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
ที่ อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ หลังเกิดเหตุน้ำทะลักล้นทางน้ำล้น (สปิลเวย์) เขื่อนลำคันฉู ต.โคกเพชรพัฒนา ทางตอนเหนือของ อ.บำเหน็จณรงค์ ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ถนนตัดขาดตั้งแต่เมื่อวานนี้ กระทั่งเมื่อคืนที่ผ่านมามวลน้ำทะลักเข้าท่วมพื้นที่โรงพยาบาลบำเหน็จณรงค์ ระดับน้ำสูง 3 เมตร ทำให้มีผู้ป่วยติดค้างจำนวนมาก มูลนิธิพุทธธรรม 31 นครราชสีมา หรือฮุก 31 เดินทางเข้าพื้นที่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ อุปกรณ์ และเรือท้องแบน เพื่อเข้าไปช่วยเหลือ
ที่ อ.ลำสนธิ จ.ลพบุรี หลังเกิดเหตุน้ำทะลักล้นทางน้ำล้น (สปิลเวย์) อ่างเก็บน้ำกุดตาเพชร ต.กุดตาเพชร ลงพื้นที่ลุ่มทำให้มีน้ำท่วมถนนตัดขาด ล่าสุดทางหลวงหมายเลข 205 หรือถนนสุรนารายน์ บริเวณวัดหนองรี ต.หนองรี อ.ลำสนธิ น้ำได้ท่วมถนนสูง รถเล็กไม่สามารถผ่านไปมาได้ ขณะที่มูลนิธิร่วมกตัญญูพร้อมด้วยหน่วยงานทุกภาคส่วนพยายามเข้าช่วยเหลือประชาชนที่ติดค้างอยู่ภายในบ้าน ภายในสำนักงานเกษตรอำเภอลำสนธิ แต่ยังไม่สามารถช่วยออกมาได้ ต้องหนีน้ำขึ้นไปอยู่บนหลังคา
การรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า เกิดน้ำท่วมเส้นทางรถไฟระหว่างสถานีบำเหน็จณรงค์ ถึงสถานีจัตุรัส ส่งผลกระทบให้ขบวนรถในเส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือที่ใช้ทางรถไฟสายชุมทางแก่งคอย-ชุมทางบัวใหญ่ไม่สามารถเดินรถผ่านได้ จึงประกาศเปลี่ยนเส้นทางไปใช้เส้นทางชุมทางแก่งคอย-ปากช่อง-นครราชสีมา-ชุมทางบัวใหญ่แทน และงดเดินขบวนรถท้องถิ่นที่ 433 ชุมทางแก่งคอย-ชุมทางบัวใหญ่ และ 434 ชุมทางบัวใหญ่-ชุมทางแก่งคอย ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย.เป็นต้นไป
ที่ อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ จุดตัดระหว่างทางหลวงหมายเลข 11 ถนนสายอินทร์บุรี-พิษณุโลก กับทางหลวงหมายเลข 225 ถนนนครสวรรค์-ชัยภูมิ ต.หนองกลับ อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ พบว่ามีน้ำท่วมฉับพลันบริเวณสี่แยกหนองบัว รวมทั้งย่านการค้าในพื้นที่เขตเทศบาลตำบลหนองบัว ขณะที่สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) รายงานว่าปริมาณน้ำฝนตกที่ อ.หนองบัว สูงถึง 266 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่ามีปริมาณที่มากที่สุดในรอบวัน
ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท พบว่าเมื่อเวลา 20.00 น.ที่ผ่านมากรมชลประทานได้ปล่อยน้ำลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณใต้เขื่อนอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าได้ปล่อยน้ำในอัตรา 2,303 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานได้พิจารณาปรับการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ระหว่าง 2,000-2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยจะค่อยๆ ทยอยเพิ่มการระบายน้ำเป็นลำดับ ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำตั้งแต่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 30 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร ระหว่างวันที่ 26-29 ก.ย. ในบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ ตั้งแต่ อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ลงมาถึง จ.พระนครศรีอยุธยา
พร้อมกันนี้ กรมชลประทานจะเร่งระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยควบคุมการปิด-เปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ตามจังหวะการขึ้นลงของน้ำทะเลเพื่อเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเลให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และจะบริหารจัดการน้ำและควบคุมปริมาณการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาอย่างเต็มศักยภาพโดยมิให้มีผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตร พร้อมเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด และบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มศักยภาพของพื้นที่
ส่วนกรมทางหลวงเปิดเผยว่า พบทางหลวงถูกน้ำท่วมและดินสไลด์จำนวน 18 จังหวัด 32 สายทาง 69 แห่ง เช่น ทางหลวงหมายเลข 12 (แม่สอด-มุกดาหาร) จ.สุโขทัย จ.ขอนแก่น จ.กาฬสินธุ์, ทางหลวงหมายเลข 205 (ถนนสุรนารายน์) จ.ชัยภูมิ จ.นครราชสีมา, ทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) จ.กำแพงเพชร บริเวณจุดกลับรถคลองสุวรรณ คลองพะยอม และคลองสุวรรณ, ทางหลวงหมายเลข 340 (ถนนบางบัวทอง-สุพรรณบุรี) บริเวณจุดกลับรถใต้สะพานศาลเจ้าแม่ทับทิม เป็นต้น
กรมทางหลวงได้เข้าพื้นที่อย่างเร่งด่วนให้ช่วยเคลื่อนย้ายประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พร้อมติดตั้งป้ายเตือนจัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกปลอดภัย และบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่โดยเร็วที่สุด ขอให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางหลวงเดินทางด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย และหลีกเลี่ยงเส้นทางที่คาดว่าจะเกิดความสุ่มเสี่ยง พร้อมขอให้ปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนำและคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด