1.เคลียร์ไม่จบ! “บิ๊กตู่” ปลดฟ้าผ่า “ธรรมนัส-นฤมล” ด้าน “ธรรมนัส” แถลงลาออก ส่งสัญญาณไปอยู่บ้านหลังใหม่!
สถานการณ์การเมืองหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ที่จบลงด้วยการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับเสียงไว้วางใจเกือบน้อยสุดหรือรองบ๊วย ในบรรดารัฐมนตรีทั้ง 6 คน รวมทั้งได้รับเสียงไม่ไว้วางใจมากสุดอีกด้วย ท่ามกลางกระแสข่าวก่อนหน้าวันลงมติว่า มีการเคลื่อนไหวของแกนนำบางคนในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในลักษณะกดดันให้นายกฯ ปรับ ครม. โดยข่าวแรงถึงขั้นอาจมีการโหวตล้มนายกฯ และหวังตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีข่าวลือว่า แกนนำในการเคลื่อนไหวคือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรค พปชร. กระทั่งสุดท้ายมีข่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค พปชร. ลงมาช่วยเคลียร์ใจว่าไม่จริง และ ร.อ.ธรรมนัส ได้ขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าทำอะไรให้ไม่สบายใจ แต่เมื่อผลโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจออกมา กลายเป็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับเสียงไว้วางใจเกือบน้อยสุดและไม่ไว้วางใจมากสุด หลายฝ่ายจึงจับตาว่า สถานการณ์ระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส กับ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นอย่างไรต่อไป
ปรากฏว่า วันที่ 7 ก.ย. พล.อ.ประวิตร ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวก่อนประชุม ครม.ถึงกระแสข่าว ร.อ.ธรรมนัส จะขอลาออกจากตำแหน่งเลขาฯ พรรค พปชร.ว่า ไม่มี ไม่มี ไม่มี พร้อมปฏิเสธว่า พรรคไม่มีการเตรียมจับมือกับพรรคเพื่อไทย และยืนยันว่า สถานการณ์ภายในพรรคเรียบร้อยดี ไม่มีอะไร ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า อนาคตของ ร.อ.ธรรมนัสในรัฐบาลจะเป็นอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ บอกแล้วไงไม่มีปรับคณะรัฐมนตรี
วันต่อมา (9 ก.ย.) พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวอีกครั้งถึงกรณีมีข่าวว่า จะมีการปรับ ครม.โดยให้ พล.อ.ประวิตร ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดย พล.อ.ประวิตร ถามกลับว่า ใครให้ข่าว แล้วใครอยากจะไป เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ บอกแล้วว่า ไม่มีการปรับ ครม. สื่อจะมาถามอะไรกันอีก ผู้สื่อข่าวถามว่า 3 ป.ยังกลมเกลียวและยังอยู่ตำแหน่งเดิมใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ตอบสั้นๆ ว่า “เออ” พร้อมทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย
เป็นที่น่าสังเกตว่า ช่วงบ่ายวันเดียวกัน (9 ก.ย.) ได้เกิดเหตุการณ์ 2 กรณีในเวลาไล่เลี่ยกัน กรณีแรก ร.อ.ธรรมนัส ได้แถลงลาออกจากตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ โดยให้เหตุผลว่า การบริหารช่วยราชการแผ่นดินไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ และอยากกลับไปอยู่จุดเดิม คือเป็น ส.ส.เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน
“ผมต้องการทำงานอื่นที่เข้มแข็ง เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองจริงๆ ไม่ใช่มารองรับหรือทำอะไรเพื่อคนบางกลุ่ม ผมได้ปรึกษาครอบครัวมาหลายวันแล้ว โดยได้ข้อยุติว่า ผมลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้ลงนามไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 ก.ย. ...ตัดสินใจแล้วว่า ผมจะเลือกเส้นทางเดินของผมใหม่ โดยยึดหลักผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนเป็นที่ตั้ง ดังนั้นผมกราบขอโทษพี่น้องประชาชนที่ไม่สามารถที่จะทำในสิ่งที่ผมรับปาก ผมตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า จะกลับไปตั้งต้นที่ จ.พะเยา ทำงานให้พี่น้องชาวพะเยาและจังหวัดอื่นๆ หากผมกลับไปมีอำนาจอีกครั้ง มีวาสนาอีกครั้ง ผมตั้งมั่นว่าจะทำงานเพื่อบ้านเมือง”
ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่า จากการได้พูดคุยและขอโทษนายกฯ ปัญหายังไม่จบใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “ไม่จบ เพราะผมไม่สบายใจ ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้กระทำไป หมายความว่า ถ้าพูดด้วยเหตุผลแล้วไม่เกิดประโยชน์ วิธีการที่ดีที่สุดคือ ต้องตัดสินใจด้วยตนเอง”
เมื่อถามต่อว่า จะยังอยู่กับพรรค พปชร.ใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า “เป็นเรื่องที่ต้องคิดต่อไป อาจจะไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่มีความสุข ย้ายมาจากบ้านหลังเดิมที่มีความสุขดีอยู่แล้ว ซึ่งบ้านหลังเดิมคือที่ จ.พะเยา”
เมื่อถามถึงความสัมพันธ์กับ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า กับ พล.อ.ประวิตร ยังเหมือนเดิม ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าอีกสองคนแตกหักเลยใช่หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ไม่ได้แตกหัก แต่เลือกเดินเส้นทางของตน อาจจะสร้างบ้านหลังใหม่ ส่วนจะมีคนอื่นไปด้วยหรือไม่ ไม่สามารถตอบแทนคนอื่นได้ เมื่อถามว่า จะลาออกจากสมาชิกพรรค พปชร.ด้วยหรือไม่ หรือลาออกเพียงตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เป็น ส.ส. ต้องให้พรรคขับออก ขั้นตอนต่อจากนี้จะไปหารือกับ พล.อ.ประวิตร
ผู้สื่อข่าวถามว่า แบบนี้การเลือกตั้งครั้งหน้า พรรค พปชร.จะไม่แตกเลยหรือ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ไม่แน่ เพราะใจตนไปแล้ว พูดแล้วนักเลงพอ ทำอะไรแล้วต้องรับผิดชอบ อยู่ที่ไหนก็ได้ขอให้ใจมันอยู่ ถ้าใจมันไม่อยู่ ใครจะมาบังคับไม่ได้
ผู้สื่อข่าวพยายามถามอีกครั้งถึงเหตุที่ตัดสินใจลาออกจาก รมช.เกษตรฯ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ไม่ชอบบรรยากาศบ้านเมืองที่มีความแตกแยก และมองไม่เห็นอนาคต ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วบรรยากาศใน ครม. ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ร้ายยิ่งกว่า แต่ไม่ขอพูดรายละเอียด
ส่วนกรณีที่สองที่เกิดในเวลาไล่เลี่ยกับที่ ร.อ.ธรรมนัสแถลงลาออก คือ เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระบรมราชโองการประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี สรุปความว่า ...นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า สมควรให้รัฐมนตรีบางคนพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์แก่ราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 171 ของรัฐธรรมนูญฯ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนนตรีต่อไปนี้ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี 1.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2.นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 8 ก.ย.2564
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหลังมีประกาศในราชกิจจานุเบกษา และหลัง ร.อ.ธรรมนัส แถลงลาออกว่า ได้ข่าวเมื่อกี้นี้ รัฐมนตรีลาออก เขาเคยพูดไว้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ร.อ.ธรรมนัส ว่าไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ก็ออกไปเป็น ส.ส. สามารถช่วยประชาชนได้ ที่ผ่านมาก็ช่วยงานกันมาโดยตลอด เดี๋ยวคงเป็นเรื่องของพรรคที่จะไปหารือกันว่าจะทำอย่างไร แต่ยืนยันว่า งานทุกงานไม่มีหยุดยั้ง มีคนทำงานให้อยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ก่อนหน้านี้ นายกฯ เคยระบุว่าจะไม่ปรับ ครม. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมยังไม่ปรับใครในตอนนี้ เมื่อมีรัฐมนตรีลาออก ก็ทำให้มีตำแหน่งว่าง ผมก็ยังไม่ปรับคนเข้า” ผู้สื่อข่าวถามว่า ถือว่าเป็นการลาออกหรือปลด นายกฯ กล่าวว่า ก็เขาลาออก เมื่อถามว่า แต่ตอนนี้มีราชกิจจานุเบกษาให้พ้นตำแหน่งแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เอาแหละ ยังไงเขาก็ไม่อยู่แล้ว จะมายังไง จะไปยังไง ผมไม่ตอบ” ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า มีเหตุผลอะไรในการปรับรัฐมนตรีออก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เหตุผลของผม ก็คือเหตุผลของผมสิ เอ้อ”
มีรายงานข่าวจากพรรค พปชร.ว่า หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ ดูเหมือนสถานการณ์การเคลียร์ใจจะเรียบร้อยด้วยดี แต่ปรากฏว่า วันที่ 6 ก.ย. ร.อ.ธรรมนัส ได้แจ้ง พล.อ.ประวิตร จะขอลาออกจากรัฐมนตรี แต่ พล.อ.ประวิตร ได้ยับยั้งและบอกว่า “ทุกอย่างจบแล้ว เคลียร์แล้ว ไม่ต้องออก” ต่อมา 7 ก.ย. มีกระแสข่าวว่า ร.อ.ธรรมนัส อาจขอลาอกกลางที่ประชุม ครม.เนื่องจากคาดการณ์ว่า ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อาจส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ ปลดออกจากตำแหน่ง กระทั่งมีการแถลงลาออกในเวลาไล่เลี่ยกับประกาศในราชกิจจานุเบกษา
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า หลังการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่นายกฯ ได้เสียงไว้วางใจรองบ๊วย พล.อ.ประยุทธ์ ได้ปรารภกับคนใกล้ชิดว่า “มีคนหักหลัง ให้ไปดูหน่อย”
ทั้งนี้ ต้องติดตามสถานการณ์พรรค พปชร.หลัง ร.อ.ธรรมนัส เลขาธิการพรรค แถลงลาออกจากรัฐมนตรี ว่าจะมีการปรับโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคครั้งใหญ่หรือไม่ โดยเฉพาะตำแหน่งเลขาธิการพรรค ที่ก่อนหน้านี้มีชื่อนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นแคนดิเดตเลขาธิการพรรคถึง 2 ครั้ง โดยช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายสันติได้แยกตัวออกจากกลุ่ม 4 ช. และประกาศตัวสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ อย่างชัดเจน
2.ร่างแก้ รธน. ผ่านวาระสามฉลุย กลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ด้านพรรคเล็กเล็งหาแนวร่วมยื่นศาล รธน.วินิจฉัย!
เมื่อวันที่ 10 ก.ย. ได้มีการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91 ซึ่งเป็นการลงมติในวาระที่สาม โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม
ผลการลงมติ ปรากฏว่า มีผู้เห็นชอบ 472 เสียง (แบ่งเป็น ส.ส. 323 เสียง ส.ว. 149 เสียง) ไม่เห็นชอบ 33 เสียง (แบ่งเป็นของ ส.ส.23 เสียง ส.ว. 10 เสียง) และงดออกเสียง 187 เสียง (แบ่งเป็น ส.ส.121 เสียง ส.ว. 66 เสียง) ถือว่าผ่านการเห็นชอบของที่ประชุม
สำหรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีสาระสำคัญ คือ 1.ให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 500 คน แบ่งเป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต 400 คน (เดิม 350 คน) และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน (เดิม 150 คน) 2.ให้กลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เลือก ส.ส. 2 ประเภท (เดิม ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ตัดสินใจเลือก ส.ส., พรรค และนายกฯ ในบัญชีที่พรรคนำเสนอ) และ 3.การคำนวณสัดส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรค ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคได้รับเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศ แล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรค (เดิม ใช้สูตรคำนวณหา ส.ส. พึงมีได้)
สำหรับผลการลงมติ พบว่า พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเจ้าของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ พรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย ต่างลงมติเห็นชอบ ส่วน ส.ว.สายทหาร ส่วนใหญ่ลงคะแนนเห็นชอบ ได้แก่ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช, พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป ฯลฯ ขณะที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดปัจจุบัน พร้อมใจกันตบเท้าไม่แสดงตัวลงคะแนน
ส่วน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ ที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ ไม่ได้ลงคะแนนแต่อย่างใด
สำหรับเสียงไม่เห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 33 เสียง แบ่งเป็นฝั่งของ ส.ส. 23 เสียง ได้แก่ พรรครวมพลังประชาชาติไทยทั้งพรรค ที่แสดงจุดยืนตั้งแต่วาระแรก รวมถึงพรรคเล็กบางส่วน ได้แก่ พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมพลังชาติไทย นายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยประชาธรรมไทย นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ นายพีรวิทย์ เลื่องลือดลภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักธรรม นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ นายวิรัตน์ วรศสิริน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย น.ส.นภาพร เพชร์จินดา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย นายวัชรา ณ วังขนาย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย
ขณะที่ฝั่ง ส.ว.10 เสียงที่ไม่เห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พบว่า มีทั้ง ส.ว.สายอดีตนายทหาร อดีตนายตำรวจ สายอดีตนักวิชาการ ได้แก่ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร, นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, นายพลเดช ปิ่นประทีป, พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร, พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม, นายเสรี สุวรรณภานนท์, พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์, นายอนุศาสตร์ สุวรรณมงคล, นายออน อาจกระโทก, นายอำพล จินดาวัฒนะ
ส่วนผู้ที่งดออกเสียง 187 เสียง แบ่งเป็นฝั่ง ส.ส.121 เสียง ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย และ พรรคก้าวไกล ทั้งพรรค ที่แสดงจุดยืนชัดว่า มีมติงดออกเสียง โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ที่แสดงจุดยืนชัดมาตั้งแต่วาระ 2 ว่าจะไม่ร่วมสังฆกรรม เนื่องจากมองว่าประชาชนไม่ได้ประโยชน์ แต่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของพรรคการเมือง รวมถึงพรรคเล็กบางส่วน
ส่วนฝั่ง ส.ว. 66 เสียงที่งดออกเสียง ส่วนใหญ่เป็นสายนักวิชาการ อดีต สนช. นักธุรกิจ กลุ่ม 40 ส.ว. เอ็นจีโอ และสายองค์กรต่อต้านการทุจริต อาทิ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ นายสมชาย แสวงการ นายจเด็จ อินสว่าง นายประมนต์ สุธีวงศ์ นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจน์สุนันท์ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย นายตวง อันทะไชย นายคำนูณ สิทธิสมาน นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ เป็นต้น
ทั้งนี้ แม้การโหวตวาระ 3 จะผ่านการเห็นชอบจากประชุมรัฐสภาแล้ว แต่รัฐธรรมนูญมาตรา 256 (7) (9) บัญญัติว่า ก่อนนายกรัฐมนตรีนําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยตาม จะต้องทิ้งไว้ 15 วัน ซึ่งระหว่างนั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกทั้งสองสภารวมกัน มีจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา ถ้าเป็น ส.ส.ต้องใช้เสียง 49 เสียง ส.ว.ใช้เสียง 25 เสียง หรือของทั้งสองสภารวมกัน 74 เสียง แล้วแต่กรณี มีสิทธิเข้าชื่อกัน เสนอความเห็นต่อประธานที่ตนเองสังกัดอยู่ ว่าร่างรัฐธรรมนูญมีลักษณะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ และให้ประธานฯ ที่ได้รับเรื่องดังกล่าว ส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับเรื่อง
ด้าน นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวหลังร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านวาระสามว่า ตนและพรรคเล็กลงมติไม่เห็นด้วยกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่เมื่อมติเสียงส่วนใหญ่ออกมาแบบนี้แล้ว พรรคเล็กมีแนวคิดว่า จะไปยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ยอมรับว่า เสียงของพรรคเล็กไม่เพียงพอในการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความตามกฎหมาย เพราะต้องใช้เสียง 1 ใน 10 ของสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด หรือประมาณ 72 เสียง และมีกรอบระยะเวลาตามกฎหมายที่จะสามารถดำเนินการยื่นได้ภายใน 15 วัน และว่า พรรคเล็กจะยื่นได้ จำเป็นต้องอาศัยเสียงของพรรคภูมิใจไทย และพรรคก้าวไกลที่ได้ลงมติงดออกเสียง ว่าทั้งสองพรรคจะร่วมยื่นด้วยหรือไม่ ซึ่งก็ต้องรอเขาตัดสินใจ และภายใน 15 วันนี้ ตนก็จะไปพูดคุยเจรจาประสานกัน
3. ศบค. คงพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด-คงเคอร์ฟิวถึง 30 ก.ย. เร่งปูพรมฉีดวัคซีนกลุ่มอายุ 12 ปีขึ้นไป ด้าน "บิ๊กตู่" สั่งจับตาโควิดสายพันธุ์มิว!
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันดูมีแนวโน้มลดลงแต่ยังไม่มากนัก โดยเมื่อวันที่ 6 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 13,988 ราย มีผู้เสียชีวิต 187 ราย, วันที่ 7 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 13,821 ราย มีผู้เสียชีวิต 241 ราย, วันที่ 8 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14,176 ราย มีผู้เสียชีวิต 228 ราย, วันที่ 9 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 16,031 ราย มีผู้เสียชีวิต 220 ราย, วันที่ 10 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14,403 ราย มีผู้เสียชีวิต 189 ราย และล่าสุด 11 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 15,191 ราย มีผู้เสียชีวิต 253 ราย
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานการประชุม ศบค. ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) เมื่อวันที่ 10 ก.ย. หลังประชุม นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า นายกฯ ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ได้สั่งติดตามการแพร่ระบาดของโควิด-19 กลายพันธุ์ หลังจากองค์การอนามัยโลกได้ประกาศยกระดับการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ MU (มิว) เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง
ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบการแพร่ระบาดในประเทศไทย รวมทั้งขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อสังเกต ข้อเสนอแนะหรือข้อท้วงติงที่เป็นประโยชน์ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา มาปรับใช้ในการทำงาน เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนและช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรียังกล่าวแสดงความพอใจหลังจากที่ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมโรงพยาบาลสนามที่เป็นความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน และสถานประกอบการในโครงการ Factory Sandbox โดยขอให้เป็นต้นแบบในพื้นที่อื่นๆ ด้วย เพราะไม่อาจคาดคะเนได้ว่า ไวรัสโควิด-19 จะอยู่นานแค่ไหน รัฐบาลยังเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน และขอให้ประชาชนปฏิบัติตาม Universal Prevention และทุกองค์กรเน้น COVID-19 FREE Setting (สถานประกอบการ ลูกค้า/ประชาชน) ให้ครอบคลุมทั้งในพื้นที่ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคด้วย
ทั้งนี้ นายกฯ ย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลเด็กนักเรียน โดย ศบค. และ สธ. จะเร่งปูพรมฉีดวัคซีนเด็กนักเรียนอายุ 12-18 ปื ภายในเดือน ต.ค. โดยจะต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง ยึดหลักและคำแนะนำทางการแพทย์ ครอบคลุมทั้งนักเรียน ครูและเจ้าหน้าที่ เพี่อสร้าง "โรงเรียนปลอดภัย” รวมทั้งสร้างความเข้าใจกับกลุ่มคนที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีนว่า การฉีดวัคซีนสามารถลดอาการเจ็บป่วย ลดการเสียชีวิต
ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลประชุม ศบค.ว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอภาพรวมการดำเนินการในสถานการณ์ที่ผ่านมา เพื่อประเมินสถานการณ์กรณีผ่อนคลายมาตรการควบคุมในเดือน ต.ค. ซึ่งที่ประชุมเห็นว่า หากผ่อนคลายมาตรการทั้งหมด จะทำให้มีการแพร่ระบาดหนักเหมือนช่วงก่อนล็อกดาวน์ และอาจมียอดผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นแตะ 3 หมื่นคน
ดังนั้นที่ประชุมจึงเห็นชอบให้คงมาตรการเดิมไว้ และให้เพิ่มมาตรการ Universal Prevention หรือมาตรการป้องกันแบบครอบจักรวาล การควบคุมเดินทาง และมาตรการองค์กรด้วย COVID free setting การตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท หรือ ATK รวมถึงยังคงพื้นที่ควบคุมสูงสดและเข้มงวดหรือสีแดงเข้ม 29 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุด หรือสีแดง 37 จังหวัดและ พื้นที่ควบคุมสีส้ม 11 จังหวัดไว้เหมือนเดิม นอกจากนี้ยังคงมาตรการเคอร์ฟิว 21.00-04.00 น.ไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย.
นอกจากนี้ที่ประชุม ศบค.ยังเห็นชอบแนวทางการให้บริการวัคซีนครอบคลุม 70% ของประชากรทั่วประเทศ หรือ 50 ล้านคน ซึ่ง สธ.นำเสนอแผนการจัดสรรวัคซีน โดยมีวัคซีนที่จะได้รับในเดือน ต.ค. ประมาณ 24 ล้านโดส แบ่งเป็น ซิโนแวค 6 ล้านโดส แอสต้าเซนเนก้า 10 ล้านโดส และไฟเซอร์ 8 ล้านโดส ซึ่งแผนการจัดสรรได้วางไปถึงเดือน ธ.ค. หากรวมยอดที่ได้รับบริจาคด้วย จะมีประมาณ 152.9 ล้านโดส
4. "น้องจีน่า" ปลอดภัย หลังถูกอุ้มหาย 3 วัน ตำรวจแจ้งข้อหา "อาผะ" หนุ่มเมียนมา ฐานพรากผู้เยาว์-กักขังหน่วงเหนี่ยว พร้อมขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการ!
ความคืบหน้ากรณี ด.ญ.พรศิริ หรือน้องจีน่า อายุ 1 ขวบ 11 เดือน หายไปจากบ้านห้วยผักดาบ หมู่ 16 ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 5 ก.ย. แม้เจ้าหน้าที่กว่า 100 นาย จะระดมกำลังค้นหาทั้งวันทั้งคืนในรัศมี 5 กม.จากหมู่บ้าน ก็ไม่พบตัว
ด้านนางมาลี ปะสี อายุ 23 ปี มารดาน้องจีน่า กล่าวเมื่อวันที่ 7 ก.ย. โดยเชื่อว่าลูกยังมีชีวิตอยู่ และน่าจะถูกคนนำตัวไป เพราะปกติลูกสาวค่อนข้างขี้กลัว และไม่เข้าใกล้คนอื่นนอกจากพ่อแม่ จะเล่นอยู่บริเวณบ้าน ไม่กล้าเดินออกจากบ้านขึ้นไปบนถนนของหมู่บ้านด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ยกเว้นเดินไปด้วยกัน จึงอยากวิงวอนขอความเห็นใจหากผู้ใดนำตัวไป ขอร้องอย่าทำร้ายน้องและให้นำตัวกลับมาคืนด้วยก่อนถึงวันเกิดของน้องในเดือนหน้า
วันต่อมา 8 ก.ย. ตำรวจได้นำตัวนายเสี่ยว หรืออาผะ อายุ 45 ปี แรงงานชาวเมียนมา ซึ่งเป็นเพื่อนพ่อน้องจีน่า และเป็นผู้ต้องสงสัย ไปชี้จุดที่เจ้าตัวบอกว่า นำตัวน้องไปปล่อยบนดอย เพื่อเร่งค้นหาน้องจีน่าเป็นการด่วน โดยคาดหวังว่าจะยังมีชีวิตอยู่ โดยการนำตัวนายอาผะไปชี้จุดครั้งนี้ มีขึ้นหลังตำรวจเค้นสอบนายเสี่ยวหลายชั่วโมง จนเจ้าตัวยอมรับสารภาพ โดยอ้างว่า มีเจ้าป่าเจ้าเขา บอกให้อุ้มน้องจีน่าไปสังเวยผีในถ้ำ จึงอุ้มไปส่งบริเวณปากถ้ำบนดอยห่างจากบ้านเด็กประมาณ 3 กม. พร้อมบอกว่า ไม่ได้ทำร้ายหรือฆ่าน้องจีน่า เพียงเอาไปส่ง แล้วก้มกราบปากถ้ำ ก่อนกลับลงมาที่หมู่บ้าน
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ไม่พบน้องจีน่าที่ปากถ้ำตามที่นายอาผะอ้างแต่อย่างใด แต่มีผู้พบน้องจีน่าที่กระท่อมกลางป่า ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1.5 กม. โดยผู้ที่พบคือ น้าสาวของนางมาลี มารดาน้องจีน่า หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่และกู้ภัยได้เข้าให้การช่วยเหลือและนำน้องจีน่าออกจากกระท่อมดังกล่าว ซึ่งน้องจีน่าปลอดภัยดี โดยกู้ภัยเล่าว่า ช่วงที่พบน้อง น้องแข็งแรง ไม่ร้องไห้ ไม่งอแง ยังกินน้ำและขนมได้ตามปกติ แต่ร่างกายอ่อนเพลียเล็กน้อย
วันต่อมา 9 ก.ย. ตำรวจได้สอบปากคำนายอาผะ ซึ่งนายอาผะได้ให้การเพิ่มเติมว่า ถูกคนจ้างวานด้วยสิ่งของบางอย่างให้มาอุ้มตัวน้องจีน่า นอกจากนี้ยังให้การซัดทอดไปถึงหลายคน เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างเชิญบุคคลที่ถูกพาดพิงมาสอบสวน โดยในจำนวนนี้รวมถึง 3 คนที่เจอน้องจีน่าเป็นคนแรก ซึ่งประกอบด้วย น้า ป้าเพื่อนบ้าน และหญิงอีกคน โดยญาติและคนในหมู่บ้านยืนยันว่า หญิงคนดังกล่าวทราบว่าเป็นหมอผีจากนอกหมู่บ้าน และเป็นคนบอกว่าน้องจีน่าอาจจะอยู่เลยจากหมู่บ้านไป กระทั่งทั้ง 3 คนเดินไปพบน้องจีน่าที่กระท่อม
ล่าสุด วันนี้ (11 ก.ย.) มีรายงานว่า ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหานายอาผะแล้ว ในข้อหาพรากผู้เยาว์และกักขังหน่วงเหนี่ยว พร้อมคุมตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพตามจุดต่างๆ ในหมู่บ้าน ท่ามกลางความสนใจของผู้คนทั้งหมู่บ้าน ส่วนจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาผู้อื่นที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติมหรือไม่นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมให้เกิดความชัดเจน
5. ตำรวจสรุปสำนวนชันสูตรศพเหยื่อคดี “ผกก.โจ้” ให้อัยการแล้ว ยืนยัน ผกก.โจ้กับพวกทำให้ตายจากถุงคลุมหัว-ขันชะเนาะ!
เมื่อวันที่ 10 ก.ย. นายสมพงศ์ เย็นแก้ว รองอธิบดีอัยการภาค 6 พร้อมคณะได้รับมอบสำนวนการสอบสวนคดี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาพร้อมลูกน้องตำรวจ รวม 7 นาย ใช้ถุงดำคลุมหัว นายจิระพงศ์ ธนพัฒน์ หรือมาวิน ผู้ต้องหาคดียาเสพติด จนเสียชีวิต จำนวน 2 แฟ้มใหญ่
นายสมพงศ์ กล่าวว่า พนักงานสอบสวนที่ร่วมกันทำคดี 4 ฝ่าย ซึ่งประกอบด้วย พนักงานอัยการ ฝ่ายปกครอง ตำรวจ และแพทย์ ได้รวบรวมผลการสอบสวนประเด็นการชันสูตรศพ พยานหลักฐาน พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ เสร็จสิ้น จึงได้นำสำนวนส่งอัยการจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อยื่นให้ศาลจังหวัดนครสวรรค์ไต่สวนการตายว่า เกิดจากผู้ต้องหาทั้ง 7 คน เพื่อให้ศาลมีคำสั่งยืนยันการตายต่อไป ซึ่งอัยการจังหวัดนครสวรรค์จะสามารถส่งสำนวนให้ศาลไต่สวนได้ในวันที่ 14 ก.ย.นี้ และศาลจะได้ประกาศหน้าศาลเพื่อให้ญาติผู้ตายได้ทราบและนัดไต่สวนต่อไป
ทั้งนี้ จากการรวบรวมพยานหลักฐานผลการชันสูตรศพนายจิระพงศ์ ทั้งพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการมีความเห็นยืนยันว่า เป็นการตายระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงาน สาเหตุของการตายเกิดจากขาดอากาศหายใจ คนที่ทำให้ตายตามสำนวนการชันสูตรพลิกศพระบุว่า เป็นการตายจากการกระทำของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล, พ.ต.ต.รวิโรจน์ ดิษทอง, ร.ต.อ.ทรงยศ คล้ายนาค, ร.ต.ท.ธรณินทร์ มาศวรรณา, ด.ต.ศุภากร นิ่มชื่น, ด.ต.วิสุทธิ์ บุญเขียว และ ส.ต.ต.ปวีณ์กร คำมาเร็ว ซึ่งเจ้าพนักงานอ้างว่า เป็นการปฏิบัติหน้าที่ และตายระหว่างที่อยู่ในการควบคุมของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์
“การตายเกิดจากการถูกกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวใช้ถุงคลุมศีรษะขันชะเนาะภายในห้องสืบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์ และผลการตายก็สืบเนื่องไปยัง 2 โรงพยาบาล คือ โรงพยาบาลพริ้นซ์ปากน้ำโพ และโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์”