1.“บิ๊กตู่-5 รมต.” ผ่านศึกซักฟอกฉลุย ด้าน “ธรรมนัส” ขอโทษ “บิ๊กตู่” ถ้าทำอะไรให้ไม่สบายใจ!
สถานการณ์การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลระหว่างวันที่ 31 ส.ค.-3 ก.ย. และลงมติในวันที่ 4 ก.ย. โดยรัฐมนตรีที่ถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจมี 6 คน ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ทั้งนี้ ก่อนหน้าการประชุมสภาฯ 2 วัน (29 ส.ค.) มีรายงานว่า แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้ทยอยเข้าพบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค พปชร. ท่ามกลางกระแสข่าวว่า มีความพยายามกดดัน พล.อ.ประยุทธ์ ให้ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมีรายงานด้วยว่า การกดดันให้ปรับ ครม.ครั้งนี้ นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรค พปชร.
หลังจากนั้น มีรายงานว่า ส.ส.หลายคนได้ระบายความรู้สึกให้ พล.อ.ประวิตร ฟังว่า น้อยใจ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ ส.ส. พล.อ.ประวิตร จึงอธิบายกับ ส.ส.ว่า นายกฯ เหนื่อยมาก ตั้งใจทำงานเพื่อส่วนรวม อย่าน้อยใจนายกฯ เลย พร้อมขอให้สนับสนุนนายกฯ และรัฐมนตรีของพรรคทุกคนที่ตั้งใจทำงาน ขอให้โหวตไปในทิศทางเดียวกันเท่ากันทุกพรรค
มีรายงานด้วยว่า พล.อ.ประวิตร ได้ถามกลางที่ประชุมถึงกระแสข่าวที่ว่า จะมีการกดดัน พล.อ.ประยุทธ์เพื่อเปลี่ยนขั้วทางการเมืองว่า เอาข่าวมาจากไหน ใครไปให้ข่าว หลังจากนั้น ร.อ.ธรรมนัส ได้ชี้แจงว่า ไม่มีอะไร ไม่มีการเปลี่ยนขั้วใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมทั้งยังสนับสนุนการทำงาน
ทั้งนี้ ก่อนหน้าการประชุมดังกล่าว มีรายงานด้วยว่า ร.อ.ธรรมนัส ได้รับความคิดเห็นจาก ส.ส.หลายคนที่ไม่พอใจการทำงานของรัฐมนตรี โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ลอยตัวไม่เห็น ส.ส.อยู่ในสายตา จึงเห็นว่าควรปรับเปลี่ยน โดยดึงโควต้ากระทรวงมหาดไทยให้กลับมาเป็นของพรรค
สำหรับบรรยากาศการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลในสภาฯ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ได้อ่านญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยระบุในส่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า เป็นบุคคลไร้ความสามารถที่จะเป็นหัวหน้ารัฐบาล บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว โดยเฉพาะช่วงที่โควิดระบาดตั้งแต่ต้นปี 2563 จนปัจจุบันกว่า 19 เดือน พร้อมกล่าวหาว่า พล.อ.ประยุทธ์รวบอำนาจ บริหารไม่สุจริต มีพฤติการณ์ฉ้อฉล ทุจริตในหน้าที่หลายเรื่อง ไม่เท่านั้น ยังกล่าวหาว่า พล.อ.ประยุทธ์มีลักษณะค้าความตาย เห็นวัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะ คิดการใหญ่ในการสร้างกำไรจากวัคซีน ร่วมกับนายอนุทิน หวังกอบโกยผลประโยชน์ ฯลฯ
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ ได้ชี้แจงว่า นายกฯ สั่งงานตามมติ ตามความเห็นชอบร่วมกันจึงจะสั่งได้ อย่ากล่าวหาว่าตนสั่งการแบบเผด็จการ ตนไม่ใช่คนแบบนั้น ส่วนการบริหารโควิด-19 แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ จัดเตรียมแผนเผชิญเหตุ และกำหนดมาตรการควบคุมโรคที่สอดคล้องกับสถานการณ์ ยืนยันว่า ระบบสาธารณสุขไม่ได้ล้มเหลว ต้องเชื่อมั่นบุคลากรทางการแพทย์ “ผมเสียใจที่มีการสูญเสีย บาดเจ็บ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ผมไม่ได้อยากค้าความตาย อย่าใช้คำพูดที่เว่อร์หรือเกินไปเลย ใครเสียชีวิตก็ไม่มีใครมีความสุขทั้งนั้น ...ยิ่งผมเป็นนายกฯ ใครเสียชีวิต ผมก็เสียใจมากกว่าอยู่แล้ว ผมแบกรับชีวิตของท่านไว้ด้วย...”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวกรณีมีข่าวอยู่ 2-3 เรื่อง “ข่าวการโหวตล้มนายกฯ เรื่องนี้ ถ้ามันจริง ผมถือว่าไม่ใช่สุภาพบุรุษ... ทำไปเพื่ออะไร ผมเข้ามาทำงานก็ทำงาน 100% ทุกเรื่อง ดังนั้นที่มีข่าวว่า จะมีการไปรวมคะแนนเสียงโหวต จริงไม่จริงผมไม่ทราบ ถือว่าไม่ใช่สุภาพบุรุษ ส่วนที่ 2 อาจจะมีการปล่อยข่าวว่า ผมจะยุบสภา... และมีการไปพูดในทำนองเรื่องของกำลังคน ทำให้นายกฯ ไม่มีอำนาจยุบสภา และเรื่องที่ 3 มีการแอบอ้างหรือเปล่า ผมยืนยันว่า ทุกเรื่องแอบอ้างทั้งสิ้น ผมยืนยัน”
ด้าน ร.อ.ธรรมนัส ได้กล่าวตำหนิสื่อสำนักหนึ่งที่แยกตัวมาใหม่ และตนฟ้องอยู่ที่ จ.พะเยา ที่พยายามนำไปพูดในทางเสียหาย “ข่าวลือที่ออกมาว่า ผมจะทำอันนู้นอันนี้ ไม่เป็นความจริง และมีข่าวที่ได้ยินจาก ส.ส.ที่โทรศัพท์มาหาว่า มีหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคเล็กคนหนึ่งเสนอรับเงิน 10 ล้านบาท เพื่อต่างตอบแทน และร้ายไปกว่านั้น มีรัฐมนตรีในพรรค พปชร.รับงานมาล็อบบี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรค พปชร.ในการโหวตสนับสนุนใครคนใดคนหนึ่ง ต้องถามว่า คนเป็นรัฐมนตรี สมควรทำอย่างนั้นหรือไม่ 4 ช.ที่ว่ากัน ฝากไปบอกเขาด้วยว่า ทำอะไรเพื่อบ้านเพื่อเมืองบ้าง อย่าเห็นผลประโยชน์ส่วนตัว นี่คือคำตอบผม”
ทั้งนี้ นอกจากกระแสข่าวต่างๆ จะออกมาในลักษณะให้เกิดความหวาดระแวงกันระหว่างพรรค พปชร.กับนายกฯ แล้ว บรรยากาศการอภิปรายในสภาฯ ก็ยังมีการกล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ ว่าแจกเงิน ส.ส.อีกด้วย โดยนายวิสาร เตชะธีรวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีพฤติกรรมใช้มีดกรีดแขนตัวเองกลางสภาจนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เหมาะสมต่อการเป็น ส.ส. มาคราวนี้ กล่าวหาว่า พล.อ.ประยุทธ์กำลังแจกเงินให้ ส.ส.5 ล้านบาทที่ชั้น 3 ของสภาฯ โดยนายวิสารไม่มีหลักฐานประกอบการกล่าวหาแต่อย่างใด
ซึ่งภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกสวนกลับว่า “ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่ได้ทำอะไรบ้าๆ บอๆ อย่างที่ท่านกล่าวหา คนที่เข้ามาพบผม แค่มาคารวะ มาให้กำลังใจนายกฯ ไม่ทำถุงขนมอยู่แล้ว”
ขณะที่นายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรค พปชร.ได้โต้กลับนายวิสารเช่นกันว่า “ท่านจะมากล่าวหาเพื่อนสมาชิกด้วยกัน ผมว่ามันเลวทรามต่ำช้า ไม่เข้าใจว่า สมาชิกเอาคำพูดเลวๆ อย่างนี้มาพูดในสภาได้อย่างไร...”
นอกจากนี้ในโซเชียลมีเดียยังมีการแชร์ภาพบุคคลเดินลากกระเป๋าในสภา โดยพยายามให้เข้าใจว่า มีการขนเงินเพื่อแจก ส.ส.หรือไม่ ซึ่งภายหลังทราบว่า การ์ดนายกฯ ลากกระเป๋าเอกสาร ซึ่งเป็นข้อมูลของทุกกระทรวง ไม่ใช่เงินแต่อย่างใด
สำหรับผลการลงมติการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล (4 ก.ย.) ปรากฏว่า ทั้งนายกฯ และรัฐมนตรีรวม 6 คนได้รับเสียงไว้วางใจทั้งหมด โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้เสียงไว้วางใจ 264 เสียง ไม่ไว้วางใจ 208 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง ไม่ลงคะแนน 0 เสียง, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เสียงไว้วางใจ 269 เสียง ไม่ไว้วางใจ 196 เสียง งดออกเสียง 11 เสียง ไม่ลงคะแนน 0 เสียง
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้เสียงไว้วางใจ 263 เสียง ไม่ไว้วางใจ 201 เสียง งดออกเสียง 10 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ไว้วางใจ 269 เสียง ไม่ไว้วางใจ 195 เสียง งดออกเสียง 10 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เสียงไว้วางใจ 270 เสียง ไม่ไว้วางใจ 199 เสียง งดออกเสียง 8 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ส่วนนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เสียงไว้วางใจ 267 เสียง ไม่ไว้วางใจ 202 เสียง งดออกเสียง 9 เสียง ไม่ลงคะแนน 0 เสียง
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายสุชาติ ได้เสียงไว้วางใจน้อยสุด 263 เสียง ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เสียงไว้วางใจเกือบน้อยสุด 264 เสียง และเสียงไม่ไว้วางใจมากสุด 208 เสียง
เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า ก่อนหน้าจะถึงวันลงมติ 1 วัน (3 ก.ย.) มีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้มีการพบเคลียร์ใจกับ พล.อ.ประวิตร และ ร.อ.ธรรมนัส ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ โดย ร.อ.ธรรมนัสได้ยกมือไหว้ขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมกับกล่าวว่า “ถ้าทำอะไรให้ท่านไม่สบายใจ ผมขอโทษ” ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ยกมือรับไหว้ ต่อมา ร.อ.ธรรมนัส ได้ชี้แจงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ข่าวที่ออกมาเป็นข่าวลือทั้งหมด นักข่าวไปเขียนกันเอง ผมไม่รู้เรื่อง เป็นเฟคนิวส์ ก่อนจะระบายความในใจด้วยว่า ที่เชิญท่านมา อยากขอความมั่นใจว่านายกฯ จะดูแล และจะทำงานร่วมกับพวกเรา ส.ส.และพรรค พปชร.อย่างไร ผมมาขอความมั่นใจ พล.อ.ประยุทธ์ จึงถามว่า มีอะไรที่เราต้องดูแลบ้าง ร.อ.ธรรมนัส จึงกล่าวว่า "มีหลายเรื่องที่ ส.ส.ไม่สบายใจ ในฐานะที่เราเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล พรรคอื่นขออะไรก็ได้ แต่พวกเราไม่ได้อะไรเลย" พล.อ.ประยุทธ์ จึงกล่าวว่า "ถ้าโครงการต่างๆ มันถูกกฎหมาย ก็เขียนมาสิ"
นอกจากนั้น ร.อ.ธรรมนัส ยังได้พูดกับ พล.อ.ประยุทธ์ อีกว่า "ท่านไม่เคยมาดูแล ไม่ได้เจอ ส.ส.ในพรรคเลย ส.ส.หลายคนก็ไม่เคยได้รู้จักกับท่านเลย" พล.อ.ประยุทธ์ ได้ตอบว่า “ถ้าเป็นปัญหาแบบนี้ เราก็จะไปปรับตัวดู” ร.อ.ธรรมนัส จึงกล่าวตอบว่า “อะไรที่ผิดพลาดไป ผมก็ต้องขออภัย แต่สิ่งที่ผมพูดไป พูดในฐานะเลขาธิการพรรคที่ต้องดูแลพรรค ดูแล ส.ส.”
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเดินทางไปที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ด้วย ได้พูดกับ ส.ส.พปชร.ช่วงหนึ่งว่า "อะไรที่ทำได้ ก็จะทำ อะไรที่ผ่านมา ก็อย่าไปคิด"
2.ศาลฎีกายกฟ้อง 6 แกนนำพันธมิตรฯ ชุมนุมดาวกระจายไล่ “สมัคร” เหตุฟ้องซ้ำ พิพากษาจำคุก “ไชยวัฒน์-อมร-เทิดภูมิ” 8 เดือน ไม่รอลงอาญา!
เมื่อวันที่ 31 ส.ค. ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่พนักงานอัยการคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง 9 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายพิภพ ธงไชย, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายสุริยะใส กตะศิลา, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, นายอมร อมรรัตนานนท์ หรือรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี และนายเทิดภูมิ ใจดี อดีตแกนนำ พธม.เป็นจำเลยที่ 1-9 ในความผิดฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีอื่นใด เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่ประชาชนและก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร, ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยเป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการโดยผู้กระทำคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิก แต่ไม่เลิก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 215, 216 จากกรณีรวมตัวชุมนุมต่อต้านและขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2551
คดีนี้ อัยการโจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2551 จำเลยทั้ง 9 คน ได้จัดชุมนุมใหญ่ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ.ราชดำเนินกลาง ต่อมาจำเลยทั้งหมดได้นำกลุ่ม พธม. จำนวนมากเคลื่อนขบวนไปทำเนียบรัฐบาล ปิดการจราจรใน ถ.ราชดำเนินนอก ตั้งแต่สี่แยกมัฆวานรังสรรค์ไปจนถึงสี่แยก จปร. เป็นที่ชุมนุมประท้วง ไปจนถึงวันที่ 5 ต.ค. 2551 โดยได้มีการตั้งเวทีถาวร กางเต็นท์ มีโรงครัวปรุงอาหาร ขึงลวดหนามกั้นถนนราชดำเนินนอก มีการตั้งกองกำลังรักษาความปลอดภัยเรียกว่า “นักรบศรีวิชัย” นอกจากนี้ยังมีการจัดเตรียมเครื่องมือ เช่น ไม้เบสบอล หนังสติ๊ก ท่อนเหล็ก เพื่อใช้เป็นอาวุธ ส่อไปในทางที่จะก่อให้เกิดความรุนแรงถึงขนาดก่อความไม่สงบขึ้นในประเทศ
ส่วนบนเวทีปราศรัย จำเลยทั้ง 9 คน ได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นกล่าวปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาลนายสมัครตลอด 24 ชั่วโมง ร่วมกันชักชวนผู้ชุมนุมหลายหมื่นคนกระทำการปิดถนนสาธารณะและเคลื่อนกำลังไปในลักษณะ “ดาวกระจาย” ใช้รถยนต์บรรทุกเป็นเวทีปราศรัยเคลื่อนที่ไปกดดันบริเวณสถานที่ราชการหลายแห่ง เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และได้รับการประกันตัวในชั้นพิจารณา
ต่อมา ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2560 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1-6 เนื่องจากเป็นการฟ้องจำเลยซ้ำกับคดี พธม. บุกรุกทำเนียบรัฐบาล อัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 7-9 ศาลเห็นว่าการกระทำเป็นความผิดฐานมั่วสุม 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ ตามมาตรา 215 วรรคหนึ่ง แต่เห็นควรให้รอการกำหนดโทษจำเลยที่ 7-9 ไว้ก่อน มีกำหนด 2 ปี
ต่อมา ศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2562 ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด โดยยกฟ้องจำเลยที่ 1-6 เนื่องจากเห็นว่า อัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 7-9 ศาลเห็นว่า ไม่ได้กระทำความผิดฐานก่อความวุ่นวายตามมาตรา 215 วรรคแรก แม้โจทก์จะมีพยานเจ้าหน้าที่เบิกความกรณีผู้ชุมนุมต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติงาน จากการที่เจ้าหน้าที่ได้เข้ารื้อเวทีและเต๊นท์ของกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่ได้เริ่มจากกลุ่มผู้ชุมนุม และที่มีการตรวจค้นพบขวานและเหล็กแป๊บในพื้นที่ เกิดขึ้นภายหลังกลุ่มผู้ชุมนุมขนย้ายเต๊นท์และข้าวของออกไปหมดแล้ว จึงค่อนข้างผิดวิสัย อีกทั้งไม่ได้ค้นพบจากตัวผู้ชุมนุม ทำให้มีข้อสงสัยว่า อาจจะไม่ใช่ของผู้ชุมนุมเอง ศาลเห็นว่า การชุมนุมของกลุ่ม พธม.เป็นการชุมนุมโดยสงบ ใช้สิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ หลังจากนั้น อัยการโจทก์ยื่นฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลย
ทั้งนี้ เมื่อถึงวันที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา (31 ส.ค.) จำเลยทั้ง 9 คนได้เดินทางมาศาลตามนัด โดยนายเทิดภูมิ ใจดี จำเลยที่ 9 นั่งรถเข็นมาฟังคำพิพากษา
ด้านศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษากันแล้ว มีประเด็นวินิจฉัยว่า คดีที่อัยการโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1-6 เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีอื่นหรือไม่ ศาลเห็นว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นการกดดันให้รัฐบาลนายสมัครลาออก ซึ่งโจทก์ฟ้องเป็นคดีไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1-6 อีก ถือว่าเป็นคดีที่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว โจทก์จึงนำการกระทำความผิดในคราวเดียวกันมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1-6 เป็นคดีนี้อีกไม่ได้ จึงเป็นการฟ้องซ้ำ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
ส่วนจำเลยที่ 7-9 ศาลเห็นว่า ได้ผลัดเปลี่ยนกันตั้งแต่วันที่ปราศรัยเชิญชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมบนท้องถนน อันเป็นการกีดขวางถนนสาธารณะ และมีจุดมุ่งหมายจะขับไล่นายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเลยที่ 7 ยังเดินทางไปปิดถนนมิตรภาพ จ.นครราชสีมา ส่วนจำเลยที่ 8 ก็ไปที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยด้วยตนเอง แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 7 และ 8 มีส่วนร่วมกับจำเลยอื่นที่เป็นแกนนำในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ
การกระทำของจำเลยที่ 7-9 ที่จัดชุมนุมที่มีการปิดกั้นการจราจร จึงเป็นการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ตามความผิดมาตรา 215 แล้ว แม้จะขึ้นปราศรัยบนเวที แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 7-9 มีอำนาจสั่งการหรือเป็นหัวหน้าที่ร่วมในการออกแถลงการณ์และกำหนดวิธีการชุมนุมในนามของกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย จึงไม่เป็นผู้มีอำนาจสั่งการ หรือเป็นหัวหน้า และเมื่อไม่ปรากฏว่า ผู้ชุมนุมมีอาวุธ จึงไม่ผิดมาตรา 215 วรรคสองด้วย แต่เมื่อปรากฎว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเจรจากับจำเลยที่ 7-9 ขอให้ยุติการชุมนุม แต่ไม่เลิก การกระทำของจำเลยที่ 7-9 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 216
รวมทั้งการที่จำเลยที่ 7-9 ร่วมกันชุมนุมและปราศรัยโดยยกระดับจากคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการขับไล่นายสมัครให้ลาออกจากตำแหน่ง และประกาศให้ประชาชนใช้กำลังบุกยึดพื้นที่ของรัฐที่เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ถือเป็นการกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาหรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ส่วนการยุยงส่งเสริมให้ประชาชนไม่ต้องชำระค่าไฟ ค่าน้ำประปานั้น ย่อมทำให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่ประชาชน และส่งผลกระทบต่อระบบราชการบริการสาธารณะ การกระทำของจำเลยที่ 7-9 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมาย มาตรา 116 (2) (3)
ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 7 ต่อจากโทษในคดีหมายเลขดำที่ อ.1279/255 ของศาลชั้นต้น และนับโทษจำคุกจำเลยที่ 8 และ 9 ต่อจากโทษในคดีหมายเลขดำที่ 873/2556 ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีดังกล่าวไม่ปรากฎว่าศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่อาจนับโทษต่อจากคดีดังกล่าวได้ จึงพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 7-9 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคแรก, 216, 116 (2) (3) ประกอบมาตรา 83 การกระทำเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 116 (2) (3) ซึ่งเป็นบทหนักสุด จำคุกคนละ 1 ปี ทางนำสืบของจำเลย เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 7-9 คนละ 8 เดือน นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยไม่รอลงอาญา
หลังศาลพิพากษาแล้วเสร็จ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายไชยวัฒน์, นายอมร และนายเทิดภูมิ จำเลยที่ 7-9 ไปยังห้องควบคุมชั้นล่างศาลอาญา ก่อนจะคุมตัวไปยังเรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพฯ ต่อไป ส่วนจำเลยที่ 1-6 ซึ่งศาลยกฟ้อง ต่างทยอยเดินทางกลับ โดยไม่ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด
3. ย้าย ผกก.โจ้กับพวก ขังคุกคลองเปรม ด้านอัยการภาค 6 เผย ผู้ต้องหาสุดทารุณ ถุงคลุมหัว 6 ชั้น ขันชะเนาะหลายรอบ จนขาดอากาศ-สมองตาย!
ความคืบหน้าคดี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ พร้อมพวกรวม 7 นาย ซ้อมทรมานโดยใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาคดียาเสพติด 6 ชั้น จนขาดอากาศหายใจเสียชีวิต ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่า ไม่เจตนาฆ่านั้น
เมื่อวันที่ 31 ส.ค. นายณรงค์ จุ้ยเส่ย ผู้บัญชาการเรือนจำกลางพิษณุโลก เผยกรณีมีการปล่อยข่าวอ้างว่า ผกก.โจ้อาจเป็นโรคไบโพลาร์ว่า หลังจากเรือนจำรับตัว ผกก.โจ้ เข้ามา ยังไม่พบอาการผิดปกติแต่อย่างใด และมีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ เข้าประเมินสภาพจิตใจแล้วไม่พบป่วยเป็นจิตเวช
วันต่อมา (1 ก.ย.) พนักงานสอบสวนได้ปฏิบัติตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยการยื่นคำร้องขอโอนการฝากขัง ผกก.โจ้กับพวกรวม 7 คน ซึ่งครั้งแรกได้ยื่นฝากขังผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดนครสวรรค์ ที่ดำเนินการแทนศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 โดยศาลได้อนุญาตให้ฝากขัง ผู้ต้องหาที่ 1-7 มีกำหนด 12 วัน
แต่เนื่องจากคดีดังกล่าวผู้ต้องหาเป็นข้าราชการตำรวจในสังกัด สภ.เมืองนครสวรรค์ และถูกตั้งข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญา มีพฤติกรรมกระทำผิดร้ายแรงเป็นคดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน และให้โอนสำนวนการสอบสวนจาก สภ.เมืองนครสวรรค์ ไปสอบสวนยังกองบังคับการปราบปราม และขอโอนการขังผู้ต้องหาระหว่างสอบสวนจากเรือนจำกลางพิษณุโลก ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อสะดวกในการสอบสวนและดำเนินการตามกฎหมาย ด้านศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้โอนการฝากฝากขขังผู้ต้องหาตามคำร้องดังกล่าว
ด้านนายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยว่า เนื่องจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ยังไม่สามารถรับผู้ต้องขังเข้าใหม่ได้ เพราะยังคงมีผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด-19 ภายในเรือนจำ จึงจำเป็นต้องนำตัวทั้ง 7 ราย เข้าควบคุมที่เรือนจำกลางคลองเปรมตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าจะมีการย้ายผู้ต้องหาดังกล่าว 1 วัน (2 ก.ย.) นายสมพงษ์ เย็นแก้ว รองอธิบดีอัยการภาค 6 ได้เข้าร่วมสอบสวน ผกก.โจ้กับพวก ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายใหม่ที่ให้อัยการร่วมสอบกับพนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง
หลังสอบ นายสมพงษ์ เผยว่า การสอบสวน ผกก.โจ้ นั้นเสร็จแล้ว ยังคงให้การภาคเสธว่า กระทำจริง แต่อ้างว่า ต้องการเค้นข้อมูล ไม่ได้มีเจตนาฆ่า แต่ทางอัยการฯ แจ้งข้อกล่าวหาว่า ฆ่าคนตายโดยเจตนา เล็งเห็นผลโดยทารุณโหดร้ายและทรมาน ส่วนผู้ต้องหาอีก 6 คนที่ร่วมกันนั้น อยู่ระหว่างการสอบสวน แต่ทั้งหมดไม่สามารถบอกว่า ทำตามนายสั่ง เพราะคำสั่งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นายสมพงษ์ กล่าวด้วยว่า “ผู้ต้องหาก็มีสิทธิให้การยังไงก็ได้ แต่ในบทบาทของพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ ต้องดูที่พยานหลักฐานที่ปรากฏ ดูที่การกระทำและผลแห่งกรรมเป็นเครื่องชี้ชะตา ไปดูที่เจตนาว่า ฆ่าจริงหรือไม่ ทารุณโหดร้ายจริงหรือไม่” ซึ่งพฤติการณ์ของ ผกก.โจ้ ทำลงไปตามหลักฐานที่ปรากฏ คือ ใช้ถุงคลุมศีรษะถึง 6 ถุง มีการขันชะเนาะหลายรอบ การขันชะเนาะนั้นตามหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่มี พบว่ามีร่องรอยช้ำแดง แสดงว่าการขันรอบคอมีลักษณะการใช้ความรุนแรง ยิ่งกดแรงเท่าไหร่ก็เหมือนการบีบคอ อากาศเข้าไม่ได้ ไม่สามารถหายใจได้ การกดคอลงกับพื้นยิ่งทำให้ไม่มีอากาศ ทั้งยังมีการใส่กุญแจมืออีก “สิ่งที่พบตามหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ คือ ผู้ถูกกระทำไม่ได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงสมองนาน 4-7 นาทีส่งผลทำให้สมองตาย”
4. ผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ในไทยเริ่มลดลง ด้าน สปสช.เล็งแจกชุดตรวจ ATK กลุ่มเสี่ยงใน กทม. 2 ล้านชุด!
สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในไทยสัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่เริ่มลดลง โดยเมื่อวันที่ 29 ส.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 16,536 ราย มีผู้เสียชีวิต 264 ราย, วันที่ 30 ส.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 15,972 ราย มีผู้เสียชีวิต 256 ราย, วันที่ 31 ส.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14,666 ราย มีผู้เสียชีวิต 190 ราย, วันที่ 1 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14,802 ราย มีผู้เสียชีวิต 252 ราย,วันที่ 2 ก.ย. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14,956 ราย มีผู้เสียชีวิต 262 ราย, วันที่ 3 ก.ย.พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14,653 ราย มีผู้เสียชีวิต 271 ราย ล่าสุด (4 ก.ย.) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 15,942 ราย มีผู้เสียชีวิต 257 ราย
ทั้งนี้ บางฝ่ายยังไม่อยากเชื่อว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ลดลงเป็นตัวเลขที่แท้จริงหรือไม่ หรือเกิดจากการตรวจน้อย จึงพบผู้ติดเชื้อน้อย ซึ่ง ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ลดลงเป็นตัวเลขจริง “หากระแวงกัน จะกลายเป็นประเด็นการเมืองไปหมด ในความเป็นจริง เราไม่ได้ดูตัวเลขต่อวันลดลงอย่างเดียว ดูหลายตัวเลขคู่ขนานกันไป จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ ผู้ใส่ท่อช่วยหายใจก็ลดลง รวมถึงตัวเลขผู้ติดเชื้อในระบบ เพราะการติดเชื้อบวกหรือลบมี 2 อย่าง คือ การตรวจเชิงรุก และตัวเลขในระบบที่เข้ามาตรวจหาเชื้อเอง ตัวเลขตรงนี้ก็ลดลง ยิ่งทำให้รู้ว่าตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวเลขจริง”
ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า “ผมเชื่อว่า จากนี้ไปปัจจัยหรือมาตรการด้านวัคซีนมีแต่แนวโน้มบวก น่าจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ แต่เราต้องระวังปัจจัยด้านสังคม การจัดการต้องไม่เร็วเกินไป รัฐบาลต้องไม่ผ่อนเร็วเกินไป ประเมินได้ทุก 14 วัน และมาตรการส่วนบุคคล ต่างคนต้องตระหนัก หากไม่อยากกลับไปถูกล็อกดาวน์ใหม่ ทุกคนต้องช่วยกันยาวไปถึงปลายปี จนกระทั่งเรากดตัวเลขใหม่กลับมาเหลือแค่ตัวเลข 3 ตัว ถ้าทำได้ จะเริ่มผ่อนสบายใจขึ้น หวังว่าปีหน้า วัคซีนรุ่นที่ 2 ออก จะช่วยเราได้ดีขึ้น ถ้าไม่เกิดสายพันธุ์ใหม่”
ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังประชุม ครม.เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ว่า ครม.ได้อนุมัติงบประมาณ 4,745 ล้านบาท จัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์จำนวน 9,998,820 โดส เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมาย 6 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มเด็กอายุ 12-17 ปี 2.หญิงมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป 3.บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า 4.ผู้สูงอายุ และ 7 กลุ่มโรคเสี่ยง 5.ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทย และ 6.ผู้ที่มีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไฟเซอร์ก่อนจะเดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน นักศึกษา หรือนักการทูต และว่า ที่ผ่านมา ครม.เคยอนุมัติจัดซื้อวัคซีนไปแล้ว 80 ล้านโดส วงเงิน 22,990 ล้านบาท แบ่งเป็นการจัดซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 61 ล้านโดส ซิโนแวค 19 ล้านโดส และไฟเซอร์ 20 ล้านโดส มั่นใจว่า ประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายการจัดหาวัคซีนให้ได้ 100 ล้านโดสในปี 2564 นี้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 ส.ค. นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เผยว่า องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ได้ลงนามจัดซื้อชุดตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท หรือ ATK 8.5 ล้านชุดแล้ว เบื้องต้นกำหนดให้กระจายในพื้นที่สีแดงเป็นลำดับแรก โดยกระจายให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงในชุมชนแออัด และประชาชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่อื่นๆ ทั่วไป จะได้รับชุดตรวจ ATK คนละ 2 ชุด เว้นระยะตรวจห่างกัน 5 วัน
“กระจาย ATK ในชุมชนทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ กว่า 2,000 ชุมชน แจก ATK ชุมชนละ 1,008 ชุด รวม 2 ล้านชุด โดยส่งผ่านศูนย์บริการสาธารณสุข และให้อาสาสมัครสาธารณสุข ผู้นำชุมชน หรือผู้ที่ได้รับคัดเลือก เป็นผู้นำไปแจกในชุมชน ครอบคลุมประชาชนทุกสิทธิ เน้นกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ และผู้ป่วย 7 โรค ผู้ที่สงสัยว่ามีอาการติดเชื้อ ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้ป่วยโควิด และผู้ทำงานประสานงานในชุมชน”
หากผลตรวจพบเชื้อโควิด จะจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ให้กับผู้ติดเชื้อ และลงทะเบียนเข้าสู่ระบบการดูแลผู้ป่วยโควิดที่บ้านและในชุมชน (HI/CI) เป็นการดำเนินการในรูปวัน สต็อป เซอร์วิส ตามหลักการ “แจก-เจอ-จ่าย-จบ”
5. ป้าแต๋น” เข้ารับทราบข้อกล่าวหาคดีน้องชมพู่ ยันเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ใจร้ายก่อเหตุกับหลาน!
ความคืบหน้าคดีน้องชมพู่เสียชีวิตปริศนาบนเขาใน อ.ดงหลวง กว่า 1 ปีที่ผ่านมา ต่อมา อัยการ จ.มุกดาหาร เตรียมสรุปสำนวนคดีส่งฟ้องต่อศาล จ.มุกดาหารภายใน 2 สัปดาห์ หลังพิจารณาสำนวนคดี และให้พนักงานสอบสวนคดีน้องชมพู่ แจ้งข้อกล่าวหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาต่อนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ผู้ต้องหาคดีนี้เพิ่มเติมเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมานั้น
ล่าสุด อัยการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ปรากฏพยานหลักฐานและพฤติการณ์ทั้งหลายในสำนวนการสอบสวน โดยมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า น.ส.สมพร หลาบโพธิ์ หรือแต๋น ได้ร่วมกระทำผิดกับผู้ต้องหา โดยร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพของน้องชมพู่ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ตาม ป.วิอาญา มาตรา 150 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 2 ปี ปรับตั้งแต่ 10,000-40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้ากระทำผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทำโดยทุจริต หรือเพื่ออำพรางคดี ผู้กระทำต้องระวางโทษเป็น 2 เท่า ของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
นอกจากนี้ยังถูกแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 83 ประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งบัญญัติว่า “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น”
ล่าสุดวันนี้( 4 ก.ย.) นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ ได้พานางสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น เข้ารับทราบข้อกล่าวหาคดีน้องชมพู่ ที่ สภ.กกตูม อ.ดงหลวง โดยมีนายไชย์พล วิภาหรือ ลุงพล เดินทางมาด้วยเพื่อให้กำลังใจภรรยา
นายรัชพล กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นเพียงการมารับทราบข้อกล่าวหาเท่านั้น ไม่มีการประกันตัว แต่วันที่ 7 ก.ย. เวลา 10.00 น. ป้าแต๋นมีนัดไปพูดคุยกับอัยการจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งวันนั้นต้องเตรียมหลักทรัพย์ เนื่องจากศาลจะวินิจฉัยอีกครั้งว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่
ขณะที่ป้าแต๋นมีสีหน้ากังวล พร้อมกล่าวว่า ที่ผ่านมาให้กำลังใจลุงพลตลอด หลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีน้องชมพู่ และไม่คิดว่าตัวเองจะถูกเอี่ยวในคดีนี้ด้วย ตอนนี้ยอมรับมีความกังวลและเกรงว่าลูกๆจะได้รับผลกระทบจากคดีนี้ ยืนยันคือผู้บริสุทธิ์ และไม่ใจร้ายก่อเหตุกับหลานของตัวได้ลง
ด้านนายไชย์พล หรือลุงพล กล่าวเพียงว่า ให้กำลังใจป้าแต๋นก่อนมา สภ. ซึ่งก่อนออกมาได้ไหว้ศาลพระพรหมหน้าบ้าน เพื่อขอพรให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี และว่า ขณะนี้มีกำลังใจดีขึ้น เพราะเมื่อวานพาป้าแต๋นไปทำบุญ และฝากถึงตำรวจ ขอให้ดำเนินคดีนี้อย่างรัดกุมและรอบคอบ