เพจ “ประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช” ได้โพสต์ข้อความอธิบายวิธีการจำแนกลักษณะของช้างไทย หลังเกิดประเด็นดรามาที่ครูนำรูป “ช้างแอฟริกา” มาสอนเด็กอนุบาล และบอกเป็นสัตว์ประจำชาติไทย
จากกรณี dltv มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ได้มีการสอนรายการ รักเมืองไทย โดยเป็นการสอนเด็กอนุบาลเกี่ยวกับการเรียกชื่อสัตว์ แต่ปรากฏว่ามีประเด็นที่กลายเป็นจุดที่วิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้น เกี่ยวกับครูสอนเด็กนักเรียนเรียกชื่อสัตว์ไม่ตรงประเภท เช่น การนำรูปช้างแอฟริกามาให้นักเรียนชั้นอนุบาล 1 ดู แล้วบอกเด็กว่า นี่คือ สัตว์ประจำชาติไทย ด้าน นพ.รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์ หรือ หมอหม่อง อาจารย์แพทย์โรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์แสดงความเป็นห่วงเรื่องการศึกษา
อ่านข่าวประกอบ : ดรามาสนั่น! ครูสอนนักเรียนเรียกชื่อสัตว์ผิด เปรียบวัดพระแก้วแล้วเอารูปโบสถ์ในกรุงวาติกันมาแทน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 ส.ค. เพจ “ประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช” ได้โพสต์ข้อความอธิบายวิธีการจำแนกลักษณะของช้างไทย ระบุว่า “ช้างไทยที่เราพบเห็นหรือเรียกว่าช้างไทยนั้น จริงๆ แล้วคือ ช้างเอเชีย สายพันธุ์อินเดีย (Elephas maximus indicus) ซึ่งช้างอินเดีย ยังพบในอีกหลายๆประเทศด้วยกัน (อินเดีย บังกลาเทศ ภูฏาน เนปาล เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม จีน มาเลเซีย และไทย)
ในประเทศไทยนั้นเรียกสายพันธุ์นี้ ว่า “ช้างไทย” และได้มีการจำแนกลักษณะช้าง ตัวผู้และตัวเมียออก
โดยหลักๆ จะดูจากงา และเพศ ซึ่งสามารถจำแนกได้ตามนี้ ช้างสีดอ คือ ช้างเพศผู้ ที่ไม่มีงา / ช้างพลาย คือ ช้างเพศผู้ ที่มีงา /ช้างพัง คือ ช้างเพศเมีย
นอกจากงาและเพศแล้วยังสามารถสังเกตได้จากจุดอื่นๆ ได้อีก เช่น ส่วนหัว ตัวผู้จะใหญ่กว่าตัวเมีย และมีฐานงวงนูนโป่งกว่าตัวเมีย ส่วนหลังและบั้นท้าย เมื่อสังเกตจากด้านข้าง ช่วงบั้นท้ายของตัวผู้จะค่อยๆโค้งลาดลง ในขณะที่ของตัวเมียจะหักตรงลงมา
ถุงหุ้มอวัยวะเพศ โดยถุงหุ้มอวัยวะเพศของตัวผู้จะเรียวแหลมลงมา และวางตัวขนานกับท้อง บางครั้งจะเห็นอวัยวะเพศออกมาจากช่องท้องด้วย, ต่างจากตัวเมียถุงหุ้มอวัยวะเพศจะยาวลู่ลงมาในแนวดิ่งที่บริเวณขาหลัง
เต้านม ช้างตัวเมียจะมีเต้านมระหว่างขาคู่หน้า เต้านม จะเต่งนูนขึ้นจนสังเกตเห็นได้ชัด
การตกมัน หลังจากช่วงที่ช้างได้กินอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์ช้างตัวผู้ มักจะมีอาการตกมัน โดยจะมีของเหลวข้นกลิ่นแรง ไหลออกมาจากต่อมบริเวณขมับ (Temporal gland) ย้อยลงมาบริเวณแก้มเห็นเป็นแถบสีดำ”