xs
xsm
sm
md
lg

“หมอโอ๋” เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน เผยติดโควิดทั้งครอบครัว ยันแม้ได้รับวัคซีนครบแถมยกการ์ดสูงยังติด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” หรือ หมอโอ๋ ออกมาเผยข่าวที่ทำเอาชาวโซเชียลฯ เศร้าไปตามๆ กัน หลังตนเองและครอบครัวเพิ่งทราบผลว่า ติดเชื้อโควิด-19 แม้หมอโอ๋เผยว่าไม่ได้ทำงานเป็นด่านหน้า แต่ยังได้รับเชื้อแม้มีการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม และดูแลป้องกันตัวเองอย่างถี่ถ้วน ไม่เคยถอดหน้ากากอนามัยขณะปฏิบัติงานด้วยซ้ำ

เมื่อวันที่ 9 ก.ค.เพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” หรือ ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หรือ กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ออกมาโพสต์ระบุข้อความ “เมื่อหมอต้องต่อสู้กับโควิด ตั้งแต่เขียนเพจมา โพสต์นี้เป็นโพสต์ที่มีความยากลำบากที่สุดในการตัดสินใจเขียน อยากเรียนให้ทราบว่า “หมอและครอบครัวติดเชื้อโควิดแล้วนะคะ” หมอมีประวัติสัมผัสบุคลากรที่มาทราบทีหลังว่ามีการติดเชื้อ หมอใส่หน้ากากป้องกันตลอดเวลาขณะทำงาน และไม่ได้กินข้าวร่วมกับใครในระยะเวลาที่มีความเสี่ยง ทาง IC รพ.ประเมินว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงต่ำ แต่ให้ไปตรวจ เพราะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ตรวจครั้งแรก ผลเป็นลบ ทางหน่วยสอบสวนโรคติดเชื้อของโรงพยาบาล ประเมินว่ามีความเสี่ยงต่ำ เพราะ “ฉีดวัคซีนครบ” ใส่มาสก์ตลอดเวลา ให้ทำงานได้ตามปกติ ช่วงค่ำๆ ก่อนวันตรวจซ้ำ หมอมีไข้ต่ำๆ คัดจมูก กินอาหารเหมือนไม่ค่อยรู้รส เลยชวนสามีไปตรวจด้วยกันเลย ผลเป็นบวกทั้ง 2 คน

จากการสอบสวนโรค คาดว่า เราน่าจะได้รับเชื้อมาจากโรงพยาบาล เพราะไม่มีความเสี่ยงอื่นๆ หมอส่งไทม์ไลน์ให้ทาง IC ของรพ. และได้แจ้งกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว เราสองคนทำงานเป็นอาจารย์ในโรงเรียนแพทย์ เราไม่ได้เป็นบุคลากรด่านหน้า แต่ก็ยังต้องทำงานพบปะกับคนไข้มากมาย ขณะนี้มีบุคลากรในโรงเรียนแพทย์ ทะยอยติดเชื้อกันเป็นจำนวนมาก มีหอผู้ป่วยต้องปิดไปหลายวอร์ด เราสองคนมีความระมัดระวังสูงมากพอสมควร ไม่ได้ถอดมาสก์ขณะทำงาน และไม่ได้ทานข้าวกับใครในระยะที่มีความเสี่ยง (การ์ดสูงกว่านี้ก็ต้องเชียร์ลีดเดอร์แล้วค่ะ เราทั้งคู่ฉีด Sinovac ครบสองเข็ม เข็มสุดท้าย เมื่อประมาณสองเดือนก่อนพอดี

เมื่อรู้ว่าติดโควิดสิ่งที่ยากลำบากไม่ใช่เพียงแค่การต้องเผชิญกับความกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้น แล้วแค่ปลอบใจตัวเองได้ว่า เราไม่น่าตาย เพราะฉีดวัคซีนที่น่าจะช่วยกันตายได้ แต่มันหมายถึงความเสี่ยงของทุกคนที่อยู่รอบข้างเราถ้าลูกตรวจมาว่ายังไม่ติด หมอจะเอาลูกไปอยู่ที่ไหน? เพราะทุกบ้านที่ส่งไปเราก็ไม่อยากให้เค้าต้องรับกับความเสี่ยง? แล้วลูกจะติดจากเราไหม? ถ้าลูกเป็นอะไรเราไปดูลูกไม่ได้ เราต้องใจจะขาดแน่ๆ

คุณพ่อที่มีโรคเรื้อรังมากมายจะติดไหม? ถ้าคุณพ่อติดไป หมอก็คงต้องเตรียมทำใจบ๊ายบายคุณพ่อได้เลย แม่บ้านที่อยู่กับเรายังไม่ได้วัคซีนเพราะยังไม่ถึงคิว เขาจะแย่มากไหม?คนไข้ที่เราเจอเค้ามากมายขณะที่เราไม่รู้ตัว จะติดไปรึเปล่า? คนรอบตัวที่เรายังเจอเขาอยู่บ้าง จะโกรธเรามั้ยที่ทำให้เขาต้องเดือดร้อน งานที่กำลังต้องทำมากมาย ใครจะเป็นคนทำ ฯลฯ

นี่ขนาดหมอ คือ คนที่ถือว่ามี privilege ในสังคม มีบ้านที่มีห้องแยกหลายห้องถ้าจะต้องรอเตียง มีความเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำให้เราน่าจะเข้าถึงบริการได้ไม่ยาก ยังรู้สึกว่าอะไรๆ มันยากไปหมด ต้องใช้พลังใจสูงมากๆ แล้วชาวบ้านทั่วไปล่ะ การติดเชื้อของคนๆ หนึ่ง ส่งผลกระทบต่อคนหลายคน โดยเฉพาะคนที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ คนไข้จำนวนมากของหมอถูกยกเลิก สามีต้องยกเลิกเคสที่นัดผ่าตัด คนใกล้ชิดต้องกักตัว

ที่สำคัญ ขณะนี้หมอกำลังมองลูกสาววัย 8 ขวบที่ไข้ขึ้นสูง ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไปด้วย กับแม่บ้านที่ยังไม่ได้วัคซีน แต่เริ่มมีอาการเหมือนเหนื่อยๆ พร้อมได้ยินคำพูดแว่วๆ ว่า “อย่าเห็นแก่ตัว” ด้วยหัวใจที่รู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ

สุดท้ายนี้ หมออยากกราบขอบพระคุณ คุณหมอรุ่นใหม่ๆ หลายท่าน ที่ออกมายืนยันด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เริ่มต้น ว่าเราควรมีวัคซีน mRNA ให้กับประเทศไทย โดยต้องทนแรงกดดัน ทนการถูกต่อว่าจากผู้มีอำนาจ ทนการถูกกล่าวหาว่าชังชาติ แต่ยังยึดมั่นในหลักวิชาการที่ถูกต้อง และมีความกล้าหาญทางจริยธรรม

อยากเชิญชวนให้ไปฉีดวัคซีนเท่าที่มี เพราะอย่างน้อยมันก็อาจทำให้เรามีโอกาสที่จะรอด อยากขอบคุณคนไทยทุกคนที่ส่งเสียงเรียกร้องวัคซีนที่มีประสิทธิภาพดีพอ ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ มันไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว แต่นี้คือเรื่องของส่วนรวม “เพราะเมื่อเราล้ม คุณจะล้ม” ขอบคุณ ที่มองเห็น ว่าทุกวันนี้เราไม่ควรต้องประสบชะตากรรมที่เจออยู่นี้ และควรจะมีคุณภาพชีวิตของทุกคนที่ดีกว่านี้ และต้องช่วยกันวางแผนที่จะป้องกันไม่ให้อะไรๆ เลวร้ายไปกว่านี้

ส่วนตัวหมอเชื่อว่า “พลังบวก” ไม่ได้แปลว่าเราควรเลือกเขียนถึงแต่สิ่งดีๆ โดยละเลยทำเป็นมองไม่เห็นปัญหาที่มีอยู่ตรงหน้าเต็มไปหมดแต่พลังบวกเกิดขึ้นจากการ พูด “ความจริง” ที่เกิดขึ้น วิจารณ์สิ่งที่เกิดขึ้นแบบตรงไปตรงมา มี “empathy” กับคนที่เขามีความเดือดร้อน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่อยู่ในสถานะที่มี Privilege อย่างพวกหมอ ที่สำคัญ คือ “ช่วยส่งเสียง” สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับคนที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งเสียง ยังเชื่อมั่นใน “พลังบวก” ของสังคมเสมอนะคะ ป.ล. ต้องขออภัยที่ไม่ได้แจ้งข่าวตั้งแต่วันแรกนะคะ พอดีมีอะไรต้องทำหลายอย่าง และอยากเตรียมตัวลูกสาววัย 8 ขวบให้พร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ก่อน”



กำลังโหลดความคิดเห็น