xs
xsm
sm
md
lg

เพจดังไขข้อสงสัย! สาเหตุพบศพเด็กชนพื้นเมือง ฝังซุกที่ดินโรงเรียนประจำ ในประเทศแคนาดา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เพจ “I’m from Andromeda” โพสต์ข้อความถึงเหตุการณ์สลดในประเทศแคนาดา หลังค้นพบศพเด็กนักเรียน 215 คน ถูกฝังอยู่ในที่ดินซึ่งเคยเป็นที่ตั้งโรงเรียนกินนอนสำหรับเด็กชนพื้นเมืองในรัฐบริติชโคลัมเบีย โดยได้อธิบายถึงสาเหตุของการเสียชีวิตของเด็กพื้นเมืองในครั้งนี้ว่า เกิดจาก “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม”

จากกรณี แคนาดาพบศพเด็กนักเรียน 215 คน ถูกฝังอยู่ในที่ดินซึ่งเคยเป็นที่ตั้งโรงเรียนกินนอนสำหรับเด็กชนพื้นเมืองในรัฐบริติชโคลัมเบีย ขณะที่ นายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด ยอมรับว่า ตกตะลึงและรู้สึกเศร้าสลดใจอย่างยิ่งเมื่อทราบข่าว

ทั้งนี้ เรื่องราวดังกล่าวได้รับความสนใจจากชาวเน็ตเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม พบว่าเมื่อวันที่ 29 พ.ค. เพจ “I’m from Andromeda” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 1.6 แสนคน ได้ออกมาโพสต์ข้อความไขข้อข้องใจ ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์สลดในครั้งนี้ โดยได้ระบุข้อความว่า

“เรื่องที่เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกในวันนี้ ที่มีการค้นพบศพ 215 ศพ ซึ่งส่วนมากล้วนเป็นศพเด็ก ณ สถานที่ที่เคยเป็นโรงเรียนประจำของเด็กพื้นเมือง ในประเทศแคนาดา นั้น เกิดจากกระบวนการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม” ในอดีตของประเทศแคนาดา ซี่งเป็นเรื่องราวด้านมืดที่เป็นปมใหญ่ของประเทศแคนาดามาโดยตลอด การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม เป็นแนวคิดที่สร้างขึ้นเจตนาเพื่อทำลายวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์ที่พวกเขาต้องการ ให้มันหายไปโดยไม่ต้องมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มันคือ การกำจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม ทำลายภาษา และทำลายประเพณีโดยสิ้นเชิง วันนี้จะมาเล่าให้ฟัง ว่าในอดีตเกิดอะไรขึ้นกับประเทศที่ปัจจุบันถือได้ว่ามีสิทธิและเสรีภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

ในอดีต ประเทศแคนาดามีชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่หลายกลุ่มหลายเผ่า ชนพื้นเมืองที่ประเทศแคนาดาจะถูกเรียกรวมๆ ว่า พวก “Indigenous” การเป็นอยู่ของพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ทำเกษตร ฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร พวกเขาไม่มีนิสัยที่โหดร้ายหรือฆ่าฟันกันเองระหว่างเผ่า ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 นักสำรวจชาวอังกฤษและฝรั่งเศสได้จะเข้ามาสำรวจและตั้งรกรากในพื้นที่ประเทศแคนาดาในปัจจุบัน เมื่อมีคนขาวเข้ามาในพื้นที่ ด้วยนิสัยที่ไม่โหดร้ายของชนพื้นเมือง พวกเขาจึงต่างต้อนรับเป็นอย่างดี วันเวลาผ่านมาชนพื้นเมืองเริ่มรู้สึกว่าตนเองคิดผิด พวกเขาไม่ค่อยได้รับการยอมรับและได้รับสิทธิดั่งเช่นคนผิวขาวที่มารุกรานพื้นที่พวกเขาเท่าไหร่นัก หลังจากกลายเป็นประเทศแคนาดา ชนพื้นเมืองก็เริ่มถูกกีดกันและขับไสไล่ส่งไปยังดินแดนอื่นที่ห่างไกลจากตัวเมืองที่คนผิวขาวสร้าง รัฐบาลเรียกการกระทำนี้ว่า “นโยบายการกวาดล้างดินแดนสำหรับการดำเนินงานของรัฐบาล” หรือก็คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรมนั่นเอง

กรณีการกวาดล้างดินแดนที่โหดร้ายที่สุด คือ ในช่วงปี ค.ศ. 1950 เมื่อรัฐบาลแคนาดาได้สั่งให้ชนเผ่า Ahiarmiut ออกจากพื้นที่ของตนเอง เจ้าหน้าที่รัฐบาลลงมือทำลายที่พักและข้าวของอื่นๆ ของชนเผ่า จากนั้นนำคนในชนเผ่าขึ้นเครื่องบิน และไปปล่อยไว้บนเกาะใหญ่ในทะเลสาบ Nueltin โดยไม่มีเสบียง อาหาร หรือที่พักให้พวกเขาเลยแม้แต่น้อย ทำให้ชนพื้นเมืองต่างเริ่มอดอยากและล้มตายเป็นจำนวนมาก มิหนำซ้ำพวกเขายังถูกย้ายอีก 3 ครั้ง โดยถูกไล่ขึ้นไปตอนบนซึ่งหนาวเหน็บและไร้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ พวกเขาทยอยกันล้มตาย โดยแทบไม่ได้ได้รับการช่วยเหลืออะไรจากรัฐบาลเลย

ชนพื้นเมืองที่เป็นผู้ใหญ่แล้วจะถูกไล่ไปอาศัยอยู่ในดินแดนอันห่างไกล ส่วนชนพื้นเมืองที่ยังเป็นเด็กๆ อยู่ พวกเขาจะถูกกวาดต้อนและบังคับนำตัวไปอาศัยอยู่ในโรงเรียนที่รัฐบาลจัดให้ โดยที่เด็กบางคนนั้นไม่มีโอกาสได้พบกับพ่อและแม่ของเขาอีกเลย ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1863 ถึง ค.ศ. 1998 เด็กชาวพื้นเมืองกว่า 150,000 คน ถูกพรากไปจากครอบครัวของตนเอง พวกเขาถูกบังคับให้ไปอยู่ในโรงเรียนประจำของรัฐหลายแห่งทั่วประเทศ เด็กๆ เหล่านี้จะไม่อนุญาตให้พูดภาษาพื้นเมืองของพวกเขา และจะไม่ให้ทำกิจกรรมหรือธรรมเนียมใดๆ ที่เป็นของพวกเขา เด็กหลายคนถูกลงโทษ ถูกทำร้ายร่างกายและเฆี่ยนตี เพียงเพราะพวกเขาเผลอพูดภาษาตนเองออกมา พวกเด็กๆ จะถูกตัดขาดการเชื่อมต่อจากครอบครัวและวัฒนธรรมของพวกเขาโดยสิ้นเชิง เด็กจะถูกบังคับให้พูดภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส อีกทั้งยังถูกบังคับให้นับถือศาสนาที่พวกเขาไม่รู้จักมาก่อน เด็กๆ ชนพื้นเมืองเริ่มถูกต้อนเข้ามาในโรงเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ จนพวกเขาเริ่มมีมากเกินควบคุมและเกินที่จะดูแลด้านสุขอนามัยอย่างเพียงพอ

โรงเรียนกลับกลายเป็นเหมือนนรก มีการล่วงละเมิดทางเพศและถูกข่มขืนทั้งจากครูและนักเรียนด้วยกัน เด็กนักเรียนยังได้รับความทุกข์ทรมานจากการถูกบังคับให้อดอาหารและการลงโทษด้วยการทำร้ายร่างกาย จากความเชื่อของเหล่าคุณครูที่บอกว่าการทำร้ายร่างกายเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้จิตวิญญาณของคนป่าเหล่านี้ให้กลับกลายเป็นคนและทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะหลบหนีไปไหน มีนักเรียนเสียชีวิตเป็นจำนวนมากจากการลงโทษในแบบฉบับที่คิดค้นโดยคนที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้ดี ความแออัดยัดเยียดและการดูแลด้านสุขอนามัยที่ไม่ดีพอทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่และวัณโรคระบาดไปทั่วโรงเรียน เรื่องที่น่าตกใจคือบางโรงเรียนมีนักเรียนเสียชีวิตสูงถึง 69 เปอร์เซ็นต์ พวกเขาจะถูกฝังในสุสานข้างโรงเรียนโดยไม่มีแม้แต่ป้ายหลุมศพให้ระลึกถึง

นักเรียนที่รอดชีวิตจบกลับไปจากโรงเรียนเหล่านี้ บางส่วนพยายามใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองก็โดนเหยียดจนไม่สามารถอยู่ร่วมได้ เมื่อพวกเขากลับไปอยู่กับชนพื้นเมืองของตนเอง พวกเขาก็ไม่สามารถเข้ากับวัฒนธรรมและภาษาของพื้นเมืองตนเองได้เช่นกัน ทำให้มีนักเรียนหลายคนที่จบไปแล้วตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะพวกเขาไม่สามารถเข้าไปอยู่ร่วมกับสังคมไหนได้เลย สุดท้ายแล้วด้วยความล้มเหลวทางนโยบายอันโหดร้ายนี้ รวมถึงการตระหนักในด้านสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมกันในสังคมที่มีมากขึ้นทั่วโลก โรงเรียนจึงได้เริ่มทยอยปิดไป จนสูญสิ้นไปในที่สุดในปี ค.ศ. 1998 ในยุคของนายกรัฐมนตรี สตีเฟน ฮาร์เปอร์ จนถึง นายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด ในปัจจุบัน เริ่มมีการขอโทษต่อชนพื้นเมือง และชดเชยค่าเสียหายแก่พวกเขาเป็นจำนวนหลายล้านดอลลาร์ ถึงแม้ในปัจจุบันประเทศแคนาดาจะมีความเป็นสิทธิและเสรีภาพมากแล้วก็ตาม แต่สิ่งนี้ยังคงติดอยู่ในประวัติศาสตร์และเป็นบทเรียนครั้งสำคัญให้กับคนทั่วโลกต่อไป”


ภาพก่อนและหลัง หนึ่งในเด็กนักเรียนที่ถูกบังคับเข้าไปในโรงเรียน พวกเขาทำลายวัฒนธรรมของเผ่าผู้ให้กำเนิดจนหมดสิ้น

เหล่าครูและนักเรียน

วิชาเย็บปักถักร้อย หนึ่งในหลักสูตรของโรงเรียนเด็กพื้นเมือง

เด็กนักเรียนพื้นเมืองขณะถูกจับเรียน ซึ่งส่วนมากสอนโดย “แม่ชี”

เหล่าเด็กนักเรียนพื้นเมืองขณะถูกจับเรียน โดยไม่รู้ชะตากรรมของตนเองในอนาคต


กำลังโหลดความคิดเห็น