“วราวุธ” ยกเป็น “ปีแห่งการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง” ด้าน "ปลัดจตุพร" ย้ำแนวทางจัดการปัญหารวดเร็วและยั่งยืน
นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2547 ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลและการบริหารจัดการในพื้นที่ชายฝั่งทะเลของประเทศ และได้เริ่มมีแผนและแนวทางการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งระดับชาติเป็นครั้งแรกในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) จากนั้นการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งได้ถูกหยิบยกขึ้นเป็นวาระแห่งชาติมาโดยตลอด โดยที่ผ่านมาได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ประกอบการจัดทำแผนงาน/โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งประกอบด้วยมาตรการการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างเป็นระบบซึ่งจะส่งผลให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
วันนี้ (24 พ.ค.) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งมาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เนื่องจากปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจที่จะหาแนวทางการแก้ไขปัญหาให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยปีนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือแนวทางการบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนของโครงการและให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และได้เห็นชอบแนวทางในการให้ทุกหน่วยงานที่มีแผนงาน โครงการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง เสนอโครงการให้คณะอนุกรรมการบูรณาการด้านการจัดการการกัดเซาะชายฝั่งทะเล พิจารณากลั่นกรองก่อนเสนอความเห็นให้สำนักงบประมาณเพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป
นายวราวุธกล่าวอีกว่า ตนคิดว่าการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเป็นความท้าทายสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งปีนี้ตนถือว่าเป็น “ปีแห่งการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง” เนื่องจากเป็นปีที่ประเทศไทยเริ่มมีแนวทางที่ชัดเจนในการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างเป็นระบบ ภายใต้แนวคิดการจัดการระบบกลุ่มหาด ทั้งในระดับนโยบายชาติ นโยบายรัฐบาล การบูรณาการระหว่างหน่วยงาน มาตรการสำคัญต่างๆ และที่สำคัญ สังคมและพี่น้องประชาชนประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการปัญหาอย่างจริงจังอีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้จากความรุนแรงของปัญหาลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ด้าน นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. กล่าวเสริมว่า การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ตามหลักเกณฑ์ประกอบการจัดทำแผนงาน/โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้ว จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เสนอโครงการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งมาให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งรวบรวมและเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา โดยโครงการที่จะเสนอขอสนับสนุนงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ที่เสนอเข้ารับการพิจารณา จำนวน 64 โครงการ และผ่านเกณฑ์การพิจารณาทั้งสิ้น 17 โครงการ ซึ่งเรื่องนี้ได้สั่งการให้ นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งติดตามผลจากการพิจารณาของสำนักงบประมาณด้วย
"อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเป็นความท้าทายที่ต้องดำเนินการ ซึ่งจากสถานภาพการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพบว่าพื้นที่ชายฝั่งที่ประสบปัญหาการกัดเซาะทั้งหมดมีระยะทางยาว 794.37 กิโลเมตร ได้รับการแก้ไขแล้วเป็นระยะทาง 702.68 กิโลเมตร คงเหลือระยะทางที่รอการแก้ไขจำนวน 87 กิโลเมตร ซึ่งจะต้องเร่งดำเนินการแก้ไข โดยบูรณาการความร่วมมือกับทุกหน่วยงานในการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดและถูกวิธี โดยไม่ส่งผลให้เกิดการกัดเซาะฯ เพิ่มมากขึ้นเหมือนที่ผ่านมา"
นายจตุพรกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังได้เตรียมประกาศกฎกระทรวง จำนวน 3 ฉบับ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่และโครงการ ได้แก่ พื้นที่ อ.ปะทิว จ.ชุมพร อ.ท้ายเหมือง อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา และการกำหนดเขตพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง สำหรับการดำเนินโครงการก่อสร้างกำแพงป้องกันคลื่นริมชายหาดและเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติแล้ว และอยู่ระหว่างการเสนอตามขั้นตอนก่อนจะประกาศบังคับใช้ต่อไป โดยนับจากนี้จะได้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นที่ที่ยังคงประสบปัญหา และต้องจัดการปัญหาให้ได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน