หัวหน้าพรรคกล้า อดีต รมว.คลัง วิจารณ์ “สุพัฒนพงษ์” ให้ประชาชนทุบกระปุกเงินออม จับจ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ ชี้ คนไทยเกือบทั้งประเทศมีเงินในบัญชีไม่ถึง 5 หมื่น ควรเป็นเงินฉุกเฉินยามวิกฤต ส่งลูกไปโรงเรียน หรือเลี้ยงตัวเองยามแก่ ถาม บัญชีทรัพย์สินมีเงินตั้ง 54 ล้าน จะควักเท่าไหร่ ถ้าจะทำจริงขอให้พุ่งไปที่ “บัญชีคนรวย” แต่ก็คงเมิน เพราะเอาไปซื้อหุ้น หรือบิตคอยน์ มากกว่า วอนอย่าผลักภาระให้ประชาชนในยามยาก แนะกระตุ้นการลงทุนสร้างงาน สร้างรายได้
วันนี้ (27 เม.ย.) เฟซบุ๊ก “กรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij” ของนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีต รมว.คลัง โพสต์ข้อความกรณีที่นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนอแนวคิดให้ประชาชนนำเงินออมมาใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ระบุว่า “อ่านข่าวเรื่องนี้แล้ว ผมไม่แปลกใจที่แนวคิดของท่านหัวหน้าทีมเศรษฐกิจถูกวิพากษ์วิจารณ์
ปัญหาคือชาวบ้านที่เก็บเล็กผสมน้อยมาทั้งชีวิต เขาไม่เข้าใจว่า การบอกให้เขาเอาเงินออมออกมาจ่ายตลาด หรือซื้อของจากเซเว่นเพื่อดันตัวเลข GDP ให้สูงขึ้นนั้น จะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นอย่างไร
หลายคนจึงผิดหวัง และไม่เข้าใจแนวความคิด เมื่อได้ฟังท่านรองนายกฯ แถลงรายละเอียดเพิ่มเติมแล้วก็ยังคาใจ
ยิ่งพอดูตัวเลขเงินออมบ้านเราที่กระจุกตัวมาก คนไทยเกือบทั้งประเทศมีเงินในบัญชีไม่ถึง 50,000 บาท/คน
ส่วนคนรวยเพียง 0.07% มีเงินฝากรวม 3 ล้านล้านบาท เฉลี่ยบัญชีละ 48 ล้านบาท (ท่านรองนายกฯ อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ตามที่ท่านรายงานเงินฝากกับ ป.ป.ช. ไว้ที่ 54 ล้านบาท ซึ่งผมก็อยากทราบเหมือนกันว่า ท่านจะเอาเงินออมของท่านออกมาใช้จ่ายช่วยชาติเท่าไร และใช้อย่างไร)
ดังนั้น หากคิดจะกระตุ้นการรักชาติ (หรือกระตุ้น GDP) ผมขอให้ท่านมุ่งเป้าไปที่ “บัญชีคนรวย” ไม่กี่คนในประเทศ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ที่มีเงินไม่ถึง 1 ล้านบาทในบัญชี ควรเก็บไว้เป็นเงินออม เป็นเงินฉุกเฉินยามวิกฤต เอาไว้ส่งลูกหลานเรียนหนังสือ หรือเอาไว้เลี้ยงตัวเองในยามแก่จะดีกว่า
ส่วนคนรวย โดยพฤติกรรมแล้วก็อย่าหวังว่าเขาจะออกมาบริโภคเพิ่มเติมมากนัก ไม่ได้กินใช้เยอะขึ้น คงไม่ได้ต้องจ่ายตลาดมากขึ้น แต่น่าจะเอาไปซื้อหุ้น หรือบิตคอยน์ เสียมากกว่า
นโยบายที่ดี ที่ควรจะเร่งทำวินาทีนี้ คือ การกระตุ้นให้คนหรือเอกชนที่มีสตางค์เอาเงินออกมาลงทุน และต้องลงทุนในลักษณะที่นำไปสู่การสร้างงาน สร้างโอกาส สร้างรายได้เพิ่มเติมแก่คนส่วนใหญ่ในระบบ นี่คือหน้าที่ที่ฝ่ายบริหารต้องเร่งปฏิบัติโดยเร็วที่สุด
ส่วนการบริโภคนั้น รัฐอย่าไปผลักภาระให้ประชาชนในยามยาก หนี้ครัวเรือนเราสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์อยู่แล้ว และเงินออมของคนไทยก็ไม่เพียงพอต่อการรักษาคุณภาพชีวิตของเขาในวัยชรา
การบริโภคต้องมาจากสามแหล่งหลัก 1 - รายได้ของประชาชนที่เพิ่มขึ้น 2 - กำลังซื้อจากนอกประเทศ และ 3 - การใช้เงินของรัฐในการสร้างกำลังซื้อให้ประชาชน
ทั้งหมดนี้เป็นข้อสังเกตพื้นฐานเผื่อเป็นประโยชน์ในการช่วยกันคิดหาคำตอบครับ