1.“ม็อบปลดแอก-REDEM” ชวนมวลชนขนขยะทิ้งหน้าศาลอาญา ด้าน “กลุ่มอาชีวะฯ” ออกโรงปกป้องสถาบันฯ!
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 6 มี.ค. มวลชนแนวร่วมเยาวชนปลดแอกได้ไปชุมนุมที่ห้าแยกลาดพร้าว ตามที่เพจ “เยาวชนปลดแอก - Free YOUTH” ได้โพสต์การนัดชุมนุมของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า รีเด็ม (REDEM) เพื่อเดินเท้าขนขยะไปทิ้งหน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก โดยระบุว่า จะยุติการชุมนุมในเวลา 21.00 น.วันเดียวกัน พร้อมระบุว่า เยาวชนปลดแอกร่วมยืนยันใน 3 ข้อเรียกร้องของ REDEM ที่กลั่นกรองมาจากความต้องการในการออกมาต่อสู้ของมวลชน! 1.จำกัดอำนาจสถาบันกษัตริย์ 2.ขับไล่ทหารออกจากการเมือง 3.ลดความเหลื่อมล้ำด้วยรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า เพราะนี่คือสามเสาหลักที่เป็นต้นตอปัญหาของการเมืองไทย ที่ทำให้ไทยจมปลักอยู่ในวงจรของเผด็จการศักดินาและนายทุน
เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่การชุมนุมจะเริ่มขึ้น ทางเพจได้มีการโพสต์ข้อความเหมือนปลุกให้ผู้ชุมนุมพร้อมปะทะ โดยอ้างทำนองว่า รัฐจะใช้ความรุนแรง โดยระบุว่า “โปรดช่วยกันกระจายข่าวนี้ HOW TO รับมือกับสถานการณ์ต่างๆ รัฐมีทีท่าว่าจะไม่ลดการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม โปรดเตรียมพร้อม และขอย้ำเตือนว่า *หากไม่พร้อมปะทะควรออกจากพื้นที่ทันที! โปรดระวังนอกเครื่องแบบที่จะมาลวง...”
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 08.50 น. เพจเยาวชนปลดแอกฯ ได้โพสต์ข้อความทำนองปลุกเร้าเช่นเดียวกันว่า “โปรดเตรียมตัว ในวันที่รัฐไทยได้ยกระดับการใช้ความรุนแรงกับประชาชน ร่วมกันขนขยะไปทิ้งหน้าศาล แสดงความเน่าเฟะของประเทศนี้ *ควรงดขยะเคมี เรียกร้องประชาธิปไตยที่คนเท่ากันและสังคมที่คนเท่าเทียม มิใช่สังคมที่เอื้อให้กับผู้สนับสนุนเผด็จการ พร้อมกัน 17.00 น. นี้ที่ห้าแยกลาดพร้าว ก่อนเดินขบวนไปศาลอาญารัชดาไปด้วยกัน”
หลังเคลื่อนไปถึงศาลอาญา ผู้ชุมนุมได้มีการเผาขยะบริเวณริมรั้วศาลอาญา ในเวลาประมาณ 19.00 น. ขณะที่ตำรวจเตือนว่า การเผาหน้าศาลเป็นความผิดตามกฎหมาย
ด้านนายปิยรัฐ จงเทพ หรือโตโต้ หัวหน้าการ์ดกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า วีโว่ และอดีตผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคอนาคตใหม่ ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ได้ไปร่วมชุมนุมในครั้งนี้ด้วย โดยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า “...ผมคงต้องแจ้งพี่น้องประชาชนว่า ผมจะไม่ได้ไปร่วมกับพี่น้องประชาชนเดินขบวนเหมือนครั้งก่อน เนื่องจากผมมีงานที่ต้องทำติดค้างอยู่ให้สำเร็จ ดังนั้น ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆ คนที่ได้ร่วมกันแสดงพลังในครั้งนี้ เราต้องเป็นกำลังให้กันและกัน ไม่ว่าจะในสถานะใดจนกว่าจะถึงชัยชนะ”
“ที่ผมบอกผมติดธุระ เพราะผมกำลังตามหาขยะชิ้นใหญ่ๆ ไปร่วมกิจกรรมอยู่ ก็เขาบอกว่าต้องเตรียมขยะไปด้วย ผมก็เลยไม่ได้ไปเดินด้วย เพราะแบกขยะไปเดินด้วยไม่ไหว ขยะผมชิ้นใหญ่ ขอเวลาไปหาขยะแถวเขต...สักครู่”
เป็นที่น่าสังเกตว่า การชุมนุมของกลุ่มปลดแอกกลุ่มรีเด็มครั้งนี้ ที่เดินเท้าขนขยะไปทิ้งหน้าศาลอาญา มีขึ้นหลังนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ เดอะบอททอมบลูส์ ถูกจับกุมดำเนินคดี กรณีเผาป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ที่หน้าเรือนจำกลางคลองเปรมเมื่อวันที่ 28 ก.พ. ขณะที่ก่อนหน้านี้ แกนนำกลุ่มราษฎร 4 คน ประกอบด้วย นายอานนท์ นำภา, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือหมอลำแบงค์ และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ก็ถูกดำเนินคดีกรณีชุมนุม “19 กันยา ทวงอำนาจคืนราษฎร” ในความผิดตามมาตรา 112, 116 และข้อหาอื่นๆ ซึ่งยังไม่ได้รับการประกันตัว เนื่องจากศาลเห็นว่า มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า หากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จำเลยอาจจะไปก่อเหตุภยันตรายเดียวกันกับที่ถูกฟ้องอีก
ทั้งนี้ นอกจากการชุมนุมของกลุ่มปลดแอกกลุ่มรีเด็มแล้ว วันเดียวกัน (6 มี.ค.) กลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบัน และแนวร่วมสหพันธ์คนไทยปกป้องสถาบัน ได้จัดการชุมนุมเพื่อแสดงพลังปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่หน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ นำโดย นายฐากูร นวลแก้ว โฆษกกลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบัน โดยได้อ่านแถลงการณ์ ระบุว่า “ช่วงเวลาที่ผ่านมา มีกลุ่มผู้เคลื่อนไหวก่อความไม่สงบในรูปแบบต่างๆ กระจายไปในหลายพื้นที่เกือบทั่วประเทศ ...หลายครั้งมีการจาบจ้วง การกระทำเชิงสัญลักษณ์ ที่ดูหมิ่นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นการขวางขบวนเสด็จ ใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมต่อขบวนเสด็จ การแต่งกายล้อเลียนสถาบันฯ กระทั่งล่าสุด ได้มีการเผาพระบรมฉายาลักษณ์ หน้าเรือนจำฯ ซึ่งผู้กระทำผิดอยู่ระหว่างถูกดำเนินการตามกฎหมาย..."
"กลุ่มอาชีวะปกป้องสถาบันจึงมีมติเห็นพ้องต้องกัน ที่จะต้องแสดงออกเพื่อเป็นการปกป้อง และแสดงจุดยืนร่วมกับพลังเงียบของคนไทยทั่วประเทศ ให้ผู้ที่คิดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์และราชวงศ์ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่เบื้องหลังขอจงหยุดการกระทำทั้งหมดทันที เราจะไม่ยอมให้ผู้ที่ไม่หวังดี กระทำการล้มล้าง ดังที่ผ่านมาได้อีกต่อไป"
"เราจึงขอประกาศว่า มันผู้ใดที่บังอาจจาบจ้วงดูหมิ่นและคิดร้ายต่อสถาบันและราชวงศ์แบ่งแยกประเทศ คิดที่จะเปลี่ยนธงไตรรงค์ เราขอเป็นตัวแทนร่วมกับพลังเงียบทั่วประเทศ ร่วมกันต่อต้านและขัดขวางทุกการกระทำ”
2.ตร.รวบ “แอมมี่” ก่อเหตุเผาป้ายพระบรมฉายาลักษณ์หน้าเรือนจำฯ ยอมรับโง่เขลาที่ทำ แต่ต้องการแสดงสัญลักษณ์!
เมื่อวันที่ 28 ก.พ. เวลา 03.00 น. ได้มีผู้ก่อเหตุเผาป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ที่หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ส่งผลให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้สั่งการให้คณะทำงานเฉพาะกิจชื่อว่า คณะทำงานพาลีปราบยาของกระทรวงฯ ช่วยสืบสวนเชิงลึกเพื่อหาผู้ก่อเหตุ ทำให้ทราบตัวการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุและกลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการเผยแพร่ภาพดังกล่าวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียด้วย “เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้เพราะเป็นความผิดที่ร้ายแรง ทั้งการบุกทำลายทรัพย์สินของราชการในยามวิกาล และเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นสถานที่ความมั่นคงสูง รวมถึงการนำข้อมูลความมั่นคงเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ข้อหาเหล่านี้เป็นข้อหาหนัก ต้องนำผู้กระทำผิดมาลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่างโดยเร็ว”
ต่อมา พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น.เผย (2 มี.ค.) ว่า ตำรวจได้นำพยานหลักฐานภาพกล้องวงจรปิดและวัตถุพยานต่างๆ ขอศาลเพื่อออกหมายจับผู้ก่อเหตุ 3 คน หนึ่งในนั้นเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ต่อมา มีรายงานว่า ศาลได้อนุมัติหมายจับนายไชยอมร หรือแอมมี่ แก้ววิบูลย์พันธุ์ เดอะบอททอมบลูส์ ข้อหาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, วางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากนั้นตำรวจได้เข้าค้นบ้านพักนายไชยอมรที่ย่านเมืองทองธานี แต่ไม่พบตัว คาดว่าหลบหนีอยู่
อย่างไรก็ตาม ตำรวจสามารถจับกุมนายไชยอมรได้เมื่อวันที่ 3 มี.ค. เวลา 01.00 น.ที่บ้านเช่าแห่งหนึ่งใน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งก่อนจับกุม พบว่านายไชยอมรมีอาการบาดเจ็บและอักเสบบริเวณไหล่และเชิงกรานซ้าย จากการตกที่สูงหลังก่อเหตุเผาป้ายฯ ที่หน้าเรือนจำกลางคลองเปรมเมื่อวันที่ 28 ก.พ. ตำรวจจึงนำตัวนายไชยอมรเข้าตรวจรักษาเบื้องต้นที่ รพ.ราชธานี จ.พระนครศรีอยุธยา ก่อนนำตัวมาควบคุมไว้ที่ รพ.ตำรวจ
ซึ่งภายหลังตำรวจได้ยื่นศาลขอฝากขังนายไชยอมร พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี ประกอบกับผู้ต้องหามีพฤติการณ์เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง อาจนำไปสู่ความวุ่นวายในบ้านเมือง หลังศาลอนุญาตให้ฝากขัง และยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวของมารดานายไชยอมร ตำรวจจึงนำตัวนายไชยอมรไปควบคุมตัวที่ รพ.ตำรวจ เมื่ออาการดีขึ้น จึงนำไปควบคุมตัวต่อที่เรือนจำพิเศษธนบุรี
ทั้งนี้ นายไชยอมรได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กหลังศาลยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ระบุทำนองว่า การกระทำในครั้งนี้ ได้ลงมือทำคนเดียวและขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเคลื่อนไหว พร้อมระบุเหตุผลที่กระทำการครั้งนี้ว่า พยายามช่วยเพนกวิ้นและพี่น้องที่ติดคุกนานกว่า 20 วันแล้ว ยังไม่สามารถช่วยได้ จึงรู้สึกละอายและผิดหวังในตัวเอง “การเผา...ครั้งนี้ ผมยอมรับว่าเป็นความคิดที่โง่เขลาและทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในอันตราย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในการเผาครั้งนี้มีอยู่มากมาย เป็นสัญลักษณ์ง่ายๆ ที่หวังว่าทุกคนเข้าใจและจะมองเห็นมัน...”
มีรายงานข่าวว่า เมื่อเวลา 23.00 น.วันที่ 2 มี.ค. เยาวชนชาย อายุ 17 ปี ได้มาพบพนักงานสอบสวน ที่ สน.ประชาชื่น หลังถูกเชิญมาให้ข้อมูลในฐานะพยาน กรณีที่อยู่ในเหตุการณ์การเผาป้ายฯ หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม โดยเยาวชนชายรายนี้เผยว่า ก่อนเกิดเหตุ นายไชยอมร หรือ แอมมี่ กับเพื่อน รวม 3 คน ได้ชวนให้ขับรถไปยังเรือนจำ โดยไม่ได้บอกว่าจะไปทำอะไร เมื่อไปถึงแอมมี่ และเพื่อน ก็ได้ลงไปก่อเหตุ แต่ตนเองนั่งรออยู่ในรถ ก็ไม่คาดคิดว่าแอมมี่และเพื่อนจะก่อเหตุนี้ขึ้น
ด้านนายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงการดูแลความปลอดภัยของเรือนจำหลังเกิดเหตุเผาทำลายป้ายฯ หน้าเรือนจำกลางคลองเปรมว่า ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษของส่วนกลางและเรือนจำลาดยาวเขต 10 ทั้งหมด วางมาตรการดูแลความปลอดภัยของเรือนจำอย่างเข้มข้นตลอด 24 ชม. รวมถึงติดกล้องวงจรปิดรอบแนวของเรือนจำทั้งหมด
ขณะที่นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้มีคำสั่งให้นายวิชัย โชติปฏิเวชกุล ผู้บัญชาการเรือนจำกลางคลองเปรม ไปปฏิบัติราชการประจำกรมราชทัณฑ์ในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์ พร้อมมอบหมายให้นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ปฏิบัติราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการเรือนจำกลางคลองเปรม โดยการโยกย้ายครั้งนี้ เกิดจากเหตุเผาทำลายป้ายฯ ที่หน้าเรือนจำกลางคลองเปรมเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 มี.ค. พนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น ได้ขอศาลเพื่อออกหมายจับ น.ส.ญาณิศา วรารักษพงศ์ นิสิตชั้นปีที่ 1 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อนสาวคนสนิทของนายไชยอมร หรือแอมมี่ ผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 และข้อหาอื่นที่เกี่ยวข้องกรณีวางเพลิงที่หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม และนายธนภัทร ไม่ทราบนามสกุล
อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่า ไม่มีประจักษ์พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุว่าผู้ต้องสงสัยทั้งสองได้ร่วมกับนายไชยอมร กระทำการดังกล่าว มีแต่คำให้การของบุคคลที่พนักงานสอบสวนกันไว้เป็นพยานให้การซัดทอด พยานหลักฐานจึงยังไม่สามารถออกหมายจับได้ ยกคำร้อง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 มี.ค. มีรายงานว่า นางอรวรรณ แก้ววิบูลย์พันธุ์ แม่ของนายไชยอมร ได้เตรียมขอใบรับรองแพทย์จาก รพ.จุฬาฯ เพื่อขอนำตัวลูกชายจากเรือนจำพิเศษธนบุรี เข้าผ่าตัดดวงตาแบบเร่งด่วน โดยอ้างว่า ลูกชายมีปัญหาเรื่องกระจกตา
3. ระทึก! ตำรวจรวบชายซุกไปป์บอมบ์ในรถ 18 แท่ง กลางสี่แยกปทุมวัน เจ้าตัวรับ ประกอบระเบิดเอง
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. เจ้าหน้าที่สายตรวจ สน.ปทุมวัน ได้พบรถยนต์ต้องสงสัยยี่ห้อ isuzu รุ่น d-max สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน บร 7818 พิษณุโลก ขับส่ายไปมา จึงเรียกให้หยุดเพื่อตรวจสอบที่แยกปทุมวัน จากนั้นจึงได้เข้าไปสอบถามผู้ขับขี่ พบเป็นชายไทยอายุประมาณ 40 ปี ทราบชื่อภายหลังว่า นายพิเชษฐ์ ขุนกำแหง ให้การวกไปวนมา จึงได้เชิญตัวมาที่ สน.ปทุมวัน เพื่อตรวจสอบโดยละเอียด และตรวจค้นรถยนต์คันดังกล่าว
จากการตรวจค้น พบแท่งท่อพีวีซีสีฟ้าพันเทปลักษณะคล้ายระเบิด โดยนายพิเชษฐ์ ยอมรับว่า ตนประกอบระเบิดขึ้นเองจำนวน 18 แท่ง ภายในย่ามสีเหลือง มีปืนแก๊ปประดิษฐ์เอง และผงดำลักษณะคล้ายดินปืน บรรจุในขวดพลาสติกกลมเล็ก 2 ขวด
เจ้าหน้าที่จึงได้ประสานหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด เพื่อมาตรวจสอบ จากการตรวจสอบ พบดินดำสันนิษฐานว่าเป็นดินระเบิดแรงดันต่ำ จากการเอกซเรย์ไม่พบสะเก็ดภายในวัตถุคล้ายปืนแก๊ป เป็นอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ มีดินปืน มีลูกกระสุนเหล็กทำเอง มีแก๊ปจุดระเบิดลำกล้องไม่มีเกลียว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาทำ ซึ่งมีใช้ สั่งนำเข้า ค้า หรือจำหน่ายด้วยประการใดๆ ซึ่งวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง มีอาวุธปืน (ไม่มีทะเบียน) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย
4. กกต.มีมติส่งศาล รธน.วินิจฉัย 5 กปปส.พ้น ส.ส.หรือไม่ ด้านฝ่ายค้านเตรียมยื่น ป.ป.ช.ฟัน “บิ๊กตู่-จุรินทร์”!
สถานการณ์การเมืองสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากศาลพิพากษาจำคุกแกนนำ กปปส.ในคดีชุมนุมขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส่งผลให้เกิดข้อสงสัยว่า สมาชิกภาพ ส.ส.และความเป็นรัฐมนตรีของผู้ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกในคดีดังกล่าวจำนวน 5 คน ต้องสิ้นสภาพและพ้นจากการเป็นรัฐมนตรีหรือไม่
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพ ส.ส.และความเป็นรัฐมนตรีของบุคคลทั้งห้าสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6), 160 (6), (7) ประกอบมาตรา 98 (6) จากเหตุต้องคำพิพากษาจำคุกในคดีชุมนุม กปปส.หรือไม่ ซึ่ง กกต.พิจารณาเรื่องนี้หลังจากสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรส่งหนังสือขอให้พิจารณา
สำหรับผู้ที่ถูกส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาทั้ง 5 คน ประกอบด้วย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส), นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.), นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์, นายอิสสระ สมชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร พรรคประชาธิปัตย์
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูดถึงความคืบหน้าการจะปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 มี.ค.ว่า ได้หารือกับพรรคการเมืองไปหมดแล้ว สุดท้ายตนในฐานะนายกฯ จะเป็นผู้ตัดสินใจ จะดำเนินการโดยเร็วที่สุด พร้อมเผยว่า ที่ประชุม ครม.ได้มีการแต่งตั้งรักษาการชั่วคราว (แทน 3 รัฐมนตรีที่ถูกศาลพิพากษาจำคุก) เพื่อประสานงานเดิมให้เดินหน้าจนกว่าจะมีรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามา ได้ขอบคุณรัฐมนตรีทุกคนใน ครม.ที่ทำงานร่วมกันมา ซึ่งเป็นที่น่าพอใจ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทุกกระทรวง
เมื่อถามว่า มีพรรคร่วมรัฐบาลแสดงเจตนารมณ์มาบ้างแล้วหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่มี ถ้าจะมี เขาก็บอกมาเอง ตอนนี้พูดคุยหัวหน้าพรรคก็ยังไม่มี
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ยืนยันว่า ไม่มีความกดดันใดๆ แม้จะมีข่าวว่า มีการล่ารายชื่อ เพื่อมอบอำนาจให้ตนตัดสินใจก็ตาม “พรรคเราเป็นหนึ่งเดียว และยืนยันอีกครั้งว่า ไม่มีเรื่องของโควต้าอะไรทั้งนั้น เรื่องรายชื่อ ผมจะส่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จากนั้นนายกฯ จะไปจัดการว่าใครจะอยู่ที่ไหน อย่างไร เท่านั้นเอง”
ส่วนควันหลงจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) เผยเมื่อวันที่ 3 มี.ค.ว่า ในวันที่ 10 มี.ค. พรรค พท.จะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในประเด็นที่ตนอภิปรายไม่ไว้วางใจเกี่ยวกับกระทรวงพาณิชย์ โดยจะยื่น 2 รายชื่อ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ฐานทุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ส่วนประเด็นอื่นๆ พรรคร่วมฝ่ายค้านมีการตั้งคณะทำงาน โดยอยู่ระหว่างรวบรวมประเด็นและข้อกล่าวหา เพื่อยื่นต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
5. “อนุทิน” ประเดิมวัคซีนโควิดเข็มแรก ขณะที่ “บิ๊กตู่” ยังฉีดไม่ได้ อายุเกิน พบ ด.ต.คุมม็อบ ติดโควิด!
ความเคลื่อนไหวสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทย สัปดาห์ที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันมีแนวโน้มลดลง แต่ยังเลข 2 หลัก ส่วนในแง่การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ได้มีการฉีดวัคซีนเข็มแรกให้กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่สถาบันบำราศนราดูร ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายจากบริษัท ซิโนแวค โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นสักขีพยานและให้กำลังใจ ซึ่งผู้ที่ฉีดวัคซีนให้นายอนุทิน คือ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ส่วนคนที่สองที่ได้รับการฉีดวัคซีนคือ นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตามด้วยนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค
ทั้งนี้ สาเหตุที่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้นำประเทศ ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเป็นคนแรกของไทย เนื่องจากข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ของวัคซีนซิโนแวค จะฉีดให้กับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18-59 ปีเท่านั้น ดังนั้นนายกฯ ต้องรอฉีดวัคซีนของบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำกัด ซึ่งจะฉีดให้กับผู้ที่อายุเกิน 60 ปี โดยขณะนี้วัคซีนดังกล่าวยังติดปัญหาเทคนิคด้านธุรการและเอกสาร
ต่อมา เมื่อวันที่ 2 มี.ค. นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงถึงแผนการกระจายวัคซีนป้องกันโควิดว่า ขณะนี้กระจายวัคซีนไป 13 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.-1 มี.ค. จำนวนวัคซีนที่จัดส่งไปรวม 116,520 โดส ได้แก่ เชียงใหม่ 3,520 โดส, ตาก 5,000 โดส, นครปฐม 3,560 โดส, นนทบุรี 6,000 โดส, ปทุมธานี 8,000 โดส, กรุงเทพฯ 33,600 โดส, ชลบุรี 4,720 โดส, สมุทรปราการ 6,000 โดส, สมุทรสาคร 35,080 โดส, สมุทรสงคราม 2,000 โดส, ราชบุรี 2,520 โดส, สุราษฎร์ธานี 2,520 โดส และภูเก็ต 4,000 โดส
นพ.โอภาพ เผยด้วยว่า ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.-1 มี.ค. มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด จำนวน 3,021 ราย แบ่งเป็น บุคลากรสาธารณสุข อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) 2,781 ราย เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อ 133 ราย ผู้ที่มีโรคประจำตัว 21 ราย และประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 86 ราย มีผู้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ 5 ราย พบใน จ.สมุทรปราการ 4 ราย และ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี 1 ราย โดยมีอาการบวม แดงบริเวณที่ฉีด 4 ราย และอีก 1 ราย เป็นแพทย์ มีอาการคลื่นไส้ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้หลังฉีดวัคซีน ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า วัคซีนมีความปลอดภัย
ด้านนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุม ครม.เมื่อวันที่ 2 มี.ค.ว่า ครม.อนุมัติงบประมาณกว่า 6,387 ล้านบาท สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิดเพิ่มเติม 35 ล้านโดส เพื่อให้ครอบคลุมการฉีดคนไทยอย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในปี 2564
นายอนุชา กล่าวถึงแผนการกระจายวัคซีนป้องกันโควิดด้วยว่า แบ่งเป็นระยะที่ 1 เดือน มี.ค.-พ.ค. จำนวน 2 ล้านโดส ใน 18 จังหวัด และระยะที่ 2 เดือน มิ.ย.-ธ.ค.จำนวน 61 ล้านโดส ในทุกจังหวัด รวมจำนวนวัคซีนที่ให้กลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 63 ล้านโดส และว่า การได้รับวัคซีน จะลดอัตราการป่วย เสียชีวิต รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากโรคโควิด ฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
เป็นที่น่าสังเกตว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา มีตำรวจติดเชื้อโควิด 1 นาย ซึ่งเป็นตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนในหลายพื้นที่ รวมทั้งที่ พล.1 รอ. ถนนวิภาวดีฯ ที่มีม็อบออกมาชุมนุมเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมาด้วย
โดย พ.ต.อ.เอกภพ ตันประยูร ผกก.สน.วังทองหลาง เผยเมื่อวันที่ 4 มี.ค.ว่า จากการตรวจหาเชื้อโควิดเบื้องต้นพบว่า ด.ต.สมยศ นวมเจริญ ชุดควบคุมฝูงชน สน.วังทองหลาง ติดเชื้อโควิด จึงให้กักตัวอยู่ที่พัก เพื่อรอรถ รพ.รับตัวไปตรวจซ้ำอีกครั้ง โดย ด.ต.สมยศ กลับไปเยี่ยมบ้านที่ จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 18 ก.พ. และพบกับเพื่อนในละแวกบ้าน เมื่อวันที่ 2 มี.ค. เพื่อนคนดังกล่าวโทรแจ้งว่าติดเชื้อโควิด ด.ต.สมยศจึงไปตรวจหาเชื้อและพบว่าติดโควิด จึงสั่งทำความสะอาดพื้นที่บริเวณโรงพักและจุดที่ ด.ต.สมยศสัมผัสทั้งหมดแล้ว พร้อมสั่งกักตัวชุดควบคุมฝูงชนที่ใกล้ชิดแล้ว