เผยมิจฉาชีพ “โจรนินจา” ก่อเหตุงัดหมู่บ้านหรูย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี 10 หลังใน 1 เดือน พบ 4 พฤติการณ์ปริศนา เลือกขโมยแต่ทรัพย์สินชิ้นเล็ก ของชิ้นใหญ่ไม่เอาไป กังขาระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา รั้วกำแพงสูงกว่า 4 เมตร ยังเล็ดลอดเข้ามาได้
รายงานพิเศษ
เหตุการณ์งัดหมู่บ้านหรูย่านบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เกิดขึ้นครั้งล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา เมื่อเจ้าของบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งไม่อยู่บ้านหลายวัน กลับบ้านมาแล้ว พบว่า ประตูบานหนึ่งในบ้านสามารถเปิดออกจากด้านนอกได้ ทั้งที่ล็อกไว้แล้ว และยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบทรัพย์สินว่าหายไปบ้างหรือไม่
เพราะที่ผ่านมา คนร้ายรายนี้ มีพฤติกรรมที่จะเลือกจะหยิบไปเฉพาะทรัพย์สินมีค่าที่มีขนาดเล็กเท่านั้น
บ้านหลังดังกล่าว ถือเป็นหลังที่ 10 แล้ว ที่เกิดเหตุถูกงัดแงะขึ้นในหมู่บ้านแห่งนี้
ลูกบ้านคนหนึ่งเล่าให้ทีมข่าว MGR Online ฟังว่า จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นจากช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นธรรมดาที่จะมีหลายครอบครัวไม่อยู่บ้านติดต่อกันหลายวัน จนกระทั่งมีลูกบ้านคนหนึ่งตรวจสอบพบว่า มีทรัพย์สินในบ้านหายไป จึงแจ้งมาในกลุ่มไลน์หมู่บ้าน ทำให้หลายบ้านเริ่มตรวจสอบดูบ้างและพบทรัพย์สินหายไปเช่นกัน รวม 9 หลัง
โดยทรัพย์สินที่หายไปมีลักษณะคล้ายกัน คือ เป็นสิ่งของขนาดเล็ก ที่สามารถพกติดตัวได้ เช่น นาฬิกา ทองคำ หรือเงินที่วางทิ้งไว้ แต่ทรัพย์สินที่มีขนาดใหญ่อย่างเครื่องใช้ไฟฟ้า สเตอริโอ หรือแมคบุ๊ก กลับไม่ถูกขโมยไป
ซึ่งการไม่ขโมยแม็คบุ๊กไป ก็ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า คนร้ายรายนี้ อาจจะรู้ว่า เป็นอุปกรณ์ที่สามารถติดตามตัวได้ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะว่า คนร้ายไม่ต้องการนำของที่มีขนาดใหญ่ออกไป
พฤติกรรมของคนร้ายรายนี้ ถูกเรียกจากลูกบ้านในหมู่บ้านหรูที่เกิดเหตุว่า “โจรนินจา” เพราะแม้ว่าคนร้ายจะทิ้งร่องรอยไว้จำนวนมาก ทั้งการงัดบ้าน รอยรองเท้า รอยมือ แต่กลับยังไม่มีเบาะแสจากทั้งตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านว่าคนร้ายเป็นใคร
ลูกบ้านยังเล่าถึงข้อสังเกต 4 ข้อ ที่ตอกย้ำความเป็น “โจรนินจา” ของคนร้ายรายนี้ คือ
1. บ้านทุกหลังที่ถูกงัดเข้าไป จะมีจุดร่วมที่เหมือนกันทุกหลัง คือ เจ้าของบ้านไม่อยู่บ้านหลายวันติดต่อกัน มีรูปแบบการงัดแงะในจุดที่คล้ายกัน มีรอยรองเท้าลักษณะเดียวกันอยู่ในจุดที่ถูกงัด
2. การรู้ว่าบ้านเป้าหมายไม่มีคนอยู่หลายวัน ทำให้คนร้ายมีเวลาที่จะเลือกทรัพย์สินที่จะขโมยไปอย่างละเอียด เช่น การนำ “ทองคำ” ออกไป และปิดฝากล่องใส่ทองวางไว้ที่เดิม กว่าเจ้าของบ้านจะรู้ตัวว่าทรัพย์สินหายไป เวลาก็ผ่านไปนานแล้ว จนไม่รู้ว่าเหตุเกิดขึ้นเมื่อไหร่
3. คนร้ายรายนี้ ยังมีความสามารถถอดเมมโมรีการ์ดออกจากกล้องวงจรปิด แบบที่เชื่อมโยงกับโทรศัพท์มือถือออกไปได้อีกด้วย
ส่วนข้อสังเกตข้อที่ 4 เป็นจุดที่สำคัญที่สุด เพราะหมู่บ้านแห่งนี้ ถือเป็นโครงการหรู บ้านแต่ละหลังมีราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป มีบ้าน 380 หลัง แบ่งเป็น 28 ซอย ระบบรักษาความปลอดภัยถูกกำหนดไว้อย่างดีเยี่ยม ทางเข้า - ออกหมู่บ้าน มีเส้นทางเดียว คือ จะต้องผ่านป้อมของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเท่านั้น
หากมีบุคคลภายนอกต้องการมาพบลูกบ้าน จะต้องแลกบัตรที่ป้อม พร้อมระบุเลขที่บ้านที่จะเข้าไปพบ จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยใช้รถจักรยานยนต์นำไปยังบ้านหลังที่ถูกระบุว่าจะไปพบ รอจนกว่าเจ้าของบ้านจะออกมายืนยัน และขาออก ก็ต้องมีตราประทับจากเจ้าของบ้านหลังนั้นกลับออกมาด้วย จึงจะแลกบัตรคืนออกไปได้
ส่วนด้านอื่นๆ ของหมู่บ้านถูกล้อมรอบไว้ด้วยกำแพงสูงถึง 4 เมตร ยากที่จะมีใครปีนเข้า-ออกได้ง่ายๆ
เมื่อพิจารณาทั้ง 4 ข้อนี้แล้ว ทำให้ตั้งสมมติฐานได้ว่า เป็นเรื่องยากที่คนร้ายจะลักลอบเข้ามาจากภายนอก คนร้ายอาจมีข้อมูลของบ้านที่ไม่มีคนอยู่ และยังน่าแปลกใจที่สามารถลงมือได้บ่อยๆ เช่นนี้
ส่วนการหาตัวคนร้าย ลูกบ้านเล่าว่า หลังพบบ้านหลายหลังมีทรัพย์สินหายไป ก็ไปแจ้งกับบริษัทเจ้าของโครงการ และไปแจ้งตำรวจท้องที่ตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค. แต่ในช่วงแรกยังไม่เห็นถึงความพยายามในการติดตามตัวคนร้าย มีเพียงการส่งเจ้าหน้าที่สายตรวจเข้ามาดูแลบ้างเท่านั้น
จนกระทั่งมีสื่อมวลชนสำนักหนึ่งเข้ามานำเสนอข่าวออกสู่สาธารณะ จึงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจลงมาประจำในหมู่บ้านมากขึ้นตลอดทั้งวัน และได้ตรวจสอบหาหลักฐานจากบ้านที่ถูกโจรกรรมครั้งล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 5 ก.พ. ที่ผ่านมา อยู่ระหว่างรอผลการสืบสวน
แต่ก็ยอมรับว่า ลูกบ้านจำนวนหนึ่งยังคงไม่สบายใจ ตราบใดที่ยังไม่สามารถระบุตัวคนร้ายรายนี้ได้ เพราะในขณะนี้ โครงการยังอยู่ระหว่างการถ่ายโอนไปเป็นนิติบุคคล หลังขายบ้านได้หมดแล้ว เจ้าของโครงการจึงนำเจ้าหน้าที่โครงการย้ายออกไปแล้วทั้งหมดในช่วงเวลานี้พอดี
มีเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย กะละ 6-7 คน เท่านั้น ที่อยู่ดูแลความปลอดภัยทั้งหมด โดยมาจากบริษัทที่โครงการจัดหามา แต่ใช้เงินลูกบ้านเป็นผู้ว่าจ้าง