“นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์” แพทย์จากโรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้ออกมาโพสต์ข้อความแนะนำ 2 มาตรการรับมือการระบาดโรคโควิด-19 ระลอก 2 หลัง การระบาดในรอบนี้ควบคุมยากกว่าการระบาดรอบแรก
วันนี้ (4 ก.พ.) เฟซบุ๊ก “หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC” หรือ นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ เป็นหัวหน้าห้องไอซียู เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ ประจำที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้ออกมาโพสต์ข้อความเผยถึงมาตรการรับมือการระบาดโรคโควิด-19 ระลอก 2 โดยได้ระบุว่า
“การระบาดระลอก 2 ในประเทศไทยควบคุมยากกว่าการระบาดรอบแรก ครั้งนี้แรงงานต่างชาติชาวเมียนมาที่จังหวัดสมุทรสาครเป็นต้นตอกระจายเชื้อโรคไวรัสโควิด-19 ให้คนไทย การปิดสถานที่และกิจกรรมต่างๆ ของคนไทยได้ผลน้อยกว่าครั้งที่แล้ว เพราะต้นตอคือ แรงงานต่างชาติในจังหวัดสมุทรสาครยังแพร่เชื้อโรคต่อเนื่องให้ชาวเมียนมาด้วยกัน แล้วแพร่กระจายต่อให้คนไทย เราเห็นตัวเลขการตรวจเชื้อเชิงรุกของแรงงานชาวเมียนมาในจังหวัดสมุทรสาครพบ 700-800 คนทุกวัน ยิ่งตรวจมาก ตัวเลขติดเชื้อในแรงงานต่างชาติก็ยิ่งพบมากขึ้น
ประเทศไทยมี 2 ทางเลือก
ทางเลือกที่ 1 ต้องตรวจเชิงรุกแรงงานชาวเมียนมาทุกคน อย่างน้อย 3 แสนคน ถ้าพบว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องกักตัวในโรงพยาบาลสนาม 10-14 วัน จำนวนเตียงขณะนี้ยังมีไม่เพียงพอ ต้องเร่งเพิ่มจำนวนเตียงของ รพ.สนาม ต้องให้แรงงานชาวเมียนมาหยุดทำงาน ห้ามเดินทางออกจากที่พัก แต่ให้เงินเดือน ให้อาหาร ให้ยารักษาโรค การตรวจเชิงรุกไม่ใช่ตรวจครั้งเดียว ต้องตรวจหลายครั้ง ค่าตรวจครั้งละ 1,600 บาท วิธีนี้ต้องใช้งบประมาณมหาศาลแน่นอน และการกักตัวไม่ให้แรงงานต่างชาติลักลอบเดินทางออกนอกพื้นที่ก็ทำได้ยาก
ทางเลือกที่ 2 เมื่อมีวัคซีนป้องกันโควิดมาถึงเมืองไทย ต้องรีบฉีดแรงงานต่างชาติจังหวัดสมุทรสาครทุกคน งบประมาณในการฉีดวัคซีนจะน้อยกว่า และน่าจะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อให้คนไทยได้ดีกว่าวิธีแรก และยังแสดงให้เห็นถึงความมีมนุษยธรรมของคนไทย ไม่ทอดทิ้งพวกเขา เห็นความสำคัญของแรงงานต่างชาติที่มาช่วยแบ่งเบาภาระงาน ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ถึงแม้แรงงานต่างชาติทุกคนรวมทั้งคนไทยยกเว้นเด็กและหญิงตั้งครรภ์ได้รับวัคซีน คนไทยก็ยังต้องใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างกันอีกนาน แล้วแต่ประเทศไทยจะเลือกวิธีไหน”