คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เผยอาการผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ทำการเจาะคอเพื่อช่วยหายใจ ดูดเสมหะได้ง่ายขึ้น ผลเอกซเรย์พบพังผืด บ่งชี้ปอดถูกทำลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะปลูกถ่ายปอด
วันนี้ (25 ม.ค.) ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงอาการของนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ว่าเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (22 ม.ค.) การหายใจมีเสมหะเยอะ บ่อยครั้งที่ดูดเสมหะจะกระตุ้นให้ผู้ป่วยรู้สึกตัว ต้องให้ยาเพื่อให้ผู้ป่วยหลับ ซึ่งเสมหะที่เยอะขึ้นมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่อาจจะรุนแรงมากขึ้น
ต่อมาวันเสาร์ (23 ม.ค.) เวลา 13.00 น. ได้ทำการเจาะคอเพื่อดูแลเรื่องการหายใจง่ายขึ้น ไม่ให้ผู้ป่วยเกิดการระคายเวลาใส่ท่อช่วยหายใจ และไม่รู้สึกอึดอัด ดูดเสมหะได้ง่ายขึ้น ทุกอย่างดำเนินการไปเรียบร้อยดี ทางภรรยาและบุตรสาวรับทราบและอนุมัติให้ดำเนินการ วันอาทิตย์ที่ 24 ม.ค.พบว่าการติดเชื้อไข้ลดลงหมดแล้ว แต่ยังคงให้ยาปฏิชีวนะเพื่อครอบคลุมเชื้ออยู่
ขณะนี้ทางคณะแพทย์มีการประชุมในเวลา 11.00 น.ทุกวัน ซึ่งในวันนั้นมีคำถามว่าเชื้อโควิด-19 ที่ทำลายปอดไปนั้นยังเหลือเนื้อปอดให้มากน้อยแค่ไหน และการทำงานของปอดของผู้ป่วยเป็นอย่างไร จึงมีการนำตัวผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ไปเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อดูสภาพของปอดและสมอง เมื่อเวลา 20.00 น.วานนี้ มาถึงวันนี้ผลที่ออกมาพบว่าปอดมีการอักเสบ บางส่วนบ่งชี้ว่ามีเนื้อเยื่อพังผืดเกิดขึ้นแล้วในเนื้อปอด ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อการทำลายเนื้อปอด ส่วนหลอดเลือดในปอด และสมองเรียบร้อยดี ไม่มีอะไรผิดปกติ ที่กังวลใหญ่ๆ คือเรื่องการทำงานของปอด และความที่ได้ใช้ยาในการรักษาเยอะ ก็ต้องการถอยยาออก
“ทีมแพทย์ประเมินหลังจากดูฟิลม์เอกซเรย์เรียบร้อย ได้ข้อสรุปในวันนี้ คือ จะมีการดูดน้ำจากหลอดลมด้านล่าง นำไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อหมดไปเรียบร้อยแล้ว และจะดูเซลล์ในหลอดลมเพื่อประกอบการตัดสินใจในการให้ยาบางอย่าง ถ้าสามารถตรวจได้ว่าเซลล์แบบนี้ ให้ยาแบบนี้แล้วตอบสนองดี ก็จะดูผลใน 72 ชั่วโมง ซึ่งภายในวันนี้ก็จะตัดสินใจที่จะให้ยาอะไรได้บ้าง” ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าว
ส่วนคอที่เจาะไว้นั้น ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ต้องกังวล ปกติถ้าผู้ป่วยหายแล้วดึงออกมาภายใน 48 ชั่วโมงก็ปิดแล้ว สามารถพูดคุยได้เหมือนเดิม สำหรับกรณีที่บุตรสาวเปิดเผยว่าจะมีเตรียมการปลูกถ่ายปอดนั้น ศ.นพ.ประสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องปลูกถ่ายปอด วิธีการดังกล่าวสำหรับกรณีที่ปอดของผู้ป่วยถูกทำลายจนไม่เหลือเนื้อปอดที่จะสามารถหายใจด้วยตัวเองได้ซึ่งเป็นวิธีการสุดท้าย เพราะตอนนี้ยังมีวิธีอีกหลายอย่าง