เพจ “ปีใหม่ ปีใหม่” อัด “โบว์ ณัฏฐา” เคยทำแคมเปญ #ปล่อยไผ่ ดาวดิน ซึ่งติดคุกเพราะ ม.112 เมื่อปี 2559 ต่อมาม็อบราษฎรเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันฯ แทนที่จะสนับสนุน กลับอยากให้มี ม.112 เหมือนเลือกที่จะเลี้ยงปัญหาไว้แก้ ตั้งข้อสงสัยไม่มีความโปร่งใสเปิดบัญชีส่วนตัวรับบริจาคช่วยพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าใคร ให้ลี้ภัยไปต่างประเทศ หนี ม.112 ดักคอเพ้อถึงขนาดจะไปสร้างวัดเผยแผ่พุทธศาสนา หวังปูทางเพื่อขอรับบริจาคระยะยาวไม่รู้จบหรือเปล่า?
วันนี้ (22 พ.ย.) เฟซบุ๊กเพจ “ปีใหม่ ปีใหม่” ได้โพสต์ข้อความถึงกรณี น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ นักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ทำการระดมทุนช่วยพระรูปหนึ่งที่โดนมาตรา 112 ต้องการลี้ภัยไปต่างประเทศว่า
เห็นข่าวลงนักกิจกรรมคนหนึ่งเปิดบัญชีส่วนตัวรับบริจาค “ด่วน” เพื่อช่วยพระสงฆ์รูปหนึ่งที่ต้องการลี้ภัยไปต่างประเทศ หนี ม.112 จำแลงซึ่งมาในรูปแบบของ พ.ร.บ.คอมพ์ ตั้งเป้าเบื้องต้น 1 แสนบาท เพื่อการเดินทาง แต่เปิดให้บริจาคได้ถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อนำเงินสมทบสร้างวัด ณ ประเทศปลายทางลี้ภัย
อ่านแล้วมองเห็นปัญหาหลายจุดที่น่าเป็นห่วงทั้งคนเปิดรับบริจาค คนรับความช่วยเหลือ และคนบริจาค รวมไปถึงภาพลักษณ์ของขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
จุดแรกความกังขาที่สังคมเกิดต่อตัวนักกิจกรรมคนนี้ในแง่จุดยืนกับวิธีแก้ปัญหา เพราะเธอมีชื่อเสียงจากการทำแคมเปญ #ปล่อยไผ่ ดาวดิน ซึ่งติดคุกเพราะ ม.112 เมื่อปี 2559 จากการแชร์บทความบีบีซีที่เกี่ยวกับสถาบัน โดยตลอดแคมเปญนั้นเธอแสดงออกว่าต่อต้าน ม.112 อย่างแข็งขัน คู่ขนานกับคณะนิติราษฎร์ ที่นำโดย อ.วรเจตน์ (อ.ปิยบุตร ก็แจ้งเกิดจากตรงนี้)
ต่อมาเมื่อมีกระแสปฏิรูปสถาบันฯ ม.112 ถูกระบุใน 10 ข้อเรียกร้องของม็อบ “ให้ยกเลิก” นักกิจกรรมคนนี้กลับแสดงความเห็นว่า กฎหมายหมิ่นประมุขควรต้องมีอยู่แล้ว เพื่อรักษาแบรนด์ไว้ แม้จะขยายความว่า “แค่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชนแบบประเทศปกติมีกัน” ก็ยังฟังปร่าแปร่งย้อนแย้งอยู่ดี เพราะกฎหมายหมิ่นประมาทธรรมดาก็ใช้แทนได้
แรกๆ ต่อต้าน ตอนหลังสนับสนุนการมีอยู่ของ ม.112 แต่แล้วเธอก็ต้องออกมาวิ่งเต้นหาเงินช่วยพระลี้ภัย หนีความโหดร้ายของ ม.112 หลังจากที่เคยต้องเหนื่อยยากรณรงค์ #ปล่อยไผ่ (จนปล่อยมือไปในตอนหลัง) คนฟังก็รู้สึกว่าย้อนแย้งทางวิธีคิด แทนที่จะตัดปัญหาทิ้งไป เธอกลับเลือกที่จะเลี้ยงปัญหาไว้แก้ !
จุดที่สอง ความห่วงใยเกี่ยวกับพระสงฆ์รูปนั้น ซึ่งหลายคนไม่รู้ว่าใคร ทำอะไรผิดไว้แบบไหน ทำไมต้องถึงกับหนีไปต่างประเทศ ไม่มีรายละเอียดอะไรนอกจากคำกล่าวอ้างสรรพคุณความดีงามของพระ จากนักกิจกรรม
1) พระจะไปตกทุกข์ได้ยากมากกว่าอยู่สู้คดีไหม เพราะแค่เงิน 1 แสนบาทยังไม่มีสำหรับการเดินทาง เมื่อถึงปลายทางจะไปอยู่ไปกินแบบไหน
2) ยิ่งฟังว่าคิดการณ์ใหญ่ถึงกับจะไปสร้างวัดในต่างแดน ยิ่งเกิดคำถาม
- แสดงว่าคิดจะไปตั้งรกรากในประเทศนั้น ไม่คิดจะกลับมาไทยอีกแล้ว
- เอาความมั่นใจมาจากไหนว่าการเป็นผู้ลี้ภัย ซึ่งไม่มีเครือข่าย ไม่มีการวางแผนการไว้ล่วงหน้า อยู่ๆ ฉุกละหุกไปด่วน จะสามารถไปถึงก็สร้างวัดเผยแผ่พุทธศาสนาในประเทศของเขาได้โดยง่าย
ความเคลือบแคลงเรื่องความโปร่งใสในการรับบริจาคครั้งนี้
1) ทำไมใช้บัญชีส่วนตัวของนักกิจกรรมเพียงคนเดียว แล้วใครจะตรวจสอบความเคลื่อนไหวของเงินในบัญชี
- มีอยู่เดิมซึ่งเป็นเงินส่วนตัวเท่าไร มีการโอนเข้าเงินส่วนตัวระหว่างนี้อีกไหม
- ได้มาเติมเท่าไรกันแน่ ที่เปิดอัลบั้มไว้ มีการโอนเท่าที่แสดงจริงหรือเปล่า
- ส่งมอบให้ปลายทางจริงไหม เท่าที่ได้รับบริจาคหรือเปล่าเพราะเงินเก่าเงินใหม่ เงินบริจาคเงินส่วนตัว มันผสมปนเปอยู่ในบัญชีเดียวกัน จะแยกแยะอย่างไร ไม่มีการบอกรายละเอียดไว้
2) พูดถึงขนาดจะไปสร้างวัดเผยแผ่พุทธศาสนา โฆษณาสรรพคุณเลิศลอย โดยโน้มน้าวชาวพุทธ “เป็นพระสงฆ์รุ่นใหม่ที่มีการศึกษาและวัตรปฏิบัติชอบ...ที่ปลายทางนั้น หากทำได้สำเร็จ ชาวพุทธหรือผู้สนใจศึกษาในต่างแดนจะได้มีวัดสำหรับผู้ที่ศรัทธาพุทธพจน์ตามพระไตรปิฎกอย่างไม่เจือไสยศาสตร์ ....เป็นการต่อยอดทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เป็นที่พึ่งกับผู้คนอีกมากมาย สำหรับผู้มีจิตศรัทธาที่จะได้ร่วมแรงกัน ... สำหรับเรา การระดมทุนครั้งนี้ หวังใจว่าจะเป็นต้นทุนสำหรับภารกิจทางศาสนาที่ต้องใช้ความพากเพียรอีกมากต่อไปด้วย” ... มีคำถามว่าเป็นการปูทางเพื่อขอรับบริจาคระยะยาวไม่รู้จบหรือเปล่า ?
3) ที่หนักสุด คือ มีคนคิดไปถึงขนาดว่า หรือนี่จะเป็น “ทฤษฎีสมคบคิด” ที่มาในรูป “พระครึ่งหนึ่ง สีกาครึ่งหนึ่ง” เพราะที่ผ่านมานักกิจกรรมคนนี้ก็ไม่เคยแสดงปฏิกิริยาอาการว่ามีความศรัทธาในพุทธศาสนา เหมือนที่พรรณนาในโพสต์ขอรับบริจาคเลยแม้สักครั้ง
กิจกรรมใดที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับเงินบริจาค ล้วนอ่อนไหว, ง่าย และ เปราะบางต่อชื่อเสียงที่อุตส่าห์สมสร้างมายาวนาน เพราะหากมันกลายเป็นชื่อเสียซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีแล้ว การจะฟื้นฟูให้กลับมาดังเดิมอาจใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิต หรือ เผลอๆ ก็อาจไม่มีวันนั้นอีกเลยจวบสิ้นชีวิต และดีไม่ดีก็มีผลสะเทือนต่อขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยโดยรวมด้วย
ความรอบคอบโปร่งใส ตรวจสอบได้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด