อาจารย์จาก ม.สวนดุสิต ชี้สื่อมวลชนอยู่ในสภาวะ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” จากสถานการณ์เปราะบาง แฝงด้วยความรุนแรง แนะสื่อลดความสำคัญคู่ขัดแย้ง เพิ่มความสมดุล หลากหลายของข่าวจากคนกลุ่มอื่นของสังคม และยึดหลักแก้ปัญหาความขัดแย้ง มองหาสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์ร่วมกัน
วันนี้ (3 พ.ย.) ผศ.ดร.วรัตต์ อินทสระ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวถึงบทบาทสื่อมวลชนกับการแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้ง ระบุว่า นับตั้งแต่การประชุมรัฐสภาอังกฤษคราวหนึ่ง เอ็ดมันด์ เบอร์ค (Edmund Burke) นักกฎหมาย นักเขียนและนักการเมือง ซึ่งยืนอภิปรายอยู่ ได้ชี้มือไปยังกลุ่มนักหนังสือพิมพ์ที่เข้าร่วมฟังการประชุมด้วย และกล่าวขึ้นว่า “ในขณะที่เราทั้งหลายซึ่งเป็นฐานันดรใดฐานันดรหนึ่งทั้ง 3 ฐานันดร กำลังประชุมกันอยู่นี้ ควรคำนึงไว้ด้วยว่า บัดนี้มีฐานันดรที่ 4 เกิดขึ้นแล้ว และฐานันดรนั้นกำลังนั่งฟังการประชุมของเราอยู่ ณ ที่นี้ด้วย”
นับแต่นั้นมา ผู้ที่เป็นสื่อมวลชนจึงถูกเรียกว่าฐานันดรที่ 4 จากที่มีฐานันดรที่ 1 ได้แก่ กษัตริย์ ขุนนางและนักรบ, ฐานันดรที่ 2 ได้แก่ บรรพชิตและผู้ทรงศีลทางศาสนจักร และ ฐานันดรที่ 3 ได้แก่ ประชาชนธรรมดาทั่วไป ทั้งนี้ แนวคิดแบบดั้งเดิมของฐานันดรที่ 4 คือ สื่อมวลชนทำหน้าที่เป็น “กระจกส่องสังคม” แต่ความขัดแย้งในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานการณ์ที่มีความอ่อนไหวสูง สื่อมวลชนควรทำหน้าที่มากกว่านั้น
“สื่อควรวางบทบาทอย่างไร ในสถานการณ์ที่เปราะบางแต่แฝงไปด้วยความรุนแรงเช่นนี้ คำตอบก็คือ สื่อควรสวมบทบาทของตัวกลาง (Transaction Platform Role) เชื่อมโยงกลุ่มต่างๆ ในสังคม เผยแพร่ความคิดเห็นรอบด้านที่จะทำให้ประชาชนจะได้รับโอกาสที่จะได้เห็น และได้ยินทุกๆ ด้านของสถานการณ์ แต่ภาวะการณ์ความขัดแย้งในประเทศไทยในปัจจุบัน สื่อมวลชนตกอยู่ในภาวะ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” (Role dilemma) เพราะสื่อมวลชนแบ่งฝ่ายทั้งการต่อต้านและสนับสนุน จนกลายเป็นตัวกลางที่สนับสนุนความขัดแย้งนั้นเสียเอง กลุ่มประชาชนที่มีแนวโน้มเป็นกลาง ล้วนมีคำถามพุ่งตรงไปยังบทบาทของสื่อมวลชนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่า สิ่งใดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และสิ่งใดเป็นบทบาทของสื่อมวลชนที่ควรทําต่อไป ทั้งสองคำถามนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับความตึงเครียดของคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย” ผศ.ดร.วรัตต์กล่าว
ผศ.ดร.วรัตต์กล่าวว่า ความตึงเครียดของคู่ขัดแย้ง นอกเหนือจากความคิดเห็นหลายประการที่ไม่ตรงกันแล้ว ยังถูกเติมด้วยอุปสรรคการแก้ปัญหาอีกประการหนึ่ง คือ ทั้งสองฝ่ายมีวิธีคิดและวิธีปฏิบัติต่อคู่ขัดแย้ง โดยไม่มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหา แต่ต่างฝ่ายต่างรวบรวมความอยุติธรรมของอีกฝ่าย ขึ้นมากล่าวโจมตีกัน (Injustice collecting) และคิดว่า “การล้มอีกฝ่ายให้ได้อย่างเด็ดขาด” คือเป้าหมายของชัยชนะ
บทบาทของสื่อมวลชนในสถานการณ์นี้ จึงต้องทำมากกว่าการรายงานข่าวบรรยากาศของการชุมนุม โดยต้องลดการให้ความสำคัญกับแหล่งข่าวที่เป็นคู่ขัดแย้ง แล้วไปเพิ่มความสมดุลและความหลากหลายของข่าว จากคนกลุ่มอื่นของสังคม เช่น กลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุม หรือนักวิชาการอิสระที่แท้จริง นำข้อมูลของที่ได้รับมาอภิปรายบนพื้นฐานของความเป็นกลางในวิชาชีพ และจริยธรรม 23 ประการของสื่อสารมวลชน ต้องปรับบทบาทจากผู้นำเสนอข่าวสารเพียงอย่างเดียว มาทำหน้าที่ผู้ช่วย ทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง มองเห็นความซับซ้อนของปัญหา ทำหน้าที่เป็นผู้นำสังคม ด้วยการระดมความคิดและเสนอทุกทางเลือก รวมทั้งผลลัพทธ์ที่จะตามมากับทางเลือกนั้น
ที่สำคัญ คือ ต้องทำหน้าที่อธิบายกับประชาชน ว่าประเทศกำลังอยู่ในวงจรความขัดแย้งที่เรียกว่า “ช่วงเวลาของการเผชิญหน้า” ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของความขัดแย้งที่จะทำให้สถานการณ์ดำเนินไปในทิศทางใดก็ได้ คือ เกิดความรุนแรงมากขึ้นหรือคลี่คลายลงไปก็ได้ จุดเผชิญหน้าจุดนี้เป็นจุดสำคัญ เพราะอาจจะเป็นโอกาสสุดท้าย ที่จะสร้างความไว้วางใจและสร้างความรู้สึกร่วมกันของผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ดังนั้น ถ้าการเผชิญหน้า ณ จุดสูงสุดนี้เป็นไปในทิศทางลบ นั่นหมายถึงความขัดแย้งนี้จะคงอยู่อย่างถาวรเป็นระยะเวลาหนึ่ง (Confrontation)
“สื่อจึงควรนำเสนอประวัติศาสตร์ของความขัดแย้ง และถอดบทเรียนจากผลกระทบของความขัดแย้งในอดีต และใช้ทุกช่องทางที่มีอยู่ เพื่อนำเสนอผลลัพธ์ไปยังคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย โดยอาจจะใช้กรอบวิธีปฏิบัติ 3 ประการ คือ
1. รับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แยกความคิดเห็นที่ไม่สามารถใช้ได้จริงออกมา โดยต้องไม่ลืมที่จะกล่าวว่า “ทุกความเห็นมีคุณค่า” แต่บางความเห็นหรือบางแนวทาง ยังไม่สามารถใช้ได้ในสถานการณ์นี้
2. สื่อมวลชนต้องยึดมั่นอยู่กับหลักของปัญหา คือ “จะแก้ปัญหาความขัดแย้งได้อย่างไร?” (Should be your primary focus)
และ 3. สื่อมวลชนควรมองหาสิ่งที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน (Focus on eliciting common interests) และนำเสนอให้คู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายได้นำไปพิจารณา” ผศ.ดร.วรัตต์ กล่าว
ในขณะเดียวกัน คู่ขัดแย้งต้องแสดงท่าทีที่จะปรับเปลี่ยนและลดระดับความขัดแย้งให้ได้ก่อน กลยุทธ์ของของการเจรจาในสถานการณ์นี้เป็นไปได้ทางเดียวคือ มองหาแนวทางที่ทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ชนะ (win-win Strategy) แม้ว่าแนวทางนี้อาจจะจะมีสมาชิกบางส่วนของแต่ละฝ่ายไม่พอใจ ซึ่งต้องไปทำความเข้าใจต่อไปว่า “การคลี่คลายความขัดแย้ง จะทำให้ทุกฝ่ายพอใจอย่างสมบูรณ์นั้นเป็นไปได้ยาก”