1.วิจารณ์หนัก!! "แอมมี่" สาดสีใส่ ตร. อ้างตอบโต้ด้วยศิลปะ ด้าน "ศรีสุวรรณ" ชี้ผิดอาญาหลายมาตรา รอรับหมายเรียกได้เลย!
เมื่อวันที่ 28 ส.ค. ได้เกิดกรณีที่นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความเหมาะสม กรณีนักร้องหนุ่ม แอมมี่ ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ แอมมี่ The Bottom Blues แนวร่วมม็อบปลดแอก ที่ยกถังสีสาดใส่ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ ที่วางกำลังดูแลความเรียบร้อยขณะไผ่ ดาวดิน พร้อมแกนนำม็อบปลดแอก 15 คน เข้ารายงานตัวตามหมายเรียกของตำรวจ โดยเจ้าตัวอ้างเหตุผลที่สาดสีใส่ตำรวจว่า เป็นการตอบโต้ด้วยศิลปะ หลังประชาชนถูกป้ายสีถูกคุกคามมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การสาดสีใส่ตำรวจของแอมมี่ ส่งผลให้แม้แต่แนวร่วมฝ่ายเดียวกันบางส่วนยังรับไม่ได้ เพราะมองว่าเป็นการกระทำที่เกินไป ไม่ใช่แนวทางของสันติวิธี แต่ฝ่ายที่สนับสนุนก็มองว่า เป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่ได้ใช้อาวุธตอบโต้ เหมือนที่รัฐเคยทำกับประชาชน ขณะที่กระแสสังคมจำนวนไม่น้อยบอกว่า สงสารตำรวจที่ถูกสาดสีใส่ เพราะตำรวจ มาทำงานตามหน้าที่ และหากชุดเปื้อนสีซักไม่ออก จะต้องเสียเงินตัดชุดใหม่ ซึ่งเงินเดือนตำรวจชั้นผู้น้อยไม่ได้มากมายอะไร ส่งผลให้ภายหลังมีผู้เห็นใจตำรวจ และระดมเงินบริจาคเพื่อช่วยออกค่าตัดชุดใหม่ให้ตำรวจ 13 นายที่ชุดเปื้อนสีที่ถูกสาดใส่
ด้านนางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงเหตุการณ์ที่แอมมี่สาดสีใส่ตำรวจว่า “ไม่เห็นด้วยกับการกระทำในลักษณะนี้ค่ะ ถ้าสีเข้าตาจะทำอย่างไร ตำรวจเมื่อถอดเครื่องแบบก็คือพลเมืองคนหนึ่ง เมื่อปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องทำตามที่นายสั่ง คนที่เชื่อในสันติวิธีจะอดทนอดกลั้น ใช้วิธีเจรจาต่อรอง ที่ผ่านมาก็ใช้การเจรจาต่อรองมาตลอด เหตุการณ์วันนี้ #แกนนำต้องชี้แจงค่ะ”
ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เผยว่า ตามที่นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ แอมมี่ สมาชิกวงดนตรีเดอะบอตทอมบลูส์ กระทำการอันเป็นที่น่ารังเกียจโดยการสาดสีน้ำเงินใส่ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ พร้อมกระโดดเข้าชกเจ้าหน้าที่ ระหว่างที่ผู้ต้องหาคดีเวทีชุมนุมเยาวชนปลดแอกมารายงานตัวตามหมายเรียก เมื่อ 28 ส.ค.โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้ที่ประชาชนถูกป้ายสีมามากแล้ว พร้อมประกาศ หากยังคุกคามประชาชนอยู่ จะคุกคามคืนด้วยศิลปะเช่นนี้อีกนั้น การกระทำของแอมมี่ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง แม้กระทั่งในกลุ่มผู้สนับสนุนม็อบนักศึกษาเอง ต่างมองว่าไม่เหมาะสม และทำให้การเคลื่อนไหวของนักศึกษาเป็นที่ด่างพร้อย ทำลายความชอบธรรมในการเคลื่อนไหว แต่ก็มีนักประชาธิปไตยตกรุ่น นักประชาธิปไตยลูกจ้างบางราย พยายามกล่าวอ้างว่าเป็นงานศิลปะ ประเทศอื่นเขาก็ทำกัน เพื่อหวังแก้หน้าแก้ภาพลักษณ์ที่ถูกทำลายย่อยยับเพราะการกระทำของพวกตน โดยเฉพาะภาพที่แพร่ในโซเชียลเต็มไปหมด คือภาพที่นักประชาธิปไตยดวลแหล้าดวดเบียร์กันคืนก่อนปฏิบัติการ
การกระทำดังกล่าวหาใช่เสรีภาพที่ชอบใช้กล่าวอ้างแล้วพากันหัวเราะสนุกสนานไม่ หากแต่มีเจตนาที่ได้สร้างความเดือดร้อนและเสียหายให้เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 13 นายที่ถูกสาดสี แม้ผู้ชุมนุมพยายามจะเรี่ยไรเงินมาให้เพื่อให้ตำรวจไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วก็ตาม แต่เป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหลายมาตรา อาทิ มาตรา 138 ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการต่อสู้หรือขัดขวางนั้นได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
นอกจากนั้น การที่ทำให้ชุดเสื้อผ้าตำรวจเสียหาย ก็เป็นความผิดตามมาตรา 358 ด้วยที่ว่า “ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมข้อหาร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และหรือร่วมกันจัดให้มีกิจกรรม ซึ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมากในลักษณะมั่วสุมกัน ชุมนุมทำกิจกรรมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใดๆ ในสถานที่แออัด อันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยหรือในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 อีก “อีกไม่นานแอมมี่กับพวกที่หน้าระรื่นในวันนี้ ควรนอนรอรับหมายเรียกจาก สน.สำราญราษฎร์ ได้เลย แล้วอย่ามาโวยวายให้อายชาวบ้านเขาว่า เป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพ เพราะการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ แต่กลับไปละเมิดสิทธิผู้อื่นเยี่ยงนี้มีทางเดียว คือ ให้มันจบที่เรือนจำเท่านั้น จึงจะชอบ”
2.ศาลพิพากษาประหารชีวิต “อดีต ผอ.กอล์ฟ” คดีฆ่าชิงทองกลางห้างดังลพบุรี ชี้พฤติกรรมเป็นภัยร้ายแรง ไม่บรรเทาโทษ!
เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีฆ่าชิงทองออโรร่า ห้างโรบินสัน ลพบุรี ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ บริษัท ออโรร่าดีไซน์ จำกัด โจทก์ร่วม และผู้ร้องอีก 10 ราย ยื่นฟ้องนายประสิทธิชัย เขาแก้ว หรือกอล์ฟ อายุ 38 ปี อดีต ผอ.โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งใน จ.สิงห์บุรี เป็นจำเลย ในความผิด 9 ข้อหา 1.ฐานฆ่าผู้อื่นฯ 2.พยายามฆ่าผู้อื่นฯ 3.ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้อาวุธปืนฯ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายสาหัส 4.ยิงปืนฯ โดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชน 5.พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร และไม่ได้รับใบอนุญาตฯ 6.มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ ไม่ได้รับใบอนุญาต 7.มีและใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ 8.ใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ฐานชิงทรัพย์ 9.มียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
โดยอัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2563 บรรยายพฤติการณ์ความผิด สรุปว่า เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2563 จำเลยซึ่งมีอาวุธปืนออโตเมติก ขนาด 9 ม.ม. ติดท่อเก็บเสียง 1 อัน ซองกระสุนปืนพร้อมเครื่องกระสุน ได้นำอาวุธ พร้อมเครื่องกระสุนเข้าไปภายในห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขาลพบุรี แล้วยิงนายธีระฉัตร นิ่มมา พนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ของห้างฯ รวมทั้งประทุษร้ายบุคคลทั่วไป จนเป็นเหตุให้ ด.ช.ภาณุวิชญ์ วงศ์อยู่ หรือน้องไตตั้น และ น.ส.ธิดารัตน์ ทองทิพย์ พนักงานร้านทองออโรร่า จนถึงแก่ความตาย และจำเลยยังได้ยิงบุคคลอื่นอีก 4 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนชิงเอาสร้อยคอทองคำรวม 33 เส้น เป็นเงินทั้งสิ้น 664,470 บาท ของบริษัท ออโรร่าดีไซน์ จำกัด ผู้เสียหายไปโดยทุจริต ก่อนขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป
ต่อมาตำรวจได้สืบสวนสอบสวนติดตามจับกุมตัวจำเลยได้พร้อมของกลางหลายรายการ และให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ทั้งนี้ จำเลยอ้างว่า มูลเหตุในการกระทำผิดเกิดจากปัญหาหนี้สินและเป็นความคิดชั่ววูบ และสำคัญผิดคิดว่า รปภ.ห้างโรบินสันฯ มีอาวุธปืน ส่วนที่จำเลยยิงปืนไปที่บุคคลบริเวณร้านทองหลายนัด ก็อ้างว่าไม่ได้ตั้งใจ ส่วนที่จำเลยถอดเครื่องแต่งกายทิ้งริมถนน อ้างว่าเพราะสำนึกในสิ่งที่ทำลงไป อีกทั้งในชั้นจับกุมจำเลยอ้างว่าไม่ได้หลบหนี ในชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพและนำชี้เก็บวัตถุพยาน พร้อมยกว่าจำเลยเคยกระทำคุณงามความดีมาก่อน จึงขอให้ศาลลงโทษสถานเบา
ด้านศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานและหลักฐานของพนักงานสอบสวน รวมถึงพยานในที่เกิดเหตุสอดสอดคล้องต้องกัน ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะปรักปรำกลั่นแกล้งให้จำเลยรับโทษ นอกจากนี้การตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของจำเลยก็เข้าได้กับหมวกโม่งคลุมศีรษะสีดำที่จำเลยสวมใส่ในวันก่อเหตุ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงพิสูจน์ได้แน่ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดในคดีนี้ ส่วนที่จำเลยเบิกความว่า ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปถึงที่สถานที่เกิดเหตุแล้วเปลี่ยนจะไม่ก่อเหตุ แต่เกิดความคิดชั่ววูบเรื่องปัญหาหนี้สินและต้องการใช้เงินนั้น ศาลเห็นว่า การก่อเหตุของจำเลยมีการตระเตรียมการไว้ล่วงหน้า เตรียมอาวุธปืนติดเครื่องบังคับเสียงให้เบาผิดปกติ (ท่อเก็บเสียง) แต่งกายปกปิดอำพรางตนและยานพาหนะ แสดงว่าจำเลยรู้สำนึกในการที่จะกระทำ ข้ออ้างว่าเปลี่ยนใจและเป็นความคิดชั่ววูบนั้น ไม่ได้มีการยับยั้ง ไม่กระทำการให้ตลอดหรือกลับใจ แต่จำเลยลงมือกระทำผิดไปตลอดแล้ว จึงต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้นๆ
ส่วนที่จำเลยอ้างว่าที่ต้องยิงนายธีรฉัตร รปภ.หลายนัดและบุคคลอื่น เพราะสำคัญผิด ไม่มีเจตนาฆ่าและไม่ได้กระทำการหลายกรรมต่างกัน เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างว่าผู้ตายมีอาวุธปืนนั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่มีอยู่ พยานหลักฐานโจทก์ฟังเป็นที่แน่ชัดว่า จำเลยยิงนายธีรฉัตร ทางด้านหลัง และยิงขณะวิ่งหลบหนีจำเลย ข้อสำคัญผิดของจำเลยจึงเป็นเรื่องเลื่อนลอยรับฟังไม่ได้ พฤติกรรมการยิงผู้อื่นด้วยอาวุธปืนที่มีอานุภาพร้ายแรงเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงการเจตนาฆ่า แยกออกได้ต่างหากจากกระทำโดยเจตนาชิงทรัพย์
ถือได้ว่า มีเจตนาพิเศษเพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อความสะดวกในการกระทำความผิดอย่างอื่น ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดจากการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์และหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ การกระทำของจำเลยจึงความผิดหลายกรรมต่างกันตามฟ้อง และพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงโดยไม่ต้องอาศัยการนำชี้ของจำเลย คำสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และชั้นพิจารณาไม่ได้ให้ความรู้แก่ศาล อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา คำรับสารภาพของจำเลย เนื่องจากจำนนต่อหลักฐาน พฤติกรรมและการกระทำของจำเลยเป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมอย่างยิ่ง คุณงามความดีและการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนบางส่วนไม่อาจเยียวยาผลร้ายอันเกิดจากการกระทำของจำเลยได้ จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษตามกฎหมาย ข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาว่าจำเลยมีความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (6) ประกอบมาตรา 60, 289 (6) ประกอบมาตรา 80, 289 (7), 339 วรรคสอง วรรคสี่ และวรรคท้ายประกอบ มาตรา 340 ตรี, 371, 376 , พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490, พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่างกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือน, ฐานมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครอง จำคุก 6 เดือน, ฐานพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้าน โดยไม่มีเหตุสมควร จำคุก 3 ปี, ฐานฆ่าผู้อื่นฯ ให้ประหารชีวิต, ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิต, ฐานชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยมีและใช้อาวุธปืน และโดยใช้ยานพาหนะ ให้ประหารชีวิต และปรับ 1000 บาท ฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลย และปรับ 1,000 บาท ริบของกลางที่ใช้กระทำผิด พร้อมกันนี้ ศาลได้สั่งให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องที่1 1.8 แสนบาท, ผู้ร้องที่ 2 จำนวน 9.9 หมื่นบาท, ผู้ร้องที่ 3 จำนวน 1.3 แสนบาท, ผู้ร้องที่ 4 จำนวน 2.2 ล้านบาท, ผู้ร้องที่ 5 จำนวน 7.5 แสนบาท, ผู้ร้องที่ 6-7-8 จำนวน 2.25 ล้านบาท, ผู้ร้องที่ 9-10 จำนวน 7.5 แสนบาท
หลังฟังคำพิพากษา มารดาของนายประสิทธิชัย จำเลย ถึงกับร้องไห้ซบบิดาจำเลย ส่วนจำเลยลุกขึ้นไปก้มกราบผู้เสียหายทีละคน พร้อมพูดว่า ขอโทษครับ ผู้เสียหายได้รับไหว้ โดยจำเลยมีนัยน์ตาแดงกล่ำ และกล่าวว่า เสียใจกับสิ่งที่ทำไปและยอมรับในโทษที่ได้รับ
ส่วนบรรยากาศระหว่างฟังคำพิพากษา ญาติผู้เสียชีวิตต่างรู้สึกสะเทือนใจ และร่ำไห้ออกมา ขณะที่ญาตินายประสิทธิชัย คือ บิดามารดา และอดีตภรรยา ก็นั่งร้องไห้สะอื้นเมื่อศาลอ่านคำพิพากษาประหารชีวิต ส่วนนายประสิทธิชัยก็มีสีหน้าหม่นหมอง และหันไปมองกลุ่มญาติที่ร้องไห้บ่อยครั้ง
ด้านบิดามารดาของ ด.ช.ภาณุวิชญ์ วงศ์อยู่ หรือ น้องไตตั้น วัย 2 ขวบที่เสียชีวิต กล่าวว่า คำตัดสินวันนี้ถือว่า คืนความเป็นธรรมให้กับบุตรชายแล้ว ส่วนตัวก็ไม่ติดใจกับจำเลย แต่ยอมรับว่ายังคิดถึงลูกชายอยู่ทุกวัน ยังทำใจไม่ได้ที่จะเข้าไปใช้บริการห้างที่เกิดเหตุอีก
3.ศาลพิพากษาจำคุก “เทพไท-น้องชาย” 2 ปี ตัดสิทธิฯ 10 ปี คดีทุจริตเลือกตั้งนายก อบจ.นครศรีธรรมราช!
เมื่อวันที่ 28 ส.ค. ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชได้อ่านคำพิพากษาคดีที่นายพิชัย บุณยเกียรติ อดีตนายก อบจ.นครศรีธรรมราช เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายมาโนช เสนพงศ์ เป็นจำเลยที่ 1 และนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันกระทำความผิดทุจริตการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อปี 2557 ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 โดยศาลพิพากษาจำคุกนายเทพไท และนายมาโนช น้องชาย 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้เพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 10 ปี
สำหรับคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้พิจารณาพิพากษาเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งนายมาโนช จำเลยที่ 1 แล้ว หลังจากนั้น กกต.ได้มีมติให้ดำเนินคดีอาญากับนายมาโนช และนายเทพไท แต่คดีค้างอยู่ในกระบวนการชั้นพนักงานสอบสวน และชั้นอัยการนานหลายปี ยังไม่ได้มีการสั่งฟ้องเข้าสู่การพิจารณา จนกระทั่งนายพิชัย บุณยเกียรติ อดีตนายก อบจ.นครศรีธรรมราช เห็นว่ามีความล่าช้า ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดีและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จึงตัดสินใจในฐานะผู้เสียหาย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วยตนเอง ศาลไต่สวนมูลฟ้องและประทับรับฟ้อง ก่อนที่จะมีกระบวนการพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยมารวม 3 นัด กระทั่งมีการนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา
หลังฟังคำพิพากษา นายเทพไทและนายมาโนชได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี ด้านศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ทั้งสองประกันตัว โดยตีราคาประกันคนละ 2 แสนบาท
ทั้งนี้ ในเวลาต่อมา นายเทพไท ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กโดยระบุว่า ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้แสดงความห่วงใย และให้กำลังใจตนและนายมาโนชในคดีความที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นคดีความที่เกิดจากมูลเหตุการแข่งขันทางการเมืองในระดับท้องถิ่น ที่มีการแข่งขันตามปกติของการเลือกตั้ง เมื่อเกิดคดีความฟ้องร้องกัน ก็ต้องต่อสู้ตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมต่อไป
นายเทพไท ระบุด้วยว่า จากกรณีที่เกิดขึ้น ตนขอชี้แจงแสดงจุดยืน ดังนี้ 1.ตนเคารพในคำพิพากษาของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช 2.ตนขอยืนยันในความบริสุทธิ์ มั่นใจว่าไม่ได้กระทำผิดแต่อย่างใด 3.ตนจะขอต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม พร้อมจะยื่นต่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ต่อไป 4.ตนจะมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครศรีธรรมราช รับใช้พี่น้องชาวเขต 3 (อ.พระพรหม, เฉลิมพระเกียรติ, จุฬาภรณ์, ชะอวด) อย่างเข้มแข็งเหมือนเดิม 5.ตนขอยืนหยัดในอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และอุดมการณ์ประชาธิปไตย จะต่อสู้ให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และ 6.ตนยังมีภารกิจต้องติดตามผลักดันให้สำเร็จตามที่ได้เริ่มต้นไว้ คือ การปลดล็อคพืชกระท่อม การตั้งค่าตอบแทนให้ อสม.เดือนละ 1,500 บาทในทุกปีงบประมาณ และงานพัฒนาในพื้นที่อีกหลายโครงการ อย่างไรก็ตาม ตนยังมีกำลังใจเต็มร้อย จะไม่ย่อท้อในการทำหน้าที่รับใช้ประชาชน และประเทศชาติต่อไป
4.องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษาจำคุก "นาที รัชกิจประการ" 1 เดือน-รอลงอาญา 1 ปี ยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ ส่งผลพ้น ส.ส.!
เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อ่านคำพิพากษาองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร้องว่า นางนาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ช่วงเข้ารับและพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย เมื่อปี 2556 วงเงิน 93 ล้านบาท
ซึ่งคดีดังกล่าว ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2562 ศาลฎีกาฯ ได้พิพากษาจำคุกนางนาที 1 เดือน ปรับ 4,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี และตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี นับแต่วันพ้นจากตำแหน่ง หลังจากนั้น นางนาทีอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีการับคำร้อง และแต่งตั้งองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์คดีดังกล่าว
กระทั่งเมื่อวันที่ 27 ส.ค. ศาลฎีกาฯ ได้อ่านคำพิพากษาองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ โดยองค์คณะฯ พิพากษาแก้ว่า นางนาทีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ เฉพาะกรณีพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.เมื่อปี 2556 ตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ.2542 มาตรา 32, 33 และมาตรา 34 วรรคสอง นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีคำขอท้ายคำร้องขอให้ลงโทษนางนาที ตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ.2561 (ฉบับใหม่) มาตรา 81, 167 แม้ขณะยื่นคำร้องมีการยกเลิก พ.ร.บ. ป.ป.ช. พ.ศ.2542 (ฉบับเดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิด แต่ พ.ร.บ. ป.ป.ช. ฉบับใหม่ กำหนดให้การจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ยังคงเป็นความผิดอยู่เช่นเดิม จึงเป็นกรณีกฎหมายบัญญัติภายหลังไม่แตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำผิด กรณีจึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ขณะกระทำผิดมาบังคับแก่คดีนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคหนึ่ง อันเป็นการปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ทรัพย์สินและหนี้สินของนางนาที ไม่แสดงในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. กรณีพ้นจากตำแหน่ง เป็นที่ดิน 2 แปลง สิ่งปลูกสร้าง 2 หลัง มูลค่ารวม 2 ล้านบาท และหนี้สินของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ (คู่สมรสนางนาที ปัจจุบันเป็น รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา) รวม 93,039,949 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินจำนวนมาก ที่นางนาทีชี้แจงต่อ ป.ป.ช. ว่า ไม่ทราบถึงการทำธุรกรรมของคู่สมรส (นายพิพัฒน์) และเป็นความผิดพลาดของเลขานุการนั้น แสดงให้เห็นว่า นางนาทีไม่ตระหนักถึงหน้าที่ที่ตนเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพึงต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ทำให้กลไกการตรวจสอบการทุจริตและประพฤติมิชอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ไม่เปิดประสิทธิผลต่อการตรวจสอบ ข้อแก้ตัวตามอุทธรณ์ของนางนาที เป็นข้อที่ง่ายต่อการกล่าวอ้างเพื่อให้ตนเองพ้นผิด จึงฟังไม่ขึ้น
องค์คณะฯ เห็นว่า ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองลงโทษจำคุก และปรับนางนาที โดยโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี เหมาะสมแก่พฤติการณ์การกระทำความผิดของผู้ถูกกล่าวหาแล้ว องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของนางนาทีข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนกรณีเข้ารับตำแหน่งขาดอายุความทางอาญาแล้ว จึงไม่มีอำนาจนำมาตรการจำกัดสิทธิทางการเมืองมาใช้บังคับแก่กรณีนี้ได้ จึงแก้ไขให้ถูกต้อง
5.ทร.แจงเหตุจำเป็นต้องซื้อเรือดำน้ำ สวน พท. ยันจัดซื้อจีทูจีจริง ไม่เก๊เหมือนจำนำข้าว ด้าน "บิ๊กตู่" เตรียมแผนสำรอง หากงบเรือดำน้ำสะดุด!
เมื่อวันที่ 24 ส.ค. ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ (ทร.) พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้มอบหมายให้ พล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ นำทีมผู้เกี่ยวข้อง เปิดแถลงข่าวเหตุผลความจำเป็นในการจัดหาเรือดำน้ำ หลังหลายฝ่ายเห็นว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำในช่วงนี้ไม่น่าจะเหมาะสม ขณะที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะอนุ กมธ.ครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในฐานะคณะอนุ กมธ.ฯ ได้ออกมาอ้างทำนองว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีนของ ทร.ไม่ใช่สัญญาจีทูจีจริง
ทั้งนี้ พล.ร.อ.สิทธิพร ชี้แจงว่า หลังจาก ทร.ได้เข้าชี้แจงงบประมาณต่อคณะอนุ กมธ.ครุภัณฑ์ฯ และมีคณะอนุฯ บางคนนำข้อมูลมาแถลง แต่เป็นข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน อาจเป็นการหวังผลทางการเมืองที่จะกระทบต่อรัฐบาล จึงขอชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ พร้อมยืนยันว่า ทร.จัดหาเรือดำน้ำตามยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ แต่มักถูกโยงเป็นประเด็นทางการเมือง
พล.ร.อ.สิทธิพร กล่าวอีกว่า การจัดหาเรือดำน้ำลำแรกที่ดำเนินการโดยจีทูจีหรือรัฐบาลกับรัฐบาลเมื่อปี 2560 โดยจะเข้าประจำการในปี 2566 และว่า แม้ขณะนี้จะยังไม่เห็นสงครามโลก แต่มีความขัดแย้งในน่านน้ำ อีกทั้งสหรัฐฯ ส่งเรือรบเข้าไปในทะเลจีนใต้มากขึ้น หากไม่มีกำลังที่เข้มแข็งพอ ผลประโยชน์ของชาติย่อมกระทบแน่นอน แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ในทะเลจีนใต้จะไม่มีเหตุการณ์ปะทะนองเลือด และอย่าลืมว่า จัดซื้อวันนี้ อีก 6 ปี จึงจะได้เรือดำน้ำ ยืนยันว่า ทร.จัดซื้อเรือดำน้ำลำที่2-3 ราคา 22,500 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.093 เท่านั้น เมื่อเทียบผลประโยชน์ของชาติทางทะเลที่มีมูลค่า 24 ล้านล้านบาท
พล.ร.อ.สิทธิพร กล่าวต่อไปว่า งบประมาณการจัดซื้อเป็นการทยอยจ่าย 7 ปี ตั้งแต่ปี 2560-2566 เป็นการจัดหาต่อเนื่องเพื่อให้ครบ 3 ลำ ไม่ใช่โครงการผูกพันงบประมาณที่เริ่มใหม่ในปี 2564 นี้ แต่เป็นโครงการในการเสริมสร้างกำลังของกองทัพที่เริ่มตั้งแต่ปี 2563-2569 เป็นการทยอยตั้งงบประมาณรายปีภายในงบประมาณที่ ทร.ได้รับตามปกติ ตามกำหนดที่ต้องชำระใน 7 งวดที่ตั้งไว้ในตอนแรก แต่เนื่องจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาลได้ให้หน่วยงานราชการโอนงบประมาณคืนไปใช้สำหรับการแก้ปัญหา ทร.เห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงได้ตัดลดงบประมาณที่ได้ตั้งเอาไว้ในปีงบประมาณ 2563 และจ่ายงวดแรกในวงเงินงบประมาณของปี 2564 แทน และไปจบงวดสุดท้ายในปี 2570 โดยยึดความประหยัดและความคุ้มค่า ตระหนักถึงคุณค่าของเงินทุกบาทของประเทศชาติ
ทั้งนี้ ทร.เตรียมลงนามในสัญญาจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ในเดือน ก.ย.นี้ อีกทั้งร่างข้อตกลงการจัดซื้อ ได้ให้สำนักงานอัยการสูงสุดและกระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบแล้ว หากที่ประชุม กมธ.งบฯ วันที่ 26 ส.ค.มีมติไม่อนุมัติงบจัดซื้อเรือดำน้ำงวดแรก ทร.จะต้องส่งงบดังกล่าวคืนให้สำนักงบประมาณต่อไป
ด้าน พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รอง เสธ.ทร.ในฐานะโฆษก ทร.กล่าวถึงกรณีที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ออกมาวิจารณ์ ทร.และอ้างว่าการจัดซื้อเรือดำน้ำไม่ถูกต้องว่า เป็นการพูดบิดเบือนข้อเท็จจริง นำมาซึ่งความแตกแยกและนำมาเป็นประเด็นเคลื่อนไหวทางการเมือง และว่า ที่กล่าวหาว่า การจัดซื้อเรือดำน้ำของ ทร.เป็นสัญญาเก๊ ก็ไม่เป็นความจริง เรื่องจำนำข้าวที่พรรค พท.ทำต่างหากที่เป็นจีทูจีเก๊ ขอสังคมอย่าตกเป็นเหยื่อทางการเมือง “ถ้านักการเมืองหมดมุกแล้ว ก็หามุกอื่น อย่าสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ ทร.เลย อย่าให้สังคมตกเป็นเครื่องมือการเมืองในวิถีเก่าๆ แบบนี้อีกเลย อย่าดึงประชาชนมาเกลียดชัง ทร”
เมื่อถามว่า หากคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 2564 มีมติไม่เห็นชอบการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2-3 จะได้รับผลกระทบอย่างไร พล.ร.ต.อรรถพล เพชรฉาย ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ กล่าวว่า หากไม่สามารถซื้อด้ในปี 64 ไม่มีค่าปรับอะไร แต่เกรงว่าจะเกิดปัญหาเรื่องราคาที่อาจจะสูงขึ้นมาก ตลอดจนผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือในเชิงพาณิชย์ที่ไทยจะได้แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับจีน
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะ กมธ.วิสามัญฯ เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ได้มีมติเลื่อนการพิจารณางบประมาณในส่วนของอนุ กมธ.ครุภัณฑ์ฯ ซึ่งมีงบฯ ในการจัดซื้อเรือดำน้ำรวมอยู่ด้วยออกไปก่อน เพื่อให้เกิดความรอบคอบ ก่อนนำเข้าที่ประชุม กมธ.งบประมาณฯ คณะใหญ่เพื่อหาทางออกร่วมกันอีกครั้ง
วันต่อมา (27 ส.ค.) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะ กมธ.วิสามัญฯ เผยว่า กมธ.ได้ข้อสรุปให้เรียกคณะอนุ กมธ.ครุภัณฑ์ฯ เข้ารายงานผลการพิจารณาจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ ตามที่ ทร.เสนอในวันที่ 31 ส.ค.นี้ โดยเบื้องต้นยังไม่มีการเชิญ ทร.มาร่วมพิจารณาด้วย หากคำชี้แจงของอนุ กมธ.ฯ ไม่ครบถ้วนรอบด้าน จึงจะมีการเชิญ ทร.มา ในฐานะหน่วยรับงบฯ มาชี้แจงต่อ กมธ.งบฯ คณะใหญ่อีกครั้งในวันที่ 1 ก.ย. โดยมั่นใจว่า การพิจารณางบฯ จะเสร็จทันภายในระยะเวลา 105 วันตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดแน่นอน
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีคณะ กมธ.วิสามัญฯ เลื่อนพิจารณางบจัดซื้อเรือดำน้ำว่า ต้องรอดูมติในวันที่ 31 ส.ค. รัฐบาลและตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เตรียมที่จะแก้ไขปัญหา ขอให้เดินทีละขั้นตอน “ผมได้เคยพูดไปแล้ว และไม่เคยบอกว่าต้อง แต่ไปพาดหัวข่าวกันว่าต้องซื้อ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ได้พูดถึงเหตุผลความจำเป็น และแหล่งที่มาของงบประมาณ ถ้าซื้อไม่ได้ จะต้องเจรจากับจีนอย่างไร ผมก็ได้เตรียมแผนงานของผมไว้อย่างนี้ ไม่อยากให้เป็นประเด็นที่ขัดแย้งกันอีก ถ้าขัดแย้งกันทุกเรื่อง มันก็ไปไม่ได้หมดทุกอย่าง”