นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี ออกมาโพสต์ข้อความเผย 7 เหตุผลที่ประเทศไทยจำเป็นต้องมีเรือดำน้ำ ระบุประเทศเล็กๆ บางประเทศมีถึง 12 ลำ ย้ำไม่ต้องห่วงเรื่องเงินเพราะอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณที่ตั้งประมาณการไว้นานแล้ว
วันนี้ (26 ส.ค.) นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความพร้อมรูปผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Paisal Puechmongkol” แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดซื้อเรือดำน้ำมูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้าน โดยได้ระบุข้อความว่า
“ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดซื้อเรือดำน้ำ 3 ลำ
1. ผมตั้งตัวเป็นผู้คัดค้านการจัดซื้อเรือดำน้ำ 3 ลำมาตั้งแต่ 30 ปีก่อนแล้ว เพราะขณะนั้นไม่มีประเทศใดในย่านนี้ที่มีเรือดำน้ำเลย และศักยภาพของกองทัพเรือในขณะนั้นก็เพียงพอที่จะดูแลอธิปไตยของชาติได้
2. ในระยะ 7 ปีมานี้ ประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ได้จัดหาเรือดำน้ำเข้าประจำการกันโดยทั่วไป เพื่อดูแลผลประโยชน์ทางทะเลและอธิปไตยของชาติ ประเทศเล็กๆ บางประเทศมีถึง 12 ลำ แม้ว่าเราจะเป็นมิตรประเทศกัน แต่ในเรื่องอธิปไตยและผลประโยชน์แห่งชาตินั้น ย่อมจำเป็นที่จะต้องพิทักษ์รักษา ให้มีความมั่นใจ จึงเป็นเหตุความจำเป็นที่ต้องมีเรือดำน้ำ มิฉะนั้นแล้วกองเรือผิวน้ำก็จะตกอยู่ในอันตรายด้วย
3. เรือดำน้ำนั้นต้องมีอย่างน้อย 3 ลำ เพราะสองฝั่งทะเลของประเทศไทยยาวเหยียด การพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ ด้านอ่าวไทยและแปซิฟิกก็สำคัญ ทางด้านมหาสมุทรอินเดียก็สำคัญ จึงต้องมีเรืออย่างน้อยด้านละ1 ลำ และต้องมีสำรองไว้อีก 1 ลำ เพราะเรือแต่ละลำนั้น สามารถปฏิบัติภารกิจใต้น้ำได้ 25 วัน ต้องเข้าฝั่ง และต้องส่งเรือสำรอง ไปปฏิบัติภารกิจแทนสลับกันไป นี่คือความจำเป็นที่ต้องมี 3 ลำเป็นอย่างน้อย 4 รัฐบาลทุกยุคทุกสมัย ในระยะ 10 ปีมานี้ล้วนเห็นชอบในแผนการจัดหาเรือดำน้ำ 3 ลำ และเมื่อมีความพร้อมและจำเป็นขั้นสูง รัฐบาลและรัฐสภาในปีที่แล้วก็ได้อนุมัติโครงการนี้โดยจัดซื้อลำแรกก่อน ซึ่งต้องชำระเงินปีละประมาณ 3,000 ล้านบาท มาปีนี้จึงดำเนินการต่อ จัดหาลำที่ 2 และที่ 3 เพื่อให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งจะใช้งบประมาณปี 64 เพียงประมาณ 3,000 ล้านบาทเท่านั้น
4. การจัดซื้อเรือดำน้ำลำแรกเหมือนกับการซื้อรองเท้าก่อน 1 ข้าง มาปีนี้จึงตั้งงบซื้อข้างที่ 2 และสำรองอีกข้างหนึ่งจึงจะใช้ได้ ทุกพรรคการเมืองในปัจจุบันนี้เมื่อปีที่แล้วก็เห็นชอบเรื่องนี้เกือบเป็นเอกฉันท์ มาปีนี้ถ้าหากไม่เห็นชอบก็เท่ากับให้ใช้รองเท้าข้างเดียว ก็จะสูญเสียเงินเปล่าและใช้การไม่ได้ ที่สำคัญคืออธิปไตยและผลประโยชน์แห่งชาตินั้นเสี่ยงไม่ได้
5. รายละเอียดเกี่ยวกับสมรรถนะของเรือดำน้ำทั้ง 3 ลำนี้ เท่าที่ดูจากการเปิดเผยข้อมูลก็เห็นใจฝ่ายทหาร เพราะมีความจำเป็นที่ไม่อาจเปิดเผยในรายละเอียดได้ แต่ผมยืนยันได้ว่าเรือดำน้ำทั้ง 3 ลำนี้สมรรถนะไม่เบา แม้มีรัศมีปฏิบัติการทางด้านแปซิฟิกถึงทะเลจีนใต้ ฝั่งมหาสมุทรอินเดียถึงย่านศรีลังกา แต่รัศมีทำการของขีปนาวุธและตอร์ปิโดนั้น ไม่ได้อยู่แค่นั้นนะครับ!!! อาจจะมีรัศมีทำการถึง 5,000 ไมล์ก็ได้ ใครจะล่วงรู้แต่ยืนยันได้เลยว่าสมรรถนะไม่ด้อยกว่าใครเลยในภูมิภาคนี้
6. ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินที่ต้องใช้เพราะปี 2564 ใช้เพียงแค่ 3 พันล้านบาท และอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณที่ตั้งประมาณการไว้ตั้งนานแล้ว และที่สำคัญน้อยกว่ามีประโยชน์กว่าเงินที่ไปล้างผลาญซื้อเครื่องพ่นยาฆ่าไวรัสนับหมื่นล้านบาทโดยไม่เข้าท่ามากมายนัก
สำหรับราคาเรือ 3 ลำนี้ ผมยืนยันได้ว่า ราคาถูกมากเกือบจะเหมือนได้เปล่า จนกล่าวได้ว่าซื้อ 3 ลำรวมกันราคายังไม่เท่ากับซื้อจากบางประทศแค่ลำเดียวเท่านั้น ข้อสำคัญอยากจะบอกให้ทราบว่า ราคาเรือ 3 ลำนี้ที่ลดราคามากมายเหมือนได้เปล่านั้น เกิดจากการตัดสินใจของท่านประธานสี จิ้นผิง โดยตรง โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ไทยจีนนั่นเอง!!!! ลองนึกย้อนก็คงจำภาพครั้งท่านผู้บัญชาการทหารเรือ ไปร่วมฉลองวันกองทัพเรือจีน แล้วประธานสี จิ้นผิง ให้เกียรติจัดให้ยืนแถวหน้าสุด ในขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมของหลายประเทศยืนอยู่แถวที่ 2 ด้วยซ้ำไป และท่านประธานสีเดินกุมมือท่านผู้บัญชาการทหารเรือไม่ปล่อยก็จะเข้าใจได้ว่านั่นเพราะอะไร?*** มีความลึกซึ้งขนาดไหน****
จึงไม่ต้องห่วงว่าจะมีเงินใต้โต๊ะบนโต๊ะในเรื่องนี้!!!! ผมนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างนี้แหละ และเชื่อว่าสมาชิกรัฐสภา ย่อมทราบและเข้าใจในเรื่องนี้ ทั้งเห็นความจำเป็นในการพิทักษ์รักษาอธิปไตยและผลประโยชน์แห่งชาติอย่างแน่นอน เราอาจจะเห็นต่างกันบ้าง ทะเลาะกันบ้างแต่ก็ยังเป็นคนไทยด้วยกัน แต่เรื่องผลประโยชน์แห่งชาติและอธิปไตยนั้น ควรจะมีความคิดเห็นที่ยึดถือชาติบ้านเมืองเป็นหลัก ไม่ใช่เล่นการเมืองเป็นหลักครับ