“เสี่ยเฮ้ง” หรือ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในรัฐบาลประยุทธ์2/2 ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งเสนาบดีครั้งนี้ มิได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วยหรือใช้เส้นทางลัดเฉกเช่นนักการเมืองคนอื่น ๆ เพราะตลอดเวลาของการก้าวย่างทั้งงานการเมืองและเส้นทางดำเนินชีวิต หรือดำเนินธุรกิจ เรียกว่า “เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน “ และสามารถยืดอกอธิบายต่อสังคมได้ทุกประเด็น
“รมต.เฮ้ง” ยึดหลักดำเนินชีวิตคือ “กตัญญูรู้คุณ” และ “ความเสียสละ” จึงเปรียบเป็นลมใต้ปีก ที่ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นนักการเมืองแถวหน้าด้วยตำแหน่งรัฐมนตรี ในวัยเพียง 46 ปีเท่านั้น โดยนายสุชาติ เกิดวันที่ 15 กรกฎาคม 2517 ทุกๆ ปี จะมีเพื่อนพ้องน้องพี่และผู้นำท้องถิ่นท้องที่ ประชาชนชาวชลบุรี มืดฟ้ามัวดินหลั่งไหลกันไปอวยพรวันคล้ายวันเกิด ยกเว้นปีนี้ที่มีเหตุระบาดโควิด-19 จึงต้องงดจัดงานเพื่อสุขอนามัยของพี่น้องประชาชน ที่จะมาร่วมงานและเพื่อเป็นแบบอย่างแก่ส่วนรวม ในการเว้นระยะห่างของสังคมในเวลานี้
ในวัยเยาว์ ถือว่าสะสมประสบการณ์ชีวิตมาเพียบ เพราะเป็นเพียงเด็กโรงเรียนวัด เรียนอยู่ โรงเรียนวัดกลางดอน ใกล้ๆตลาดหนองมน และเป็น “นักกีฬาฟุตบอล” เยาวชนของสโมสรโอสถสภา ได้เบี้ยซ้อมวันละ 120 บาท เบี้ยเลี้ยงแข่งวันละ 240 บาท
ขณะที่ในเวลาว่างช่วงปิดเทอม ก็ไม่ได้โชคดีเช่นคนอื่นๆ ต้องช่วยผู้ปกครองทำงาน ทั้ง“คุณพ่อ” อาชีพรับจ้าง-จับกัง และ“คุณแม่” ที่มีอาชีพ “แม่ค้าขายขนมครก” อยู่หน้าตลาดหนองมน จังหวัดชลบุรี
เจ้าตัวเปิดเผยว่า สมัยเด็กๆ ลำบากมาก คุณพ่อต้องไปทำงานเป็นกรรมกรก่อสร้างที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ผมต้องอยู่กับคุณแม่ พี่สาว น้องสาว ครอบครัวลำบาก คุณพ่อผมต้องส่งเงินเดือนจากต่างประเทศมาเป็นค่าเล่าเรียนของผมกับพี่สาวน้องสาว คุณแม่ก็ทำขนมขายเพื่อมีค่ากับข้าวกินกันสันต่อวัน อยากกินทุเรียนนานๆจะได้กิน เวลากินก็ต้องนับเม็ดกันว่ากินกันได้คนละเม็ดก่อน ให้ครบคนก่อน เหลือค่อยว่ากัน ทีวีที่บ้านไม่มี อยากดูหนังต้องไปยืนดูหน้าบ้านคนอื่น หรือดูที่ร้านค้าชุมชน อยากมีแบบเพื่อนก็ไม่สามารถมีได้เพราะว่า เงินที่คุณพ่อส่งมาให้จากประเทศซาอุดีอาระเบีย ก็ได้แค่ค่าเล่าเรียน ค่ากินค่าใช้ในบ้าน แต่การเป็นนักกีฬาฟุตบอลในวัยเด็ก ก็ได้ประโยชน์จากการเอากีฬามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงในเรื่อง ความอดทน ต้องสู้ ต้องวางแผน
ต่อมาโตขึ้น เรียนจบ ปวส บัญชี ได้ทำงานเป็นเซลส์ขายบ้าน 1 ปี เป็นพนักงานธนาคาร 1ปี ชีวิตอยากต่อสู้คิดว่าอยู่กับแบงค์ชีวิตก็อยู่ได้ไปวันๆ ไปเดือนๆ จะซื้อรถซื้อบ้าน จะเอาตรงไหนมาผ่อน เลยไปต่อสู้ชีวิตที่ท่าเรือแหลมฉบังดีกว่า ทำงานที่ท่าเรือ ครั้งแรกที่บริษัท แอลซีบี วัน เป็นพนักงานฝ่ายบุคคล มีหน้าที่เก็บบัตรตอก เช็คขาดลา มาสายของพนักงานในบริษัท ชีวิตพลิกผัน เมื่อ ผู้จัดการ แผนก ชวนไปขับรถส่วนตัวท่าน ซึ่งท่านไปเป็น ผู้รับเหมาขนถ่ายน้ำตาลที่ท่าอ่าวไทยคลังสินค้า ท่านก็แบ่งงาน ให้ผมเป็นซัพคอนแทรค รับงานต่อจากท่าน บางครั้งงานต้องเร่งเพื่อให้ทันเวลาเรือจะออก คนงานไม่พอก็ต้องลงไปในเรือไปช่วยคนงานแบกน้ำตาลด้วย ผ่านงานกรรมกรแบกน้ำตาล-ข้าวสาร และรับเหมาเป็นกุลีที่ท่าเรือแหลมฉบังและเกาะสีชังอยู่ 7 ปี
เริ่มเรียนรู้ว่าโลกของการขนส่งเริ่มเปลี่ยนแปลงจึงคิดเยอะว่าจะทำอาชีพอะไรดี หยิบหนังสือ 50 เจ้าสัว มานั่งอ่าน วิเคราะห์แล้วว่า อาชีพที่เราควรจะทำคือ ทำบ้านขายดีกว่า เพราะว่าเราขายความคิด ขายทำเล เพราะว่าอาชีพ อื่นๆในหนังสือเล่มนี้ เราไม่มีความสามารถแน่นอน เช่น เราจะสามารถทำเบียร์ ทำเหล้าได้อย่างไร เพราะเราไม่มีทุน ไม่มีสูตร ผมจึงเลือกที่จะทำอาชีพ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ดีกว่า ถามว่ากลัวมั้ยว่าจะทำแล้วขายได้มั้ย ผมบอกเลยไม่กลัวเพราะว่าเคยเป็นเซลส์ขายบ้านมาก่อนตอนจบใหม่ๆ เคยเป็นพนักงานขายบ้านเงินเดือน5 พันกว่าบาท ขายให้บริษัทไปตั้งเยอะแยะ ทำไมของเราเองจะขายไม่ได้
ชีวิตจริงๆของผมเป็นคนคิดบวกตลอดเวลา ถ้าคิดลบเมื่อไหร่ ชีวิตจริงไม่มีทางสำเร็จแน่นอน ผมทำบ้านขายปี2549 ที่จำได้เพราะลูกชายคนแรกคลอด ลำบากอดทน ในใจคิดอย่างเดียวว่าพลาดไม่ได้ เพราะว่ามีคนข้างหลังเพิ่มขึ้นนอกจากภรรยาแล้วมีลูกชายคนแรกแล้ว ชีวิตพลาดไม่ได้ ทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มี สมองความสามารถทั้งหมดที่มี ทำมาเรื่อยๆ ขยับขยายไปจนผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ในชลบุรี วันนึงมีลูกชายคนที่2 ยิ่งต้องคิดถึงอนาคตความมั่นคงของธุรกิจของการแข่งขันในอนาคต จึงนำพาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้ทุกอย่างอยู่บนความถูกต้อง
เรา เป็นส.ส.ของประชาชน เราต้องทำให้ประชาชนเชื่อมั่น เชื่อใจ เราถึงทำธุรกิจอยู่บนความถูกต้อง เสียภาษีถูกต้อง อยู่ในหลักธรรมมาธิบาล แล้วระหว่างนั้น ก็เริ่มเรียนต่อ ปริญญาตรี กระทั่งเรียนจบจากคณะศิลปศาสตรบัณฑิต (สาขาการจัดการ) จากมหาวิทยาลัยเกริก และเป็น ซีอีโอ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ในนามบริษัท อรินสิริแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ ARIN เจ้าตลาดอสังหาริมทรัพย์โซนชลบุรี และระยอง ซึ่งเขาและครอบครัวดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2549 ทำกำไรไตรมาส ละ 50-100 ล้านบาท
“ชีวิตก็เหมือนละคร เหมือนนิยาย พ่อเป็นกรรมกร แม่ขายขนมครก ใครจะคิดว่าจะมาเป็น ส.ส. มาถึงวันนี้ไม่คิดอะไร กำไรเท่าไหร่แล้ว ให้ชีวิตมีความสุขเข้าไว้ ทุกวันนี้แม่ผมเดินไปตลาด มีแต่คนยกมือไหว้หมด เพราะไม่เคยคดโกงใคร เป็นครอบครัวที่อบอุ่น ถึงจะจน แต่มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ” “ สุชาติ ชมกลิ่น ในฐานะ รมว.แรงงาน ” ย้อนความทรงจำในวัยเยาว์ ที่ทำให้เห็นภาพเข้าใจหัวอกคนยากคนจน และวันที่เป็น เจ้าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้เห็นมุมมองทั้ง ชีวิตจริงของคนทำงานแรงงาน และชีวิตจริงของผู้ประกอบการ เจ้าของกิจการ เป็นอย่างดีกว่าใครๆ
จากนั้นชีวิตหันเห สู่เส้นทางการเมือง พร้อมเรียนรู้วิทยายุทธ์ต่างๆจาก "กำนันเป๊าะ" สมชาย คุณปลื้ม
โดยเริ่มชิมลางลงสนามการเมืองท้องถิ่นเมื่ออายุ 26 เป็น “ส.ท แสนสุข” และ “หักปากกาเซียน” ขึ้นชั้นใหญ่ขึ้นแถมย้ายตำบลไปเป็น “ส.จ.อ่างศิลา” ได้เป็นผลสำเร็จ
ระหว่างที่กำนันเป๊าะ ไม่อยู่เมืองไทยแล้ว ด้วยการทำงานแบบ ติดดิน - ใจถึง- คำไหนคำนั้น - ทำงานได้ทุกรูปแบบ และที่สำคัญเป็นคนรวยเพื่อน เหมือนสโลแกน เพื่อนกันสำคัญเสมอ ที่คนเมืองชลรับรู้สัมผัสได้
ก่อนเลื่อนชั้นขึ้นมาสู่การเมืองระดับชาติเป็น ส.ส.สมัยแรกปี 54 สีเสื้อพรรคพลังชล ลงสมัคร ส.ส. ปี57 ได้ชนะการเลือกตั้ง แต่เกิดวิกฤติการเมืองการเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ ทั้งประเทศ
ก่อนย้ายมาอยู่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้เป็น ส.ส.สมัยที่ 2 ในปี 62 โดย ส.ส.เฮ้ง แจ้งทรัพย์สินรวมคู่สมรส (วิมลจิต อรินทมะพงษ์ เจ้าของธุรกิจร้านทอง 99 กะรัต) ทั้งสิ้น 967,941,123 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 106,835,305 บาท มีรายได้รวม 5,918,000 บาท มีรายจ่ายรวม 3.6 ล้านบาท
ไม่เพียงแค่ตัวเองที่คว้าชัยในสนามเลือกตั้งเท่านั้น “สุชาติ” ยังพาเพื่อน ส.ส.ชลบุรีเข้ามาเพิ่มอีก 2 คน และได้ ส.ส.ภาคกลางเติมแต้มให้พปชร. แม้ช่วงจัดตั้งรัฐบาลมีกระแสข่าวได้เป็นรัฐมนตรีว่าการแรงงานมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เกิดปัญหาแย่งชิงตำแหน่งจากพรรคร่วมทำท่าจะลากยาวเป็นหนังชีวิต “เขา” ก็ยอมเสียสละไม่รับตำแหน่งและยอมให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จัดตั้งได้สำเร็จ และประเทศเดินหน้าไปได้ โดยมีสัญญาใจจากผู้ใหญ่ที่นับถือว่า ในการปรับครม. ประยุทธ์ 2/2 จะได้ขึ้นมาทำงานระดับชาติอย่างแน่นอน
ด้วยความ “ความเสียสละ” ถือเป็นคุณสมบัติของนักเลง ที่ต้องยอมกลืนเลือดได้ ถือว่าเข้าตาและได้ใจ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หรือผู้มีบารมีเหนือพรรคพปชร.ในขณะนั้นเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นก็ได้มอบหมายภารกิจสำคัญ คือประธานส.ส.พปชร. เพื่อดูแลงานฝ่ายนิติบัญญัติในช่วงสภาวะเสียงปริ่มน้ำในระยะแรก จนสถานการณ์คลี่คลายในเวลาต่อมา
ทั้งนี้ในช่วงวิกฤตโควิด -19 ถือเป็นหัวแรงหลักของพปชร. ในการช่วยเหลือรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตร ในการบรรเทาทุกข์ความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชน ด้วยการนำไอเดียร์ “ชลบุรีโมเดล” ที่ " ส.ส.เฮ้ง" หวังว่าจะเป็นต้นแบบให้รัฐบาลนำไปใช้ในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ คือ จ่ายค่ากักตัวให้ชาวบ้านกลุ่มเสี่ยง 14 วัน ในพื้นที่ที่ทางจังหวัดจัดหาให้ และจ่ายค่ายังชีพตอบแทนวันละ 300 บาท เพื่อควบคุมกลุ่มเสี่ยงมิให้แพร่ระบาด
ขณะเดียวกัน “ส.ส.เฮ้ง” ยังบริการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ แจกไข่ไก่, เจลแอลกอฮอล์, เสียสละโรงแรมตัวเองให้บุคลากรทางการแพทย์พักอาศัย โดยตัวเขาและทีมงานในชลบุรีควักกระเป๋าระดมทุนควักเงินจ่ายเอง โดยไม่รอความช่วยเหลือจากผู้ใด
นอกจากนี้ ยังโชว์กึ๋นด้วยการเสนอให้ นายกฯ ช่วยลูกจ้างประกันตน 17 ล้านคน สามารถกู้เงินสูงสุด 50% เงินสะสมกองทุนประกันสังคม พร้อมให้สำนักงานประกันสังคมค้ำประกันแบงก์ เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานให้สามารถดำรงชีพได้ เพราะเชื่อว่าสถานการณ์โควิด-19 ส่อลากยาว ซึ่งได้รับเสียงเชียร์จากสื่อมวลชน และคนหาเช้ากินค่ำเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากเรื่องดังกล่าวไม่ได้อยู่ความดูแลจากพปชร. แต่อยู่กับพรรคร่วมพลังประชาชาติไทย โควต้าของพรรคร่วมรัฐบาล ข้อเสนอดังกล่าวนี้ จึงยังไม่ได้รับการผลักดัน
อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงดูแลพื้นที่เมืองชลบุรี ด้วยทุนรอนตัวเอง “สุชาติ ชมกลิ่น” ยังได้รับฉายา จากสื่อมวลชนยกให้ "ซุ้มมังกรน้ำเค็ม” เพราะยังหาญกล้าเอื้อเฟื้อดูแลพี่ๆ ส.ส.ภาคกลาง พปชร.กว่า 20 ชีวิต ที่เขาขยายบารมีหลังเลือกตั้ง 62 ร่วมรับผิดชอบอีกด้วย ในการช่วยเหลือเรื่องการเมือง การทำพื้นที่ และแก้วิกฤติโควิด -19 ในโมงยามที่หน่วยเหนือขาดการส่งกำลังบำรุงดูแล
และเป็นที่รู้กันของบรรดาชาวบ้านว่า “ส.ส.เฮ้ง” ช่วยเหลือประชาชนทุกคน แม้ไม่ได้อยู่เขตเลือกตั้งของเขา เพราะถือคติการช่วยเหลือประชาชนนั้น “ไม่เกี่ยวการเมือง”
ก่อนมีการปรับเปลี่ยน พปชร.ใหม่ในช่วงกลางปี 2563 ที่มีพล.อ.ประวิตร เป็นหัวหน้าพรรค และ “สุชาติ” ก็สะสมบารมีจนขับแก้ว และได้รับแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรค ด้านรับเรื่องราวร้องทุกข์ ก่อนมีการเปลี่ยนโควต้ากับพรรคร่วมรัฐบาล จนเขาก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้อย่างสมศักดิ์ศรี พร้อมกับความคาดหวังในการแก้ปัญหาแรงงาน ปัญหาคนตกงาน ช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ ที่ได้รับจากผลกระทบจากวิกฤตโควิด –19อย่างเร่งด่วน
ถือเป็นโจทย์หินครั้งสำคัญสุดในชีวิตลูกผู้ชาย อย่าง “สุชาติ ชมกลิ่น” ในฐานะรมต.จับกัง 1 จะต้องพิสูจน์ฝีมือให้สำเร็จโดยมีเสียงประชาชนเป็นคำตอบ