xs
xsm
sm
md
lg

คืนยุติ-ธรรม กับ "ก็อต จิรายุ"

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ถ้า ’ความยุติธรรม’ ของแต่ละคนนั้น มีความหมายที่เหมือนกันก็คือ สิ่งที่ถูกต้องที่ตนเองได้รับ มันก็สมเหตุสมผลพอที่จะได้รับในสิ่งนั้น แต่ถ้าความยุติธรรมที่ว่า มันไม่ได้รับการตอบสนองอย่างที่ควรจะเป็นล่ะ หลายๆ คน จะยอมรับกันได้หรือเปล่า ซึ่งภาพยนตร์ไทยเรื่องใหม่แนวแอ็คชั่น-ทริลเลอร์ ‘คืนยุติ-ธรรม’ จากค่ายเอ็ม พิคเจอร์ส ที่มี ก็อต-จิรายุ ตันตระกูล มารับหน้าที่เป็นนักแสดงนำของเรื่อง และเป็นตัวแทนในการถ่ายทอดเรื่องราวดังกล่าว ผ่านทางแผ่นฟิล์มให้ได้พิสูจน์กัน กับคำว่า ‘ความยุติ-ธรรม’ นี้


ตอนที่ได้รับติดต่อมาจากพี่อุ๋ย (นนทรีย์ นิมิบุตร – โปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์ คืนยุติ-ธรรม) ความรู้สึกแรกของเราเป็นยังไงครับ

โดยส่วนตัวก็ดีใจนะครับ เพราะว่าพี่อุ๋ยเป็นผู้กำกับที่เราอยากร่วมงานด้วยอยู่แล้ว อีกปัจจัยหนึ่งก็คือตัวบทที่ผมได้รับนั้น มันมีอะไรที่เราทำได้เยอะมาก หมายความว่า ตัวบทมันไม่ได้ให้เราตีความได้ทางเดียว มันต้องตีความหลายทาง ด้วยการที่หนังมันเล่าเรื่องของผู้ถูกกระทำ แล้ววันหนึ่ง เขาลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อแก้ไขการถูกกระทำนั้น ที่นี้ ในการที่คนๆ หนึ่ง จะลุกขึ้นมาต่อสู้ได้ ถ้าธรรมชาติของคนคนนั้นเป็นคนที่ Loser มาตลอด อยู่ๆวันหนึ่ง ลุกขึ้นมาต่อสู้แล้วจะเอาอะไรไปสู้ มันจะต้องตีความมากกว่านั้นว่าคนคนนี้อาจจะเป็นคนที่สู้มาตลอด แล้ววันหนึ่งถึงตัวตนนั้นไป แล้วกลับมาดำเนินชีวิตปกติ

อีกอย่าง ตัวเนื้อหนังเขาจะว่าด้วยเรื่องผู้ถูกกระทำ ที่ผันตัวมาเป็นผู้กระทำ แต่ประเด็นที่ผมจะต้องคิดหนักมากกว่าเดิมก็คือ การที่คนคนนึงจะมาเป็นผู้กระทำได้ เขาจะทำยังไง เขาไม่ใช้อาวุธกิ๊กก๊อกนะ แต่เขาใช้อาวุธปืนจริงจังเลย เขามีการวางแผน ลองคิดง่ายๆนะครับว่า ถ้าเราเกิดแค้นใครสักคนเราจะไปหาอาวุธมาจากไหน เห็นไหมครับว่าต้องตีความเยอะมาก มันต้องทำงานเยอะมากว่า จริงๆแล้วคนๆ นี้คือใครด้วยซ้ำ ซื้ออาวุธยังไง หรือการติดตามใครสักคนหนึ่งตามยังไง หรือเรียกง่ายๆคือศัพท์ทางการแสดงก็คือ Back Story ตัวละครก็ต้องมีพื้นหลัง ทุกตัวละคร ทุกสิ่งมีชีวิต มันจะต้องมีเบื้องหลังหมด


อยากให้คุณช่วยเล่าถึงการทำงานกับพี่อุ๋ยหน่อยครับ

ผมชอบทำงานกับพี่อุ๋ยตรงที่ว่า แกเป็นคนที่อยากให้นักแสดงนำตัวละครมารู้จักกับเขา ในความเห็นผมนั้น ผมรู้สึกว่ามันเวิร์คนะ เพราะสำหรับผม ต้องทำการบ้านมาเยอะมากระดับหนึ่ง เพราะมิติที่ผมเห็นตัวละคร กับทางผู้กำกับเห็นนั้น มันต้องต่างกันอยู่แล้ว ที่นี้เราทำการบ้านมา หรือหาวัตถุดิบให้มากที่สุด เพื่อที่จะหาตรงกลางระหว่างเขากับเรา แล้วพอเรามีวัตถุดิบหรือสร้างชีวิตให้กับตัวละคร พี่อุ๋ยเป็นคนที่เปิดรับไอเดีย และอยากได้ความคิดสร้างสรรค์จากนักแสดง ซึ่งไม่ใช่แค่ผมคนเดียว แต่ก็รวมไปถึงนักแสดงท่านอื่นด้วยเช่นกัน เหมือนกับเป็นการ brainstorming ร่วมกัน ซึ่งการทำงานที่ดีมันต้องเป็นทีม ไม่ใช่มีแต่ผู้นำอย่างเดียว


ซึ่งก็แตกต่างจากการทำงานของคุณในที่ผ่านมาพอสมควร

ผมถือว่ามันมีความปนเปกันไปนะครับ จากที่เคยร่วมงานกับผู้กำกับท่านต่างๆก็มีความหลากหลาย แบบที่กำหนดทิศทางก็มี หรือแบบที่ให้อิสระกับเราก็มี คืองานแสดงก็ถือว่าเป็นงานศิลปะ ซึ่งงานงานศิลปะก็มีกรอบอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ในส่วนหนึ่งมันก็ไม่มีกรอบเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการสร้างสรรค์มันก็จะไม่เกิดเพราะว่ามีกรอบที่ล้อมไว้ คือผมเรียนทั้งการแสดงและการกำกับการแสดง มันเลยทำให้ผมรู้ทั้ง 2 ฝั่งว่า ทั้งตัวผู้กำกับและนักแสดงเขาต้องการอะไร ซึ่งการที่เราทำงานกับพี่อุ๋ยก็ถือว่าไม่ต้องแปลสารเลย ว่าพี่อุ้ยต้องการสิ่งนี้หมายความว่าอะไร แกจะให้ Direction ที่ตรงประเด็นเลย แล้วเราทำความเข้าใจปุ๊บก็เล่นได้เลย เลยทำให้การแสดงของเรามีการ flow ไปยิ่งขึ้น ซึ่งก็เป็นผลมาจากการซ้อมและการซ้อมก่อนหน้านั้นด้วย

แน่นอนว่าการเป็นสองบุคลิกในเรื่องนี้ ก็ถือว่าหนักพอสมควร อยากให้คุณช่วยเล่ามาพอสังเขปหน่อยครับ


ในเรื่องของการบ้านนั้น ส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นพื้นหลังของตัวละคร ด้วยความที่มนุษย์เราทุกคนก่อนที่จะมาเป็นตัวเราในปัจจุบัน เรามีแรงบันดาลใจจากใครสักคนหรืออะไรบางอย่าง ตัวละครนี้ก็เช่นเดียวกัน มันจะมีการตัดสินใจที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน คนอื่นอาจจะมีความแค้นแล้วก็จบ แต่ตัวละครนี้ไม่เลย ฉันจะต้องมีการล้างแค้นก่อน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมจะต้องหาก็คือเบื้องหลังของตัวละครตัวนี้

โดยปกติเวลาที่เราสร้างตัวละครขึ้นมา ผมจะไม่ดูหนังเรื่องอื่นเลยนะ เพราะมันมีความรู้สึกว่าจะเป็นการเลียนแบบการแสดงของเขาขึ้นมา ซึ่งมันลอกได้แค่ท่าทางแต่ไม่ได้ลอกวิธีคิด ผมจะไม่ทำแบบนั้นแล้วก็ไม่ควรทำด้วย แต่ผมจะใช้วิธีการที่ว่าไปสังเกตผู้คน แล้วเรื่องนี้ที่เยอะมากก็คือในส่วนของ เรื่องของความยุติธรรม ขั้วตรงข้ามของเราก็คือความอยุติธรรม เพราะฉะนั้นผมก็เลยทำการค้นคว้าข่าวที่เกี่ยวกับในเรื่องพวกนี้ ทั้ง 2 ทาง ในเวลาเดียวกัน เพื่อที่จะหาวัตถุดิบทางความคิด ดูทั้งผู้ที่ถูกสัมภาษณ์ สังเกตอารมณ์ของพวกเขา ทั้งผู้ที่มีความแค้นอยู่และผู้ที่ปล่อยวางแล้ว สิ่งเหล่านี้แหละครับคือการสร้างพื้นหลังให้กับตัวละครนี้

จากที่คุณเล่ามา มันค่อนข้างตกผลึกพอสมควรเลยนะ


ใช่ครับ เราต้องมีเขาในตอนวัยเด็กไง จากนั้นก็ต้องมีเขาในช่วงวัยรุ่น เพราะจุดเปลี่ยนของมนุษย์ มันมีไม่เยอะมากหรอก ช่วงเด็ก ช่วงที่ดูแลตัวเองไม่ได้ ช่วงวัยรุ่น ช่วงที่ปีกกล้าขาแข็งแล้ว แล้วก็ช่วงทำงาน 3 ช่วงนี้มันต้องชัดเจนให้ได้ เพราะถ้าตัวละครมี 3 ช่วงเวลานี้ที่ชัดเจน คนดูก็จะเริ่มเห็นแล้วว่าตัวละครตัวนี้มากินข้าวยังไง เขาจะกินตรงไหน จะเลือกกินในห้างหรือข้างทาง หรือว่าไปเที่ยวจะไปยังไง

อย่างแรกเลย เราต้องหา contrast ก่อน เพื่อที่จะให้เห็นว่าตัวละครสองตัวนี้มันต่างกันยังไง ยกตัวอย่าง คู่สนทนาของผมนั้นมีลักษณะท่าทางยังไง การนั่ง ในขณะเดียวกันตัวละคร 2 ตัวนี้เป็นอย่างไร ไม่ใช่คอนทราสในเรื่องทางร่างกาย แต่จะเป็นในเรื่องของอุปนิสัย คนหนึ่งมีความกลัว ไม่กล้าที่จะพูด เลือกที่จะหนีมากกว่าที่จะสู้ อีกคนเลือกที่จะไม่มีอะไรทั้งนั้นสู้ทุกอย่าง มันไม่กลัวอะไรเลย เราจะเห็นว่าตัวละครมันแยกออกเป็นชิ้นแล้ว ที่นี้เราก็หาวัตถุดิบให้แก่ตัวละครแต่ละตัว ว่าแต่ละตัวละครนั้นมีพื้นฐานความคิดแบบนี้นะ แล้วพอมันมีความชัดเจน ผมก็สามารถที่จะสลับบทบาทของ ตัวละครสองคนนี้โดยที่ไม่งง เพราะเราจะรู้ว่าคนที่กลัวนั้นจะมีท่าทางยังไง ทั้งวิธีการทูตและนั่งคุย คนที่กล้าก็เป็นเช่นเดียวกัน มันมีผลหมด เลยเป็นที่มาของตัวละครนำในหนังเรื่องนี้ครับ


การรับบทในครั้งนี้ โดยส่วนตัวถือว่าเป็นความท้าทายของคุณด้วยมั้ย

เรียกว่าทำงานหนักดีกว่า เพราะนอกจากจะทำให้เราทำงานหนัก โดยส่วนตัวเราก็เป็นคนลักษณะแบบนี้อยู่แล้ว ชอบที่จะอยู่กับรายละเอียดกับมัน ผมต้องการรู้รายละเอียดทุกอย่างจากสิ่งที่ได้รับ เพราะเราทำอาชีพนักแสดง หน้าที่ของเราก็คือหาวัตถุดิบให้กับตัวละครที่เราแสดงออกไป แต่ถ้าถามในเรื่องของความยากง่ายนั้น ผมจะใช้คำว่า ทุกตัวละครมันมีความยาก ถ้าไม่เข้าใจในกระบวนการทำงาน เราจะหาความง่ายของทุกตัวละครเจอ ถ้าเราเข้าใจอย่างที่บอกไป และทำงานหนัก เพราะถ้าไม่มีความเข้าใจ แม้กระทั่งเป็นซีนเล็กๆก็สามารถเป็นเรื่องยากได้ เช่นเดียวกัน ถ้าเรามีความเข้าใจ ต่อให้เป็นซีนที่ยากและยุ่งเหยิง ถ้าเรามีความเข้าใจอย่างที่บอกรวมไปถึงฝึกซ้อมมาเยอะ มันก็จะดูผ่านไปง่ายๆ

จากที่คุณเคยไปเล่นหนังต่างประเทศมา ประสบการณ์ตรงนี้ มาประยุกต์ใช้ในการทำงานยังไงบ้างครับ


ผมว่าสิ่งที่ได้ใช้แน่ๆ ก็คือ ทัศนคติในการคิดและต่องานของเรา เราจะต้องรับผิดชอบงานในแบบไหน ตัวละครไม่ต่างอะไรจากผลิตภัณฑ์ชิ้นหนึ่ง เหมือนกับคนที่ใส่นาฬิกาที่วัดชีพจรได้ เขาซื้อมาเพราะอะไร เพราะว่ามันมีสรรพคุณ เพราะมันถูกผลิตมาวิธี มนุษย์เราย่อมซื้อในสิ่งที่ถูกคิดค้นมาอย่างดี ตัวละครเป็นสินค้าของผม ถ้าผมสร้างตัวละครขึ้นมาด้วยความมักง่าย อ่านบทนิดเดียวและทำงานโดยไม่ตั้งใจ สุดท้ายแล้วคนดูจะรู้ แล้วก็จะมองข้ามตัวละครตัวนั้น และจะไม่น่าจดจำอะไร แต่ผมผลิตสินค้าตัวหนึ่งออกมาแล้วคนใช้รู้สึกดีกับผลิตภัณฑ์ตัวนี้ เพราะเวลาทำงานกับเมืองนอก เขาให้ความสำคัญกับรายละเอียด

ซึ่งบางทีคนไทยมองข้ามตรงนี้ แล้วก็จะเป็นลักษณะแบบว่า ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ ผมได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี แล้วก็ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ว่า details is the king หมายความว่ารายละเอียดเล็กๆน้อยๆ นี่แหละ จะทำให้งานศิลปะมีชีวิต อย่างเวลาที่ผมสังเกตคู่สนทนา ผมก็ดูวิธีการนั่งของเขา แค่นี้ก็สามารถนำมาใช้ในการแสดงของตัวเองได้แล้ว เพราะว่ามันเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่บอก

ในขณะเดียวกัน แทบจะมีน้อยมากเลยนะ กับนักแสดงไทย กับการเปลี่ยนบุคลิกเพื่อตัวละครที่ได้รับ โดยส่วนตัวถือว่าเป็นพัฒนาการในการแสดงด้วยมั้ย


ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะยกย่องอะไรนะ เพราะถ้าเราเข้าใจในตัวละครแล้ว เราจะเข้าใจบริบทของมัน เช่นตัวละครตัวนี้มาติดคุกมากี่ปี อาหารการกินเป็นยังไง พอผมสังเกตตัวละครแล้ว ผมจึงเห็นว่ามันผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมันน่าจะเป็นยังไง หนึง มันทุกข์ระทม เศร้า สอง ติดคุก ผมว่ามันไม่ได้แบบจากในคุกเลย ฉะนั้นเรื่องลดน้ำหนักมันไม่น่าใช่พาร์ทใหญ่อะไร มันเป็นพาร์ทเล็กๆ ในการทำงาน เพราะว่าช่วงนั้นต้องย้ายบ้านด้วย เรียกว่าไม่มีข้าวกิน เราไม่คุ้นชินกับสถานที่ (หัวเราะ) คือผมมองว่าการลดน้ำหนักในเรื่องนี้มันไม่ได้ติดขั้นประเด็นขนาดนั้น เพราะถ้าแบบลดเหลือ 40 50 กิโลกรัม อันนั้นค่อยว่ากันอีกที แล้วก็ต้องดูด้วยว่ามันคุ้มค่ากับการทุ่มเทเพื่อบทนั้นหรือเปล่า เพราะบางทีถ้าเราทุ่มเทในที่ที่เขาไม่สนใจ มันก็เท่านั้นล่ะครับ

หนังเรื่องนี้ ถือว่าเป็นนักแสดงนำครั้งแรกด้วย รู้สึกเขินมั้ยครับ


ไม่เขินนะครับ แต่จริงๆ ในทัศนคติส่วนตัวของผม การเป็นนักแสดง ต่อให้โผล่มาในซีนไหนก็แล้วแต่ มันมีความเป็นผู้นำทุกคนอยู่แล้ว เพราะทุกคนนำเสนอชีวิตตัวเองให้กล้องมันบันทึก แต่ในภาษาสมมุติแล้ว เราก็ต้องบอกผู้ชมว่าคนนี้รับบทเป็นพระเอก นางเอก มันก็เป็นอย่างนั้นไป แต่ผมก็ไม่ได้เกิดมาจากบทพระเอกนะครับ ผมก็เกิดมาจากการเป็นตัวละคร ซึ่งตัวละครทุกตัวในทุกเรื่องผมถือว่าสำคัญหมดนะ ประมาณว่าถ้าผมเป็นโรงงานผลิตตัวละคร ผมก็ต้องมีวัตถุดิบที่ดีในการสร้างตัวละคร หนึ่ง เพราะเขาจ่ายเงินให้ผม ผมต้องให้สินค้าที่ดีกับเขา แล้วก็ตรงตามสเปคไล่ตามที่เขาได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องมีอะไรที่เซอร์ไพรส์เขาด้วย นี่ของขวัญนะครับ ขอบคุณที่มาร่วมงานกันครับผม ประมาณนี้ครับ (ยิ้ม)


ความยุติธรรม ในคำนิยามของคุณคืออะไรครับ

สำหรับผมความยุติธรรม มันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคนมีคุณธรรมภายในใจก่อน ซึ่งเมื่อเกิดสิ่งนี้แล้วทุกคนก็ย่อมที่จะรักตัวเอง และย่อมเข้าใจมนุษย์ด้วยกันว่า แต่ละคนต้องการที่จะมีความสุขและพ้นจากความทุกข์ เพราะฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจในมุมนี้ เราจึงจะมีความยุติธรรมต่อเพื่อนมนุษย์เราได้

แต่ความยุติธรรมในสำหรับบางคนมันก็ไม่แฟร์นะ

จริงๆ ผมว่ามันเป็นเรื่องที่กว้างมากนะครับ เพราะว่าการที่เราไม่ได้รับความยุติธรรม การยอมรับกับการศิโรราบะมันต่างกันนะ การยอมรับในที่นี้หมายถึงว่า บางทีเราเข้าใจในสถานการณ์ที่มันเป็น ถ้าเราแก้ไขมันได้เราก็ทำ แต่ถ้าทำไม่ได้แล้วเราฝืนคับแค้นต่อไป มีแต่จะทำให้เราและคนรอบข้างทุกข์ใจ ในขณะเดียวกันมันต่างกับศิโรราบ ซึ่งมันหมายถึงว่าการหนี เลือกที่จะไม่สู้ หรือยืนหยัด มันต่างกันมาก ซึ่งความต่างตรงนี้ คนที่ยอมรับ จะสามารถพัฒนาไปถึงอภัยได้ แต่คนที่ยอมศิโรราบ ลึกเข้าไปในใจของเขาแล้วมันยังมีความแค้นอยู่ มันต้องแยกให้ออกครับ เพราะมันเป็นความซับซ้อนในจิตใจมนุษย์ ซึ่งตัวผมเองก็ยังไม่แตกฉานเท่าไหร่

แต่ผมจะใช้คำว่าคนที่ฝึกสติปัญญาระดับหนึ่งดีกว่า เขาจะเห็นความเป็นแก่นสารและไม่เป็น ของการโกรธเกลียด แต่ความโกรธในบางครั้งมันก็มีประโยชน์ เช่น โกรธความอยุติธรรม แล้วตั้งใจจะทำ Project บางอย่างขึ้นมา เพื่อให้คนได้รับความยุติธรรมมากขึ้น อันนี้คือทางของความโกรธให้เป็นประโยชน์ แต่ในขณะเดียวกันความเกลียดไม่มีประโยชน์เลยนะ คือถ้ามีความเกลียดครอบงำก็ทำให้ใจเราเน่านะ

ตอนนี้คุณเข้าวงการมา 10 ปี แล้ว ถือว่าตอบโจทย์ในความฝันของการอยากเข้าวงการบันเทิงสมบูรณ์แบบแล้วรึยัง


ถือว่าในระดับหนึ่งครับ มาไกลกว่าที่เคยฝันไว้ เพราะเมื่อก่อนผมฝันว่าแค่อยากเล่นละครแค่นั้นเอง แต่พอเราเริ่มหลงรักการแสดงแล้ว เรารู้สึกว่า เราอยากใช้ศักยภาพของเราให้เต็มที่ เลยทำให้มีฝันที่ใหญ่กว่าเดิม ผมไม่ได้ซีเรียสว่าจะทำความฝันให้เป็นจริงหรือไม่นะ เพราะว่าบางทีเวลาที่เราเอาเรื่องมาผูกพันกับเรื่องมากมาย แล้วมันทำให้ชีวิตยุ่งเหยิง ผมแค่รู้สึกว่ามันก็ไม่คุ้มกัน บางทีมันก็ไม่คุ้มกับชีวิตที่มันยุ่งเหยิงจนเกินไป แม้จะทำเพื่อผู้อื่นก็ตาม มันก็ทำให้ข้างในไม่สงบ มันเลยต้องหาความสมดุลให้เจอ ถามว่ายากไหม ยากสิครับ เพราะว่ามันไม่เจอกันง่ายๆ ต้องฝึกทุกวัน ตลอดเวลา

แต่การฝึกนี้ มันก็ต้องมีการพัฒนาไปเรื่อยๆ นะ


ใช่ครับ เหมือนกับการขับรถในกรุงเทพฯ เราจะรู้เส้นทางไปเรื่อยๆจากการที่เราขับอยู่ทุกวัน แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเราขับไปแล้ว 5 ปี แล้วมีความรู้สึกว่าไม่เห็นประโยชน์ของมันแล้ว จะมีความรู้สึกว่าอยากจะออกไปขับรถต่างจังหวัดแล้ว บางทีผมก็เป็นแบบนั้นนะ เพราะข้างในมันเริ่มไม่เป็นสุขแล้ว หาเงินทุกวัน ทำงานทุกวัน ทำไปทำไมวะ จุดที่มีความสุขคืออะไร ไปให้ถึงฝันแล้วยังไงต่อ ผมเคยอยู่จุดนั้นมาแล้ว อยากได้เงิน ได้ อยากได้ชื่อเสียง ได้ อยากประสบความสำเร็จต่างๆ ก็ทำได้ แต่มันไม่มีความสุข ซึ่งความสุขมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราได้อะไรนะ ความสุขก็คือเราวางใจไว้ตรงไหนต่างหาก ซึ่งการวางใจให้ถูกจุดและสมดุลนั้น ยากมาก (เน้นเสียง)


ตลอดเส้นทางในวงการ 10 ปี ที่ผ่านมา โดยส่วนตัวคิดว่าในแต่ละช่วงเวลามันเป็นยังไงบ้างครับ

เมื่อก่อนผมจะมีความตื่นเต้นในช่วงวัยตอนนั้นนะครับ เพราะว่าเพิ่งเข้าวงการตอนอายุ 20 ต้นๆ มี passion เยอะมาก แต่ก็จะมีช่วงที่เบื่อ ไม่อยากได้ไม่อยากเป็น ก็จะเป็นตอนอายุประมาณ 25-26 ช่วงนี้คือเบื่อมาก แล้วก็เป็นช่วงปัจจุบัน แบ่งเป็น 3 ช่วงนะครับ ซึ่งช่วงนี้ก็มีความรู้สึกว่ามีหลายอย่างที่อยากจะทำแล้วเป็นประโยชน์ แต่ก็อย่างที่บอกว่าเราก็ไม่ได้ซีเรียสว่าทำให้มันสำเร็จหรือเปล่า เพราะถ้าเรายุ่งเหยิงจนเกินไปแล้วทำให้ใจไม่เป็นสุข เราจะไม่ทำตรงนั้น บางทีแค่บิดไปองศาเดียว แล้วชีวิตมันดีกว่า ลุยอย่างนั้นเลย ไม่ต้องไปคอยฟังเสียงความอยากของตัวเองที่ไม่มีวันจบ

โดยส่วนตัวผมอยากจะทำสื่อ ไม่ว่าจะเป็น หนัง ละคร หรือ ซีรีย์ ที่ทำให้คนมีรอยยิ้ม จะเรียกว่าเป็นหนังแรงบันดาลใจก็ได้ เพราะผมรู้สึกว่าในโลกนี้มันมีหนังที่นำเสนอเรื่องการรบราฆ่าฟัน โกรธแค้นกัน มากพอแล้ว ผมแค่อยากเป็นอีกฝั่งหนึ่ง ผมอยากให้ครอบครัวมาคุยกัน ลูกรู้สึกอยากขอบคุณแม่ แม่รู้สึกอยากโอบกอดลูก แฟนรู้สึกอยากทำความเข้าใจกับแฟน อะไรอย่างนี้ ถ้าหนังผมสามารถทำงานศิลปะที่มีคุณค่าต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

แต่คุณก็ต้องเก็บความฝันนี้ก่อน

ไม่เชิงนะครับ ผมศึกษาทุกอย่างอยู่เพื่อที่จะทำให้มันเกิดขึ้น แต่อย่างที่บอกว่ามันอยู่ในช่วงของเวลา ผมปลูกมันไว้วันนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปีหน้าจะได้ผล มันอาจจะออกใน 3 ปี 5 ปี ก็ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ ขึ้นอยู่กับปุ๋ยที่ผมใส่ อารมณ์ว่าเราเคลียร์พื้นที่เพื่อที่จะปลูกมันไว้ก่อน แต่แค่เราจะรับผลเมื่อไหร่แค่นั้นเอง แต่ตอนนี้เราทำปัจจุบันให้ดีที่สุดและมีการเตรียมตัวไว้ก่อน

เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : M Pictures และ แฟนเพจ จิรายุ ตันตระกูล (Jirayu Tantrakul)



กำลังโหลดความคิดเห็น