จากโรงเรียนจิตรลดา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษในเดือนมกราคม ๒๕๐๙ โดยเข้าศึกษาระดับประถมที่โรงเรียนคิงส์มีด เมืองซีฟอร์ด แคว้นซัสเซกส์ ในเดือนกันยายนในปีเดียวกันได้เสด็จไปศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมิลล์ ฟีลด์ เมืองสตรีต แคว้นซอมเมอร์เซต จนถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๓ จึงได้เสด็จมาทรงศึกษาระดับเตรียมทหารที่โรงเรียนคิงส์ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ในปี ๒๕๑๕-๒๕๑๙ ทรงเข้าศึกษาในวิทยาลัยการทหารดันทรูน ที่กรุงแคนเบอร์รา
หลักสูตรของวิทยาลัยทหารแห่งนี้แบ่งเป็น ๒ ภาค คือ ภาควิชาการทหาร รับผิดชอบและดำเนินการโดยกองทัพบกออสเตรเลีย นักเรียนที่สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรนี้จะได้เป็นนายทหาร ยศร้อยโท
ส่วนอีกภาคหนึ่ง เป็นการศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลล์รับผิดชอบวางหลักสูตร แบ่งออกเป็นสาขาวิชา วิศวกรรม อักษรศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ นักเรียนนายร้อยที่จบหลักสูตรนี้จะได้รับปริญญาตรีตามสาขาวิชาที่เลือกศึกษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเลือกศึกษาในสาขาอักษรศาสตร์ และได้รับคัดเลือกเข้าร่วมสวนสนามเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ ๒ แห่งสหราชอาณาจักร
นอกจากนี้ยังทรงเข้าฝึกเพิ่มเติมในหลักสูตรต่างๆของกองทัพบกออสเตรเลีย ทรงผ่านการฝึก ณ โรงเรียนฝึกโดดร่ม หลักสูตรทบทวนวิชาอาวุธและยุทธวิธี หลักสูตรยุทธวิธีชั้นผู้บังคับกองร้อย หลักสูตรวิชาลาดตระเวน หลักสูตรการรบพิเศษ และหลักสูตรอื่นๆ ตลอดจนศึกษาดูงานในกองทัพเรือ กองทัพอากาศ ของออสเตรเลีย ทรงผ่านการฝึก ณ โรงเรียนฝึกโดดร่ม ฐานทัพอากาศวิลเลียมทาวส์ รัฐนิวเซาท์เวลล์ ทำให้ทรงได้รับสิทธิประดับปีกโดดร่ม และเมื่อทรงเสร็จสิ้นประจำการที่กรมรบพิเศษที่นครซิดนีย์ กรมรบพิเศษได้ทูลเกล้าฯถวายหมวกแบเร่ต์ของกรมรบพิเศษ เพื่อเฉลิมพระเกียรติ
เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาและการฝึกเพิ่มเติมต่างๆแล้ว ได้เสด็จนิวัติประเทศไทยในวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๑๙
จากนั้นทรงรายงานพระองค์ต่อเจ้ากรมข่าวทหารบก เพื่อทรงเข้ารับราชการเป็นนายทหารประจำกรมข่าวทหารบก กระทรวงกลาโหม
ทรงอุทิศพระองค์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเคร่งครัด ได้ทรงร่วมปฏิบัติงานด้านการทหารและความมั่นคงในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งคุ้มกันพื้นที่รอบค่ายผู้อพยพชาวกัมพูชาที่เขาล้าน จังหวัดตราด
ในปี พ.ศ.๒๕๑๙ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะมีพระยศเป็นร้อยเอกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามกุฎราชกุมาร ประจำการอยู่ที่หน่วยทหารจังหวัดพิษณุโลก ทรงทราบว่าที่หมู่บ้านหมากแข้ง อ.ด่านซ้าย จ.เลย ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาไม่ห่างจากภูหินร่องกล้า เป็นหมู่บ้านเดียวในขณะนั้นที่ไม่เข้าร่วมกับกลุ่มคอมมิวนิสต์ จึงถูกโจมตีอย่างหนัก ทำให้เจ้าหน้าที่และชาวบ้านเสียชีวิตจำนวนมาก เฮลิคอปเตอร์ที่มารับส่งทหารก็ถูกยิงตกทับบ้านเรือนราษฎร ชาวบ้านเสียขวัญต้องอพยพหนี จึงมีรับสั่งกับ พล.ท.สมศักดิ์ ปัญจมานนท์ แม่ทัพภาคที่ ๓ ว่า
“จะต้องไปแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นให้ได้”
แม้ว่า แม่ทัพภาคที่ ๓ จะกราบบังคมทูลทัดทาน เนื่องจากสถานการณ์ขณะนั้นไม่น่าไว้วางใจ แต่พระองค์ก็ทรงยืนยันอย่างหนักแน่นว่า…
“ชักช้าไม่ได้ ต้องไปแก้ไขให้ได้ในวันนี้ และเดี๋ยวนี้”
จากนั้นเวลา ๑๕.๓๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้นักบินนำเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง มุ่งไปยังฐานบ้านหมากแข้งทันที
แต่ขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังจะร่อนลง ยังไม่ทันที่จะแตะพื้น ฝ่ายผู้ก่อการร้ายได้ระดมยิงมายัง ฮ. จนไม่สามารถลงจอดได้ วินาทีนั้นร้อยเอกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชก็ทรงกระโดดลงมาจากความสูงประมาณ ๒ เมตร แล้ววิ่งฝ่ากระสุนหลบเข้าที่กำบังอย่างกล้าหาญ
เมื่อทรงถึงที่มั่น พระองค์ก็ได้ทรงบัญชาการรบทันที รับสั่งให้ทหารตามเสด็จ ยิงโต้ตอบผู้ก่อการร้าย และยังมีคำสั่งให้ปืนใหญ่จากฐานบ้านห้วยมุ่น ยิงถล่มผู้ก่อการร้ายด้วย
กระทั่งเวลา ๑๖.๐๐ น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จึงทรงบัญชาการให้ชุดปฏิบัติการออกลาดตระเวน โดยทรงทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดด้วยพระองค์เอง แม้แม่ทัพภาคที่ ๓ ได้กราบบังคมทูลทัดทานด้วยเกรงว่าจะทรงเป็นอันตราย แต่พระองค์มีรับสั่งว่า…
“ฉันต้องไปเพราะว่าเป็นหน้าที่ของทหาร”
ทรงนำหน้าทหารบุกตะลุยไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตราย ท่ามกลางเสียงปืนดังไม่ขาดสาย แต่พระองค์ไม่ได้ทรงหวั่นเกรงแต่ประการใด ในที่สุดผู้ก่อการร้ายก็ต้องล่าถอยไป
จากนั้นทรงฝ่าดงระเบิดไปถึงหมู่บ้านหมากแข้ง เสด็จไปยังบริเวณที่เฮลิคอปเตอร์ถูกยิงตก ทรงตรวจสภาพเฮลิคอปเตอร์ แล้วเข้าปลอบขวัญราษฎร ทรงขอให้ทุกคนเชื่อมั่นว่าทหารจะคุ้มครองความปลอดภัยให้อย่างเต็มที่ และได้เสด็จไปโรงเรียนบ้านหมากแข้งที่เคยถูกผู้ก่อการร้ายปิดล้อมและยึดไว้ แต่ฝ่ายรัฐยึดกลับคืนมาได้ เพื่อพระราชทานกำลังใจแก่ครูและนักเรียน
คืนนั้นทรงประทับแรมที่ฐานปฏิบัติการ โดยบรรทมในหลุมบุคคล ซึ่งมีความลึกประมาณ ๒ ฟุต หลังคามุงด้วยหญ้าคา ทรงใช้เป้ทหารหนุนพระเศียร และบรรทมในชุดเครื่องแบบสนามที่ทรงนำไปชุดเดียว โดยไม่มีเครื่องกันหนาวหรือผ้าห่มแม้แต่ผืนเดียว
อินตา สิงขรณ์ ผู้ใหญ่บ้านหมากแข้ง ยังคงจำเหตุการณ์การครั้งนั้นได้ดี เล่าว่า
"พระองค์ท่านทรงปฏิบัติเหมือนทหาร ตื่นตั้งแต่ตี ๕ นอนตอนกลางคืนไม่มีผ้าห่ม ยังไม่ได้สรงพระพักตร์ก็ออกลาดตระเวน เสวยข้าวจี่ทาไข่กับปลาร้า ครั้งนั้นทำให้เรามีกำลังใจขึ้นเยอะ รู้สึกว่ารอดจากภัยคอมมิวนิสต์ รอดจากความตายแล้ว ก็พากันดีใจและภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง"
นี่คือที่มาของ “อุทยานเทิดพระเกียรติบ้านหมากแข้ง” ตำบลกกสะทอน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ซึ่งเป็นบทบาทหนึ่งของวีรกษัตริย์ รัชกาลที่ ๑๐ แห่งราชวงศ์จักรี และอาจเป็นกษัตริย์พระองค์แรกหลังจากรัชกาลที่ ๒ เป็นต้นมา ซึ่งทรงมีโอกาสได้เข้าสู่สมรภูมิรบด้วยพระองค์เอง เพื่อปกป้องประชาชนและประเทศชาติ