พ่อตาจอมพลถนอม หรือบิดาของ ท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร ก็ตือ พันตรี หลวงจบกระบวนยุทธ (แช่ม จบกระบวนยุทธ) ผู้ถูกออกจากราชการในข้อหาพัวพันกับ “กบฎบวรเดช” แม้ต่อมา พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนาจะให้ท่านกลับเข้ารับราชการ ท่านก็ปฏิเสธ เพราะเป็นคนช่างคิดช่างทำเลยกลายเป็นนักอุตสาหกรรมทำธุรกิจอยู่หลายอย่างขณะพ้นจากราชการ
ในเรื่องการคิดตั้งโรงงานผลิตผงชูรสเพื่อตนไทยนั้น ท่านได้บันทึกไว้ใน “การดำเนินชีวิต ของ พันตรี หลวงจบกระบวนยุทธ” และพิมพ์ในหนังสืองานศพของท่านที่วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ มีความตามที่ท่านบันทึกไว้ทุกตัวอักษร ว่า
“๑. การตั้งโรงงานทำผงชูรส ข้าพเจ้าได้พิจารณาเห็นว่า ในสมัยนั้นมีโรงงานทำผงชูรสอยู่โรงงานเดียวทั้งประเทศไทย คือ บริษัทอายิโน๊ะโม๊ะโต๊ะ ของญี่ปุ่น ซึ่งตั้งทำมาประมาณ ๓๐ ปีเศษแล้ว เขาจึงขายแพงมาก ข้าพเจ้าสืบได้ความว่า ต้นทุนในการผลิตของเขาประมาณกิโลกรัมละไม่ถึง ๒๐ บาท แต่เขาขายออกจากโรงงานให้แก่ร้านขายส่งของเขากิโลกรัมละ ๑๐๐ บาท เป็นการรีดเลือดเนื้อแก่คนไทยเกินไป แต่คนไทยก็ไม่มีใครบ่นหรือไม่มีใครเดือดร้อน เพราะมันมีโรงเดียวเท่านั้น และผู้ซื้อใช้เพียงเล็กน้อยไม่ถึงแก่ได้รับความเดือดร้อน ข้าพเจ้าคิดจะช่วยลดค่าครองชีพของคนไทยให้น้อยลง ความคิดเช่นนี้จะมีคนไทยคนใดคนหนึ่งทราบหรือไม่ข้าพเจ้าไม่สนใจ แต่ข้าพเจ้ามีความประสงค์เช่นนั้น จึงได้ตกลงใจขออนุญาตตั้งโรงงานทำผงชูรสต่อกระทรวงอุตสาหกรรมขึ้น พอข้าพเจ้าได้รับอนุญาตได้ประมาณ ๑๐ วัน ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทอายิโน๊ะโม๊ะโต๊ะ ซึ่งอยู่ในญี่ปุ่นก็ทราบเรื่องขึ้น จึงบอกมาถึงบริษัทอายิโน๊ะโม๊ะโต๊ะในกรุงเทพฯ เพื่อให้มาติดต่อทำความตกลงกับข้าพเจ้า คือ ขอให้ข้าพเจ้างดการสร้างโรงงานทำผงชูรส แล้วเขาให้บริษัทอายิโน๊ะโม๊ะโต๊ะในประเทศไทยนำเงินมาจ่ายให้ข้าพเจ้า ๖ ล้านบาท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในสมัยนั้นก็ทราบ และบอกให้ข้าพเจ้ารับเงิน ๖ ล้านบาทรายนี้ แล้วงดการสร้างโรงงานทำผงชูรสเสียก็แล้วกัน เมื่อบริษัทอายิโน๊ะโม๊ะโต๊ะในประเทศไทยมาพบกับข้าพเจ้าเพื่อทำความตกลงขอให้งดการสร้างโรงงานทำผงชูรส และนำเงิน ๖ ล้านบาทมามอบให้ข้าพเจ้าด้วย แต่ข้าพเจ้าฏิเสธไม่ขอรับเงินจำนวน ๖ ล้านบาทนั้น และชี้แจงให้ทราบว่า เขาได้รีดเนื้อคนไทยมาประมาณ ๓๐ ปีเศษแล้ว ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะช่วยลดค่าครองชีพให้แก่คนไทย จึงจำเป็นต้องสร้างโรงงานขึ้นเพื่อผลิตผงชูรสขึ้นมาแข่งขันกับท่านให้จงได้ ในที่สุดผู้จัดการใหญ่ของอายิโน๊ะโม๊ะโต๊ะในประเทศญี่ปุ่นก็โกรธผู้จัดการทางประเทศไทยมากในฐานะที่ตกลงกับข้าพเจ้าไม่สำเร็จ ได้เปลี่ยนตัวผู้จัดการบริษัทในประเทศไทยเลย ข้าพเจ้าเดินทางไปเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นก็รู้ถึงผู้จัดการใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น พอข้าพเจ้าลงจากเครื่องบินในเวลากลางคืนประมาณ ๒๐.๐๐ น.เศษ ผู้จัดการใหญ่ก็เข้ามารายงานตัวกับข้าพเจ้าแล้วขอเชิญไปรับประทานอาหารในวันรุ่งขึ้น ในระหว่างรับประทานอาหารเขาก็พูดขอร้องเรื่องการตั้งโรงงานผงชูรสแก่ข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้าก็ตอบเขาตามที่ได้ตอบกับผู้จัดการในเมืองไทยมาแล้ว ในที่สุดเขาก็ขอเป็นเพื่อนกับข้าพเจ้าตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้
ครั้นต่อมาข้าพเจ้าจึงได้ส่งตัวนายวิชัย ซอโสตถิกุล ไปเที่ยวประเทศจีน คือที่เกาะไต้หวัน เพราะที่เกาะไต้หวันมีโรงงานผลิตผงชูรสมาก เพื่อพิจารณาว่าโรงงานผลิตผงชูรสโรงงานใดดีมาก ก็จะได้จำเอามาสร้างในประเทศไทย ในระหว่างที่นายวิชัย ซอโสตถิกุลอยู่ในเกาะไต้หวัน เขาได้โทรเลขมาถึงข้าพเจ้าว่า ได้ตรวจดูโรงงานผลิตผงชูรสตลอดหมดแล้ว เขาเห็นว่าผงชูรสของบริษัทตินตินดีมาก แต่ขอดูวิธีผลิตตลอดจนส่วนผสมเขาไม่ยอมบอกให้ แต่เขาบอกว่าถ้าเรายอมให้เขามีหุ้นส่วนด้วยเขาจะบอกให้ เขาขอเข้าหุ้นส่วนด้วย เป็นจำนวนถึง ๒ ล้านบาท นายวิชัย ซอโสตถิกุลถามว่าจะยอมให้เขาเข้าหุ้นด้วยหรือไม่ ข้าพเจ้าตอบตกลงที่จะให้เขาเข้าหุ้นด้วย และให้รับเงินมาเลย ทั้งขอร้องให้นายช่างของเขาเข้ามาในประเทศไทยพร้อมกับนายวิชัย ซอโสตถิกุลด้วย นายวิชัย ซอโสตถิกุลก็เอาตัวนายช่างใหญ่ของบริษัทตินตินเข้ามาพบ ข้าพเจ้ามอบให้นายช่างใหญ่ของบริษัทตินตินเป็นผู้ออกแบบแปลนและก่อสร้างโรงงานให้ เขาก็ยอมทำให้ ในระหว่างที่กำลังสร้างโรงงานอยู่นั้น ข้าพเจ้าขอฝากคนไทยของเราให้เข้าไปรับการอบรมอยู่ในโรงงานของบริษัทตินตินประมาณ ๖ เดือนเศษ ก็มีความรู้ในการผลิตผงชูรสได้ดีหมดทุกคน ข้าพเจ้าจึงได้เปิดโรงงานผงชูรสขึ้นโดยใช้วัตถุดิบด้วยกากน้ำตาลซึ่งไม่มีโรงงานใดทำเลย ผงชูรสของบริษัทอายิโน๊ะโม๊ะโต๊ะเขาใช้ต้นมันสัมปะหลังเป็นวัตถุดิบ แต่ของเราใช้กากน้ำตาล ตั้งชื่อผงชูรสว่า “ผงชูรสตราชะฎา” ดำเนินการผลิตตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาตลอดจนถึงปัจจุบันนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ให้รางวัลเหรียญทองคำมาไว้ ๒ เหรียญแล้ว ส่วนราคานั้นข้าพเจ้าสั่งให้จำหน่ายลดราคาให้ต่ำกว่าผงชูรสของบริษัทอายิโน๊ะโม๊ะโต๊ะ เมื่อเขาลดราคาลงเท่ากัน เราก็ลดราคาลงไปอีกเป็นลำดับ จนถึงในเวลานี้ขายกันในราคาในราคากิโลกรัมละ ๒๔ บาท ลดราคาลงมาจากเดิมถึงกิโลกรัมละ ๗๖ บาท ก็นับว่าเป็นที่พอใจของข้าพเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นการลดค่าครองชีพให้แก่ประชาชนชาวไทยสมตามความต้องการแล้ว ส่วนประชาชนคนไทยจะทราบหรือไม่ว่า ข้าพเจ้าได้ช่วยเขาให้ลดค่าครองชีพลงนั้น ข้าพเจ้าไม่ถือเอาเป็นอารมย์เลย และไม่สนใจที่จะขอทราบ เราจึงดำเนินงานต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ เวลานี้เราต้องผลิตผงชูรสตราชะฎาออกขายในเดือนหนึ่งประมาณ ๓๐๐ ตันเศษ ก็ยังไม่พอขาย”
นี่ก็เป็นเกร็ดหนึ่งของการผลิตผงชูรสยี่ห้อไทย ซึ่งทำให้ราคาผงชูรสในตลาดถูกลง สมตามเจตนาของท่านผู้ริเริ่มผลิต