หมดยุคเศรษฐกิจรุ่งเรือง เจ้าของ “ศิริวัฒน์แซนด์วิช” ที่เคยล้มช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 40 เตือนเงินเดือนออกแล้วเก็บเงินสดให้มากที่สุด อะไรที่ว่าถูกแล้วยังจะมีถูกกว่าอีก ชี้เดือนนี้บริษัทเลิกจ้าง ปิดกิจการ ขอความคุ้มครองมากขึ้น และกำลังเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง หนี้ครัวเรือนเยอะ ค้าขายลำบาก ลงทุนไร้ผล อย่าประมาท คิดว่าปีนี้ไม่ดี ปีหน้าจะดีไม่ได้
วันนี้ (29 มิ.ย.) ในเฟซบุ๊ก “Sirivat Sandwich ศิริวัฒน์แซนด์วิช” ของนายศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ ผู้ก่อตั้งกิจการศิริวัฒน์แซนด์วิช อดีตนักธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 ได้โพสต์ภาพตนเองพร้อมกับข้อความระบุว่า “เงินเดือนออกแล้ว ให้เก็บเป็นเงินสดให้มากที่สุด อะไรที่ว่าราคาถูกแล้ว ยังจะมีถูกกว่าอีกครับ”โดยมีผู้คนต่างแชร์และแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. นายศิริวัฒน์ได้เฟซบุ๊กไลฟ์ในรายการศิริวัฒน์ สตอรี ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.เป็นต้นไป ทั้งประเทศไทยและประเทศต่างๆ ในโลก ธุรกิจบริษัทน่าจะมีการเลิกจ้าง ปิดกิจการ ขอความคุ้มครองมากขึ้น เช่น ในสหรัฐอเมริกามีการขอความคุ้มครองจากรัฐบาลเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ยึดกิจการ (Chapter 11) เมื่อมีข่าวแบบนี้มากขึ้น จึงต้องระมัดระวัง เก็บเงินสดให้เยอะที่สุด อะไรที่บอกว่าถูกแล้วมันจะมีถูกกว่าอีก ยกตัวอย่างผู้ประกอบการในเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว พบว่าผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารกว่าครึ่งมีเงินดูแลกิจการและพนักงานได้ถึง 30 มิ.ย. ส่วนผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ทราเวลเอเจนซี กว่า 75% กล่าวว่า มีเงินที่พอจะดูแลกิจการและพนักงานถึง 30 มิ.ย.เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ตนไปเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทแห่งหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะกรรมการขออนุมัติผู้ถือหุ้นเข้าตราสารหนี้มูลค่า 3,500 ล้านบาท ทั้งที่เป็นบริษัทที่ฐานะการเงินดี อัตราหนี้ต่อเงินกองทุนเพียง 0.18 เท่า ประธานกล่าวในที่ประชุมว่า จำเป็นที่จะต้องขอวงเงินมากกว่านี้ ก่อนหน้านี้ขอเพียงแค่ 1 พันล้านบาท เพราะมีของเก่าที่จะดีล จะได้ออกของใหม่ ประธานกล่าวว่า เหตุการณ์แบบนี้อาจจะมีทรัพย์สิน (Good Deal) ที่มาเสนอ เราก็อยากจะซื้อหรืออยากจะร่วมกับกิจการนั้นๆ เช่น มีบริษัทขอให้เข้าร่วมธุรกิจ หรือมีที่ดินมาขาย ตนบอกกับประธานว่า อะไรที่คิดว่าถูกถ้าชะลออีกหน่อยมันจะถูกกว่า เพราะเที่ยวนี้หนักกว่าวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ประธานก็รับฟัง ซึ่งเป็นเรื่องของคณะกรรมการและผู้บริหารรับผิดชอบอยู่แล้ว
“ผมอาจจะผิดก็ได้ แต่ประเมินสถานการณ์แล้ว เที่ยวนี้มันหนักและยาวนาน อะไรก็แล้วแต่ที่หนักและกระทบอย่างรุนแรง แล้วมันซึมยาว กว่ามันจะฟื้นมันใช้เวลา หลักกลศาสตร์ง่ายๆ อะไรที่มันตกมันก็เด้งกลับแรง แต่อะไรที่มันตกแล้วค่อยๆ ไหล เหมือนสโนว์บอลลิง (Snow Balling) ลูกหิมะลงจากยอดเขาหิมะ ลูกเท่าเทนนิส มันวิ่งเรื่อยๆ มันก็เอาหิมะไปเรื่อยๆ พอถึงตีนเขามันลูกใหญ่เท่าเนินเขาเล็กๆ เที่ยวนี้เหตุการณ์ทั่วโลกเป็นอย่างนี้ แต่เมืองไทยหนักกว่าเพราะการท่องเที่ยว การส่งออกไม่ต้องพูดถึง ขอให้รัฐบาลจะชุดนี้ ชุดหน้า เน้นการท่องเที่ยวอย่างเดียว อย่างอื่นไม่ต้องไปสนใจ ท่องเที่ยวอย่างเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยฟื้นกลับขึ้นมาได้เร็วที่สุด ฟื้นอย่างช้าๆ อย่างมั่นคง และทำให้คนไทยทุกคนกลับมา”
นายศิริวัฒน์กล่าวว่า เราหมดเวลาของยุคเศรษฐกิจรุ่งเรืองไปแล้ว กำลังเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง เริ่มจากหนี้ภาคครัวเรือนที่เยอะ ค้าขายก็ลำบาก จะขายอะไรก็ไม่ได้ ลงทุนอะไรก็ไม่ได้ผล ถึงบอกว่าเก็บเงินสดไว้ดีที่สุด เศรษฐกิจฝืดเคืองจะนำไปสู่เศรษฐกิจที่เรียกว่า รีเซสชัน (Recession หรือภาวะถดถอย) หมายถึงเศรษฐกิจกำลังลง หนักที่สุดคือดีเปรสชัน (Depression) เหมือนนักมวยนอนแผ่บนเวที ทำอะไรไม่ได้ เรากำลังเดินสู่จุดนั้นไปเรื่อยๆ ในทัศนะของตนยังไม่ต่ำสุด เพราะฉะนั้นอย่าประมาท อย่าคิดว่ามันจะจบแล้ว อย่าคิดว่าปีนี้ไม่ดี ปี 2021 ก็ดี ไม่มีทาง มีแต่ลง จึงฝากเตือนเอาไว้