xs
xsm
sm
md
lg

“พระพยอม” แคลงใจ เชื่อมีแก๊ง ขรก.รวมหัวฮุบที่ดิน 1 ไร่เศษ แพ้คดีทุกครั้ง จากคำว่า “ผู้รับโอนไม่มีสิทธิ์เท่ากับผู้โอน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“พระพยอม” กล่าวเห็นใจ “นางวันทนา” ผู้ที่ขายที่ดิน 10 ล้านบาท ให้วัดสวนแก้ว คาดถูกกล่อมให้เซ็นยอมความ จนมูลนิธิวัดสวนแก้ว แพ้คดีข้อพิพาทที่ดิน 1 ไร่เศษ จากคำตัดสินของศาลคำเดียว “ผู้รับโอนไม่มีสิทธิ์เท่ากับผู้โอน” เผยต้องเปลี่ยนทนายถึง 3 ชุด แต่แพ้คดีรวด ถามคนขายให้ตรวจสอบ กลับถูกตอกกลับว่าเป็น “พระขี้ระแวง”

กรณีข้อพิพาทที่ดินวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ที่ พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กลฺยาโณ เป็นเจ้าอาวาส เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2547 ทางพระพยอม ได้ซื้อที่ดินจาก นางวันทนา สุขสำเริง ในราคา 10 ล้านบาท ผ่านไป 2 ปี พระพยอมได้เข้าพัฒนาพื้นที่ทุกอย่างเรียบร้อย แต่ปรากฏว่า มีทายาทตัวจริงของเจ้าของที่ดินแปลงนี้ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอเพิกถอนสิทธิการครอบครองโดยปรปักษ์ที่ดินผืนดังกล่าวของนางวันทนา เพราะแม่เป็นคนให้นางวันทนาเช่าทำมาหากินเป็นเวลาหลาย 10 ปี เมื่อแม่ตายนางวันทนาได้ไปร้องศาลเพื่อขอกรรมสิทธิ์ครอบครองที่ดินผืนดังกล่าวโดยปรปักษ์ และนำไปขายให้วัดสวนแก้ว จนมีการต่อสู้คดีระหว่างมูลนิธิวัดสวนแก้วในฐานะผู้ซื้อที่ดิน กับทายาทเจ้าของที่ดินเดิม ซึ่งศาลมีคำพิพากษาเมื่อปี 2551 ให้วัดสวนแก้วแพ้คดี ทางวัดได้สู้คดีถึงชั้นฎีกา และศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้องฎีกาเมื่อปลายปี 2562 ล่าสุด เจ้าของที่ดินได้ส่งเอกสารแจ้งให้ทางวัดย้ายออกจากที่ดินภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2563 นี้

สำหรับข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว ช่วงเย็นวานนี้ (15 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ วัดสวนแก้ว อ.บางเลน จ.นนทบุรี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง โดยพระพยอม ระบุว่า เมื่อปี 2547 นางวันทนา ได้ขอให้กรมที่ดินออกโฉนดถือกรรมสิทธิ์ครอบครองโดยปรปักษ์ให้ ก่อนที่นางวันทนา นำมาขายต่อในราคา 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่ดินมีขนาด 1 ไร่ 1 งาน 55 ตารางวา และเป็นทำเลทอง เนื่องจากติดถนนใหญ่ และเป็นการซื้อขายที่ถูกต้อง เมื่อพระพยอมพยายามถามเจ้าหน้าที่ที่ดินที่ผู้ดำเนินการ ว่า หากเซ็นซื้อที่ดินดังกล่าวแล้วจะมีปัญหาตามมาหรือไม่ หรือโฉนดแผ่นนี้ถูกต้องตามกระบวนการกฎหมายแล้วหรือไม่ ติดจำนอง ธนาคารหรือไม่ ติดขัดบกพร่องที่จะซื้อแล้วเสียหายหรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐกลับบอกว่าทำไม “พระพยอมขี้ระแวง”

จากนั้นพระพยอมก็ได้เข้าไปสร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อที่จะนำพื้นที่ดังกล่าวโดยใช้เงินจำนวน 800,000 บาท เพื่อสร้างเป็นบ้านพักคนงาน และเตรียมตั้งพื้นที่ขายสินค้าของคนงานภายในมูลนิธิวัดสวนแก้ว จากนั้นผ่านไป 2 ปี กลับกลายเป็น มีเจ้าของที่ดินเดิมเข้าชี้แจง กับพระพยอม ว่า ไม่ใช่ที่ของนางวันทนา จนต้องเข้าสู่กระบวนการของศาลมีการยื่นฟ้องกันหลายครั้ง พระพยอมเปลี่ยนทนายความไปถึง 3 ชุด แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ได้โทษว่าทนายความไม่มีความสามารถพอในการว่าความคดีดังกล่าว ทำให้พระพยอมต้องแพ้คดีถึง 3 ครั้ง จนสิ้นสุดคำตัดสินของศาลที่พระพยอมแพ้คดีและต้องนำที่คืนให้แก่เจ้าของเดิมซึ่งไม่ใช่นางวันทนา แต่ทั้งนี้ ก็จะไม่โทษว่า ทนายยุคนั้นมือไม่ถึงหรือว่าสอดเรื่องขึ้นศาลไม่ตรงจุด หรือผิดเวลาจนทำให้ล่าช้าเกินเวลา

ซึ่งพระพยอมได้ตั้งข้อสงสัยว่า หากโฉนดไม่สามารถซื้อขายได้และศาลใช้คำว่าผู้รับโอนไม่มีสิทธิ์เท่ากับผู้โอนทำให้แพ้คดีจึงต้องการย้อนถามว่าหากคนทำหน้าที่โอนรู้ว่าถ้าโอนไปแล้วไม่มีสิทธิ์ ซื้อของไปแล้วไม่ได้ใช้ จะขายจะโอนกันได้หรือไม่ พร้อมอยากฝากถึงรัฐบาล ควรรับข้าราชการที่สามารถรับใช้แผ่นดินได้ ไม่ใช่รับคนที่ทำงานไม่เป็น

นอกจากนี้ พระพยอม ยังตัดพ้อถึงคำพูดที่ว่า “ประเทศมีศาล มีข้าราชการ ถ้าให้ศาลแพ้ ราชการแพ้เดินต่อไม่ได้ แต่ถ้าพระพยอมแพ้องค์เดียวไปต่อได้”

พร้อมกันนี้ ยังกล่าวถึงนางวันทนาด้วยความเห็นใจ ว่า หลังจากที่พระพยอมได้พูดคุยกับนางวันทนาแล้วนางวันทนาได้เล่าให้พระพยอมฟัง จึงอยากให้ผู้สื่อข่าว อย่านำเสนอหรือพูดถึงนางวันทนาเลย คนเข้าใจผิดคิดว่าน่าจะฟ้องนางวันทนา แต่นางวันทนาเป็นคนที่น่าสงสาร เพราะที่ดินขายให้กับพระพยอมจำนวน 10 ล้านบาท เงิน 2 ล้าน ก็ไม่ได้ใช้ ที่เหลือถูกนำไปเป็นค่าดำเนินการ และค่าธรรมเนียม ซึ่งแต่ละอย่างมูลค่าหลักล้านบาท ตั้งแต่ค่าทนายไปจนถึงส่วนอื่นๆ ทำให้ไม่เหลือเงินมาถึงนางวันทนา


นอกจากนี้ พระพยอมยังกล่าวถึง กรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้เดินทางเข้าไปพบนางวันทนาที่บ้านพัก โดยนางวันทนาได้อ้างว่าถูกกล่อมให้มีการเซ็นยอมความ ถอนตัวเองจากกรรมสิทธิ์ที่ดินส่งผลให้พระพยอมแพ้คดี พระพยอมจึงตั้งข้อสังเกตว่า คนทั่วไปมีอย่างที่ไหนได้ที่ดินมาแล้วกลับไปเซ็นยอมความได้ง่ายๆ ต้องมีแรงจูงใจอะไรซักอย่างให้นางวันทนายอมความ โดยนางวันทนาอ้างกับนายชูวิทย์ ว่า ถูกกล่อมและอ้างถึงตัวพระพยอม ว่าหากเซ็นยอมความ เจ้าของที่ดินเดิมจะไม่ฟ้องพระพยอม แต่หากต่อสู้ในชั้นศาล ว่าครอบครองโดยปรปักษ์เจ้าของที่ดินจะดำเนินการฟ้องพระพยอมด้วย

ส่วนกรณีว่าที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลาหลายปีได้มีการพูดคุยกับครอบครัวนายถนอมหรือไม่นั้น พระพยอมระบุว่าคุยกันมาถึง 5 ครั้ง รอบแรกพระพยอมเสนอว่าจบกันถือไม่พร้อมเสนอเงินให้ 3 ล้าน (จากเดิมที่ซื้อไป 10 ล้าน) แต่ฝั่งคู่กรณีกลับบอกว่า “แหม ผมอัดไปตั้ง 10 ล้าน” จึงตกลงกันไม่ได้ “แต่ถ้า 15 ล้าน จะตกลง” ต่อมาศาลได้ไกลเกลี่ยอีกครั้ง ว่าจะตกลงสิ้นสุดคดีการที่จำนวนเงินเท่าไหร่ ซึ่งฝั่งคู่กรณีก็ได้ขยับจำนวนเงินขึ้นมาเรื่อยๆ และอ้างว่ามีคนขอซื้อที่ดินดังกล่าวจำนวน 80 ล้านบาท ทำให้พระพยอมต้องกล่าวตอบกลับว่า ให้รีบขายที่ดินดังกล่าวแก่ผู้ที่ต้องการซื้อจำนวน 80 ล้านบาทไป และนำเงิน 10 ล้านบาทมาคืน พระพยอมแทน

ส่วนหลังจากนี้จะมีการฟ้องร้องอย่างไรต่อไปหรือไม่นั้นพระพยอมระบุว่า จะรับฟังคำปรึกษาจาก อ.ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี ว่าจะมีแนวทางอย่างไร

“แต่อาตมาจะไม่ใช้วิธีการร้องไห้ออกโทรทัศน์ได้ 10 ล้าน เหมือนแท็กซี่เด็ดขาด มันเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายชาติพระ” พระพยอมกล่าว

นอกจากนี้ พระพยอมยังตั้งข้อสังเกตว่าหลังจากที่ได้ซื้อที่ดิน 1 ไร่เศษ แห่งนี้มาแล้วก็ได้เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินกว่า 2 ปี 7 เดือน เหตุใดเจ้าของจึงไม่เห็นในเมื่อเป็นที่ดินติดถนน และเหตุใจถึงเข้ามาเรียกร้องสิทธิ์ที่ดินตัวเองหลังเวลาผ่านไปนาน
ซึ่งปัจจุบันพระพยอมก็ยังคงเก็บโฉนดที่ดินตัวจริงไว้แต่หากคู่กรณีอยากได้ต้องนำเงินจำนวน 10 ล้านบาทมาไถ่คืน

หลังจากนี้ หากมีคำสั่งศาลออกมาและบังคับคดี ถึงที่สุดแล้ว และมีการนำเอกสารฉบับจริงที่เป็นคำสั่งศาลเข้ามาขอคืนพื้นที่ก็จะออกจากพื้นที่

“เราจะเป็นประชาชนที่ดื้อรั้นต่อกฎหมายบ้านเมืองมันไม่มีความสุข” พระพยอมกล่าว

“ตอนนี้อาตมาเหลือเรื่องเดียวอยากขอบิณฑบาตข้าราชการทั้งประเทศไทย ถ้าไม่รู้กรุณาอย่าชี้ถ้าไม่รู้ว่าที่ดินแปลงนี้โอนแล้วมันจะไม่มีสิทธิ์กับผู้รับโอน ขอให้เจ้าหน้าที่รับรู้เรื่องนี้หน่อยข้าราชการ ส.ส. ออกกฎหมายช่วยหน่อย ถ้าข้าราชการคนไหนไม่รู้เรื่องนี้อย่าให้รับราชการพอรับไปแล้วบ้านเมืองเสียหายประชาชนเสียหายเอาคนไม่รู้เรื่อง โบราณว่าไม่รู้ไม่ชี้ ....ไอ้นี่ไม่รู้ แต่ดันชี้ ให้ซื้อเลย เชียร์เราทำหน้าที่โอนให้เราอีก” พระพยอมกล่าว

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีข่าวลือว่านางวันทนาได้หลบหนีจากผู้สื่อข่าวและกลุ่มของเจ้าของที่ดินเดิม ไปอยู่บ้านพักที่อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถาม ส่วนอีกกระแสข่าวหนึ่งก็ระบุว่า นางวันทนาเสียชีวิตแล้ว โดยก่อนเสียชีวิตนางวันทนามีโรคประจำตัวด้วยโรคชรา และเป็นผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดเกี่ยวกับนางวันทนา


กำลังโหลดความคิดเห็น