“ประภาส ชลศรานนท์” นักเขียน เขียนถึง “ตั้ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง” ผู้ล่วงลับ เป็นพระเอกตลอดกาล ชี้ เป็นคนให้ความสำคัญกับอาชีพนักแสดง และทุกคนเสมอกันไม่ว่างานเล็กหรือใหญ่ ผ่านไปกี่ปียังเป็นคนเดิม แม้แต่วันจะลาก็ไปแบบพระเอก ไม่ให้ใครเดือดร้อน ไม่ให้ใครตั้งตัว
วันนี้ (11 มิ.ย.) จิก-ประภาส ชลศรานนท์ ศิลปินแห่งชาติ ปี 2561 นักเขียน ศิลปินวงเฉลียง และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง “ตั้ว-ศรัณยู วงษ์กระจ่าง” ดารานักแสดง และผู้กำกับ ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับ เมื่อวานนี้ (10 มิ.ย.) ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งจิกได้รู้จักกับตั้วในฐานะเพื่อนร่วมคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ความว่า
“พระเอกตลอดกาล
สี่สิบสองปีก่อน
เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งเพิ่งมารู้จักกัน หัวหกก้นขวิดเป็นเพื่อนกัน คบกันโดยไม่ต้องสัญญิงสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนกันไปตลอดชีวิต แม้ผ่านมาถึงวันนี้มันจะเป็นอย่างนั้น
ในกลุ่มเด็กถาปัดกลุ่มหนึ่งที่แต่งเนื้อแต่งตัวมอมแมม เดินสะพายกระเป๋าใบใหญ่ๆ ที่เมื่อเดินผ่านไปทางไหน นิสิตหญิงมักจะเดินเลี่ยงออกห่างๆ ไม่รู้จะเป็นด้วยกลิ่นตัวที่เหมือนกับอาบน้ำมาไม่ค่อยสะอาดนัก หรือจะเป็นด้วยผมเผ้าที่ยาวประบ่าจนบุคลิกดูน่ากลัว
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งโดดเด่นกว่าใครๆ ในกลุ่มหนุ่มขี้หมาก้อนนั้น ใครจะไปคาดคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะเติบโตมาเป็นพระเอกแห่งยุคของประเทศไทยในวันหนึ่งข้างหน้า
ในวันนั้น แม้จะแต่งตัวปอนๆ แต่ความปอนไม่อาจบดบังวงหน้าที่ได้รูปของเขา รวมไปถึงรูปร่างที่สูงโปร่งเกินเด็กหนุ่มด้วยกัน
เพื่อนๆ นอกจากจะเรียกชื่อเล่นของเขาว่าตั้ว พวกเรายังเรียกหยอกเพื่อนคนนั้นว่า ไอ้พระเอก
จะว่าไปเขาเป็นพระเอกจริงๆ พระเอกในแบบที่เราจะเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเท่ แมน ลูกผู้ชาย ในแบบที่ผู้ชายเห็นแล้วอยากเข้าไปโอบไหล่แรงๆ และในแบบที่ผู้หญิงเห็นแล้วแอบยิ้มให้
ตั้ว เป็นที่รักของเพื่อนและรุ่นพี่รุ่นน้อง เขาไม่เอาเปรียบใคร มีน้ำใจ มีสปิริตเป็นยอด แทบจะไม่มีครั้งไหนเลยที่เมื่อเพื่อนขอความช่วยเหลือ หรือรุ่นน้องชักชวนให้ทำกิจกรรมเพื่อส่วนรวมแล้วตั้วไม่รับปาก ไม่ว่าจะเป็นงานระดับคณะหรืองานระดับมหาวิทยาลัย
เราจึงเห็นตั้วเล่นรักบี้อยู่กองหน้าเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ไปค่ายอาสาพัฒนาถือค้อนปีนป่ายอยู่บนโครงหลังคาอาคารเรียนที่กำลังสร้างแทบทั้งวัน ขึ้นโต้วาทีกับนิสิตต่างคณะ เป็นหัวหอกนำรุ่นน้องไปสร้างเต็นท์หรือแลนด์มาร์กในกิจกรรมของคณะ
และเมื่อถาปัดทำละครเวทีเพื่อหาเงินให้คณะ ใครเล่าจะเหมาะสมเป็นพระเอกได้เท่าตั้ว
สามก๊ก โชกุน น่านเจ้า ละครถาปัดที่ตั้วยึดตำแหน่งพระเอกไว้ทั้งหมด
รวมไปถึงไปช่วยเล่นเป็นพระเอกให้ละครฝั่งอักษรศาสตร์อีกหลายเรื่อง
เมื่อเรียนจบ ตั้วก็ยึดเอาการแสดงเป็นอาชีพ
และต้องยอมรับว่าเขาเป็นนักแสดงที่เก่งจนหาตัวจับได้ยากคนหนึ่งของเมืองไทย
ตั้วให้ความสำคัญกับอาชีพนักแสดง เขาเคารพและตั้งใจกับมันเหมือนกับอาชีพอื่นๆ เหมือนกับชาวนาที่ซื่อสัตย์กับท้องนาตัวเอง เหมือนกับชาวประมงที่รักท้องทะเล
ในกองถ่ายภาพยนตร์และละคร ภาพของตั้วที่ปลีกตัวไปนั่งศึกษาบทเพียงลำพังไม่มานั่งตั้งก๊วนเฮฮา จึงเป็นภาพคุ้นตา
แม้แต่ละครเวที ตั้วก็มักจะหายไปก่อนการแสดงเพื่อทำสมาธิให้พร้อมกับการแสดงที่กำลังจะเกิดขึ้นเสมอ
พวกเราจึงเห็นตั้วสามารถสวมวิญญาณเป็นผู้คนได้มากมายในบรรณพิภพอย่างสนิทใจ
ชายผู้นี้เป็นทั้งชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์อย่างชายกลาง เป็นไอ้หนุ่มลูกทุ่งนามว่าไอ้คล้าว เป็นดอน กิโฆเต้ เป็นกามนิต เป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เป็นโดมผู้จองหอง เป็นผู้กองศยาม เป็นอานนท์ของเจ้าสาว เป็นคุณหลวงอัครเทพวรากร และแม้แต่สุธีสามสี่ชาติ ตั้วก็เคยเป็น
สิ่งเดียวที่ผมเห็นในตัวเขาที่ทำให้เขาเป็นเอกในการแสดงก็คือ
เมื่อเขาพูดประโยคใดออกมา ไม่ว่าจะในนามของตัวละครใดในวรรณกรรม
เราจะเชื่อทันทีว่าเขาเป็นดั่งนั้น
เพราะเขาเชื่อในตัวละคร
เราจึงเชื่อในตัวเขา เราจึงร้องไห้ไปกับเขา เราจึงหัวเราะไปกับเขาได้อย่างมีความสุขเสมอ
ถึงวันนี้แล้ว ตั้วถูกยอมรับให้เป็นคุรุทางการแสดงคนหนึ่ง แม้จะไม่ได้เป็นอาชีพครูสอนการแสดงโดยตรง แต่ลูกศิษย์ลูกหาของตั้วถึงทุกวันนี้นั้นมีไม่น้อย
มากกว่าอะไรทั้งหมดคือ ตั้วไม่มีค่าย ตั้วไม่ชอบสังกัด เขาจึงสามารถร่วมงานกับใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ระดับชาติอย่างท่านมุ้ย หรือนักศึกษาที่เพิ่งหัดกำกับละครเวทีเล็กๆ ที่มีคนดูเพียงไม่กี่ร้อยคน เขาให้ความสำคัญกับทุกคนเสมอกัน
ผมจึงว่าเขาจึงเป็นพระเอกทั้งในจอและนอกจอ
ผมกับตั้วคลุกคลีตีโมงกันอย่างหนักก็ประมาณห้าปีที่ร่ำเรียนที่สถาปัตย์ พวกเราไปกินนอนอยู่ที่บ้านเขาก็พักใหญ่ รวมไปถึงการได้ไปตะลอนเที่ยวต่างจังหวัด ไปทำละคร เล่นกีฬา ไปค่าย และตั้งวงดื่มสุราตามวิสัยคนหนุ่ม
หลังจากเรียนจบ แม้จะอยู่วงการเดียวกัน แต่เราแทบไม่ได้ร่วมงานกันเลย ผมมุ่งไปด้านดนตรีแต่งเพลงเขียนหนังสือ ส่วนตั้วก็สะสมสร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซอยู่ตลอด จนเพื่อนๆ ภูมิใจแทน
ได้มาร่วมงานกันจริงๆ ก็คราวทำละครเทิดพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ ๙ เรื่องพ่อ
ซึ่งตั้วมารับบทพระเอกตอนที่ชื่อว่าชีวิตที่พอเพียง และเป็นตอนที่นำพาละครไปคว้ารางวัลยอดเยี่ยมเอเชี่ยน เทเลวิชั่น อวอร์ด ที่สิงคโปร์ ใครที่ได้ดูละครเรื่องนี้ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พลังของตั้วนั้นมีมากมายจริงๆ
เมื่อเราต่างมีครอบครัว มีงานมีบริษัทที่แยกย้ายสาขากันไป
นานๆ ทีก๊วนคนหนุ่มก้อนขี้หมากลุ่มนั้นก็จะมาพบปะเฮฮากัน ได้พูดจากันเหมือนครั้งยังเป็นเด็กสักที
ในช่วงที่ตั้วเป็นพระเอกแห่งยุค เพื่อนๆ อาจจะเจอเขาน้อยหน่อย และก็เข้าใจได้ว่างานการของนักแสดง เป็นงานที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เมื่อกองถ่ายขอคิวด่วนมา เป็นธรรมดาที่นักแสดงที่รักการแสดงจริงๆ และอยากให้ผลงานออกมาดีก็มักจะเสียสละความเป็นส่วนตัวและรีบรับคิวไปทำงานก่อน
สองสามปีก่อน เราเพิ่งเลี้ยงปีใหม่กัน และก็ได้กลับมาพูดจาไร้สาระเหมือนครั้งยังเป็นรุ่นกระทงกันอีก ตั้วยังเหมือนเดิม เป็นที่รักของเพื่อน ไม่เคยถือตัว พวกเราสนุกกันจนบางทีผมก็นึกขันว่า ชายวัยกลางคนที่ยังสง่างามคนนี้คนที่ยืนหัวเราะตบบ่าเพื่อนอย่างสนุกอยู่ข้างหน้านี้คือ พระเอกแห่งยุคคนหนึ่งของสยาม
ผมถามตั้วในวันนั้น ระหว่างที่พักหัวเราะกับเกมสนุกๆ ที่เราเล่นกัน
“งานเป็นไงบ้าง วางแผนอะไรไว้”
ตั้วตอบสั้นๆ แบบไม่ต้องคิด
“ยังสนุกอยู่ แผนวางไม่เยอะ แต่ดีใจที่ยังมีคนเสนอบทที่ท้าทายมาให้เล่นอยู่”
ตั้วเป็นพระเอกตลอดกาลของผมจริงๆ
แม้แต่วันจะลาไป ตั้วก็ไปแบบพระเอก ไปแบบไม่ให้ใครเดือดร้อน ไปแบบไม่ให้ใครตั้งตัว
ไปแบบพระเอกที่เคยช่วยนางเอก แล้วตอนจบก็ขี่ม้าออกไปจากหมู่บ้านอย่างมีความสุข
แม้จะเศร้าเหงาไปสักหน่อย แต่พระเอกคนนี้คงอยากให้พวกเราเก็บน้ำตาไว้ เก็บพลังใจไว้ เก็บสิ่งดีๆที่เขาสร้างไว้เป็นความทรงจำตลอดไป”