xs
xsm
sm
md
lg

จากลูกจ้างเงินเดือนหลักร้อย สู่เจ้าของกิจการความอร่อย “เซียนซอสหมี่”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จากความชอบโดยส่วนตัวที่ชอบรับประทานอาหารประเภทเส้นต่างๆ ทำให้ 'บุญชูดวงรัตน์ ทองประเสริฐ' มีความคิดที่จะทำกิจการเกี่ยวกับสิ่งนี้ให้ได้ในซักวันหนึ่ง จนกระทั่ง เมื่อได้ไปทานอาหารโปรด แต่กลับพบว่า รสชาติถูกเปลี่ยนแปลงไป นั่นจึงทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการทำผลิตภัณฑ์ ‘เซียนซอสหมี่’เส้นบะหมี่หรือก๋วยเตี๋ยวกึ่งสำเร็จรูปมาพร้อมกับซอสปรุงรสที่ถือว่าเป็นตัวเลือกใหม่ให้กับคนที่ชอบทานเส้น ในเวลานี้

อยากให้ช่วยเล่าถึงชีวิตในเบื้องต้นพอสังเขปหน่อยครับ

ตอนนั้นเป็นลูกจ้างทั่วไปค่ะทำแพ้คเกจจิ้ง คอยคัดพลอยบ้าง เพราะว่าเจ้านายก็ให้เราทำหลายอย่าง โรงงานก็อยู่ตรงสวนพลู1 ค่ะ ส่วนหน้าร้านก็อยู่ที่เจริญกรุง แถวไปรษณีย์บางรัก แต่เราก็ไม่ได้ทำงานนี้อย่างเดียวนะคะในช่วงที่เราว่าง ด้วยความที่เขาจะมีวันหยุดให้เราคือวันอาทิตย์ เราก็ออกไปหาของขายหมายความว่า เราจะออกไปพวกเนื้อสัตว์ต่างๆ มาขาย แล้วอีกอย่างส่วนใหญ่คนที่จะมีร้านอาหาร เขาก็จะทอดเนื้อหรือหมูขาย ก็จะเอาข้าวเหนียวมาแพ็คกับหมูแล้วก็ขายในโรงงานช่วงเช้า ก่อนที่จะเข้าทำงาน ช่วงเที่ยงและเย็นเราก็ขาย หรือบางทีเราก็รับขนมปังมาขายได้ 125-130 บาทต่อวัน หรือบางวันก็ผัดข้าวผัดขาย ขายของสารพัด พอขายได้เราก็จะเก็บเงินเราเป็นชอบกินเส้น เวลาที่ไปกินในที่ต่างๆ ก็มีความรู้สึกว่ามันอร่อย เพราะว่าเราไม่เคยกินเลยอย่างดีก็เส้นก๋วยเตี๋ยว ชามละ 4 บาท ซึ่งมันอร่อยมาก มันก็เลยเป็นตัวที่จุดประกายว่าถ้าเงินเดือนไม่ออก เราจะยังไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยว ยิ่งเส้นบะหมี่นะ จะอร่อยมาก เราก็จะแอบห่อข้าวไปเพราะว่าเขาไม่ให้เอาข้าวออก เราก็นัดเพื่อนไปกินกัน มันก็ยิ่งปลูกฝัง เพราะว่าเราชอบกินเส้นมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว

ลักษณะงานที่ทำในตอนนั้นเป็นยังไงครับ

เราเป็นเด็กบ้านนอก บ้านอยู่ที่โคราช มีพี่น้อง 4 คน เราเป็นคนที่3 แต่พ่อเสียชีวิตตั้งแต่เราอายุ 4 ขวบ อันเนื่องมาจากถูกฆาตกรรม ส่วนแม่ขายผัก ส่วนพ่อก่อนเสียชีวิตก็เป็นชาวสวนชาวนาพอพ่อเสีย แม่ก็พาเราไปขายผักด้วยการหาบ ช่วยกัน 4 คน เพราะว่าน้องสาวตอนนั้นยังเล็กอยู่แล้วด้วยความที่เราเป็นคนที่พูดเก่ง แม่ก็เลยให้ไปขายของด้วย เลยได้รับการปลูกฝังในเรื่องค้าขายมาเราเรียนจบแค่ ม.3 จะเรียนต่อ ม.4 แต่ไม่มีเงินเรียน ก็เลยเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯมาทำงานในบริษัทจิวเวอรี่ ได้เงินรายเดือนละ 250 บาท โอที 4 ชั่วโมง ได้ 10 บาท ได้บะหมี่1 ห่อ พร้อมซอสปรุงรส ทำงาน 6 โมงเช้า เราตื่นมาตั้งแต่ตี 5 แล้วมาทำงานช่วงเช้าก่อนกินข้าวจน 8 โมงเช้า เขาให้ทานมื้อเช้า มีเวลาทานครึ่งชั่วโมง แล้วก็ทำงานต่อ จนถึงพักเที่ยงหลังจากนั้นหลัง 6 โมงเย็น เขาก็ปล่อยให้เราพักกินข้าว แล้วก็ทำงานต่อจนถึง 2 ทุ่มเขาก็ปล่อยแล้วก็ได้อาหาร 1 ห่อ

จุดประกายแรกในการเป็นเจ้าของกิจการ

มีอยู่วันหนึ่งเจ้านายให้เราไปทำงานที่ไปรษณีย์กลาง เขาจะให้เงินค่ารถไป 2 บาท เพื่อให้เรานั่งรถสองแถวไปแต่เราจะไม่ขึ้นรถ เราเดินไปแทน เพื่อเก็บเงินนี้ไปกินก๋วยเตี๋ยว แต่ในการไปแต่ละครั้งเราก็ไม่ได้ไปคนเดียวนะ เราไปกับเพื่อน สมัยก่อนมันต้องเดินผ่านนะ ผ่านวัดดอน มันทะลุไปบางรักได้ก็ไปกัน แต่ช่วงนั้น เรายังอายุประมาณ 17-18 ยังแข็งแรงอยู่ ก็จะวิ่งแข่งกันไป เพราะว่ากลัวผี(หัวเราะ) เพื่อเก็บเงินที่ว่านี้มากินก๋วยเตี๋ยว แล้วก็เห็นคนในรถเก๋งเขาป้อนข้าวลูกเขาเราก็ติดว่า เขาทำอะไรถึงรวยจัง เห็นเขามีความสุขนะ แต่เราเข้าแถวกินข้าว และถือจานข้าวให้แน่นด้วยถ้าร่วงก็โดนด่าอีก วันไหนแม่บ้านอารมณ์ดี ก็จะตักข้าวให้เยอะ แต่เราจะไม่ค่อยได้กินหรอกเพราะเพื่อนๆ จะรู้ดีว่า เราเอาอะไรมาขายต่างๆ


เรียกได้ว่า มีความฝันที่จะเป็นเจ้าของกิจการ แต่ก็พบอุปสรรคเช่นเดียวกัน

อย่างตอนที่เราเข้ามาในกรุงเทพ เรามีเงินแค่ 50 บาทเอง พร้อมกับเสื้อผ้าไม่กี่ชุด แค่นั้นเอง ไม่ได้มีอะไรเลย เราเคยถึงขนาดที่ว่า ไม่มีข้าวกิน และ นอนอยู่ที่สวนลุมพินีเป็นเดือนมาแล้ว มันเป็นช่วงที่เราออกจากงานจิวเวอรี่ แล้วไปทำงานแถวดินแดง ช่วงที่ตกงาน เราต้องไปอาศัยกับเพื่อน ช่วงนั้นคือ เหมือนกับอยากเปลี่ยนชีวิต อยากลองอาชีพใหม่ อยากรู้ว่าโลกภายนอกเป็นยังไง เราไปเจอโรงงานแห่งหนึ่ง เป็นโรงงานทำพลาสติก เขาไม่ให้เราไปเป็นเดือนเห็นตะวันเลย แต่เราจะเป็นคนที่คล่องแคล่ว เขาเลยให้มาซื้อกับข้าวด้วย จนในที่สุดได้กรมแรงงานมาช่วยให้เราออกมา

ต่อมาเพื่อนก็ไปทำงานที่แถวช่องนนทรี เพื่อนจะทำงานที่โรงงานคัตตั้นบัต ทำงานเป็นกะ ถ้าวันไหนเขานอนกลางวัน เราก็จะได้นอนตอนกลางคืน 1 เดือน หรือถ้าสลับกัน ก็นอนอีกช่วง แต่ถ้าไม่มีที่นอน เราก็นอนที่สวนลุมพินี ตามที่บอก แล้วก็ค่อยๆ ทยอยทีละคน 2 คน ช่วงที่นอนที่สวน เพื่อนที่ไปด้วยกันก็ค่อยๆ ได้งาน สุดท้ายเราก็กลับมาทำงานที่เดิม ทำจนเราอยู่ตัวแล้ว ก็อยากเปลี่ยนอาชีพอีก ก็ไปขายของ ขายเสื้อผ้า แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

จนในที่สุด ก็มาทำโรงงานจิวเวอรี่เล็กๆ จะเป็นการรับจ้างฝังเพชรพลอย ซึ่งเป็นช่วงที่ทรหดมาก เงินทุนก้ไม่มี ถึงขนาดที่เดินจากถนนตกมาบางรัก เพื่อขอกู้เงิน 50000 บาท แต่ไม่มีใครให้เลย จนกระทั่งอยู่ไม่ได้ สุดท้าย ก็ไปเอานาแม่มาจำนอง แล้วเอามาหมุน จนทำงานได้ พอมีเงินก็มาผ่อนสิ่งต่างๆ จนมาเริ่มกับเซียนซอสหมี่ ซึ่งเปลี่ยนชีวิตเราเยอะมาก

คือทุกวันนี้ก็ยังทำงานเกี่ยวกับจิวเวอรี่นะ แต่น้อย คือเราเป็นลูกจ้างเขามา 10 กว่าปี แล้วเราก็มาเปิดกิจการทำในลักษณะนี้แต่แบบเล็กๆ พอเราดำเนินกิจการแล้ว มีเงินก็ไปเรียนทำอาหารและปรับปรุงสูตรของตัวเอง ด้วยความที่เราชอบทำอาหารอยู่แล้ว ทั้งจากแม่เอง แล้วจากเจ้านายที่เป็นคนจีน เขาจะให้เราไปมองซ้ายขวา ช่วยเขาหยิบต่างๆ แล้วก็ไปดูและจำ เลยทำให้เราเป็นคนที่รสมือใช้ได้ เลยได้ไปเรียนเพิ่มเติมที่ ม.สวนดุสิต พอได้ไปเรียน ก็มาจุดประกายให้เราอีกว่า ให้เราทำยังไง เราจะต้องรวย มีเงิน ไม่อดให้ได้ แต่ตอนที่ทำจิวเวอรี่ ก็ได้เงินมาซื้อบ้านให้ตัวเอง

พอมาปี 2560 ตลาดจิวเวอรี่มันเงียบๆ ไป มันไม่ค่อยมีออเดอร์ เราเลยคิดว่าจะเบนเข็มยังไงให้เรามีงานทำ เราเลยคิดว่าจะทำอะไรดี ก็เลยคิดว่าทำอาหารดีกว่า คือถ้าเราคิดจะทำแล้ว ก็ต้องใช้ต้นทุนแพง แล้วด้วยตัวเองที่ไม่อยากจะใช้ลูกน้องเยอะ ถ้าทำได้ด้วยตัวเอง ก็พยายามที่จะทำ เลยเกิดผลิตภัณฑ์เซียนซอสหมี่ออกมา


จุดเริ่มต้นของเซียนซอสหมี่ ก็มาจากการชอบทานอาหารจำพวกเส้นต่างๆ

ใช่ค่ะ คือเริ่มมาจากเราชอบกินก่อน อย่างที่บอก แต่ก่อนที่เราจะมาทำขาย ก็มีการผัดซอสทิ้งขว้างไปพอสมควรนะคะ มาประมาณ 5 ปี กว่าจะได้สูตรที่ได้ เราเอาไปให้คนอื่นกิน เขาก็ให้คำตอบเกี่ยวกับรสชาติมาพอสมควร เผ็ดไปบ้าง เค็มไปบ้าง จนมาได้สูตรที่ลงตัว ซึ่งมีทั้ง 2 แบบ ทั้งแบบปกติ และ แบบเจ แล้วเราก็ได้มาเห็นการขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาตั้งแต่เด็ก เราก็คิดได้ว่า มันต้องมีผลิตภัณฑ์ทำขึ้นมาเพื่อที่จะทานได้ง่ายๆ และทำแล้วอร่อย ซึ่งจุดประกายอีกครั้ง

มีวันหนึ่ง เราไปกับแฟน 2 คน ไปไหว้พระที่วัดไตรมิตร แล้วเราก็ชอบกินเส้นบะหมี่อย่างที่บอก เราก็ซื้อมา เพราะว่านั่งรอสวด วันที่เราไปกินคนเดียวมันอร่อยนะ แต่พอเป็นวันนั้นกลับไม่อร่อย เราเลยถามแม่ค้า เขาก็ตอบกลับมาว่า พ่อครัวลาออก เราก็คิดว่า ของมันอร่อยได้ ถ้ามีการเปิดร้านอาหาร แล้วถ้าคนทำเขาลาออก ก็จบเลยเหรอ มันก็ไม่ใช่ เราเลยมาคิดสูตรซอสของตัวเองเลยว่า ให้มันคงที่ทุกอย่าง จากนั้นก็มาหัดใส่เส้นของเราเอง ซึ่งก็จ้างโรงงานทำอีกที เพราะว่ามันก็มีการอบแห้ง ถ้าเราใส่ซอสลงไป มันอาจจะเสียได้ การที่จะอบแห้งนั้น มันต้องมีเครื่องที่มาตรฐานมาก่อน โดยทั่วไปจะมีการจ้างเขาทำ แต่นี่คือสูตรของเราเอง ตอนแรกเขาก็ไม่อยากทำให้ แต่ตอนหลังเขาเห็นความตั้งใจของเรา เขาก็ทำให้


จนต่อมาเราทำการขอ อย. ผ่าน โดยที่เราขอไปแบบไม่รู้เรื่องเลย เราทำเรื่องกับแฟน 2 คน ซึ่งกว่าจะได้มาก็ยากมาก ใช้เวลา 6-7 เดือนได้ หลังจากนั้นเราก็ไปขอในรูปแบบต่างๆ ทั้งเลขที่ บาร์โค้ด เหนื่อยมาก แต่สินค้าทำมาแล้ว เราก็ต้องทำ อย่างตัวบรรจุภัณฑ์ก็มีการพิมพ์แบบผิดๆ ถูกๆ นะ รูปแบบออกมา อาจจะมีความสวยนะ แต่รายละเอียดอาจจะยังไม่ครบเท่าไหร่ ภาษาต่างๆ ก็ไม่มี สุดท้ายก็ต้องมาที่ ภาษาไทย จากนั้น เราได้ไปขายงานแรก คือ เดอะมอลล์ ลดพิกัด ที่เมืองทองธานี คือเราเอาสินค้าไปเสนอที่เดอะมอลล์ก่อน เสนอขายในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่พอดีคุยในเรื่องรายละเอียดต่างๆ ไม่ลงตัว เราเลยขอเป็นไปออกอีเว้นท์เพื่อจะโปรโมตสินค้าก่อน เลยได้ไปออกร่วมกับเขา เราก็ลงร้าน ตอนแรก เราขาย 9 โมงเช้า ถึง เที่ยง เราขายได้ แต่พอบ่ายโมงถึง 5 โมงเย็น ของเราเสียหมดเลย เราก็ปรับปรุงในวันต่อมา จนมาถึงวันที่ 4 สินค้าถึงได้ลงตัว

จากนั้นเราก็ร่วมขายกับทางเดอะมอลล์มาเรื่อยๆ ทั้งในงานอีเว้นท์ต่างๆ แล้วก็ผ่านทางการขายออนไลน์ไปได้เรื่อยๆ แล้วก็ต้องอาศัยแจกชิม ในงานต่างๆ ต่อมาก็ได้มาขายที่เอ็มควอเทียร์ เขาเห็นว่าเราหน่วยก้านดี และสินค้าอร่อย ทางเขาเลยให้ขาย 45 วัน เราสามารถหาลูกค้าจากจุดนี้ได้ แบะได้อาศัยแบบปากต่อปาก นี่ก็ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งของเราเลย พอมาปี 2562 เราก็ทำการขายแล้วมีสื่อทางทีวีก็มาเห็นเราขาย แล้วขายดี ก็ให้เราไปออกทีวี จากนั้นก็มีหลายรายการให้ไปออกทีวีตามๆ กันมา ส่วนงานอีเว้นท์ ลูกค้าก็ต่อแถวยาวมาก จากนั้นก้ได้ไปออกรายการครัวคุณต๋อย ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พอจบรายการแล้ว ก็มีลูกค้าโทรมาสั่งซื้อสินค้าจากเราเพียบเลย แต่ช่วงนี้ติดช่วง โควิด-19 เลยไม่ได้ไปขายที่ไหนเลย


คุณมีวิธีให้กำลังใจตัวเองยังไงบ้างครับ

เราคิดว่า หนึ่ง ทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองรัก แล้วก็ ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว วันนี้จะเกิดปัญหายังไงช่างมัน เอาวันนี้ให้จบ แล้วพรุ่งนี้เริ่มใหม่ แต่เราต้องสู้ ต้องทำ อดทน อดกลั้น และ อดออม เก็บพลังวันนี้ สมมุติว่าวันนี้เกิดการแย่ที่สุด จงเก็บพลังวันนี้ไว้ แล้วคูณเข้าไป ให้มันมาพรุ่งนี้ให้ได้ อย่าจมกับผิดหวังของเมื่อวาน คือสวรรค์เขาให้ทุกคนมาเหมือนกัน แต่ใจเท่านั้นก็สู้ได้

ตลอดเวลา 3 ปี ของผลิตภัณฑ์ ในมุมของคุณเอง ถือว่าเป็นยังไงบ้างครับ

ในมุมของเราถือว่าดีมาก หมายความว่า สินค้าของเรามีผลิตภัณฑ์อย่างเดียว แต่ตอนนี้มีคนรู้จักเราไปทั่วประเทศแล้ว ทั้งต่างจังหวัด และต่างประเทศ ถึงขั้นโทรมาหาเราเลยว่า อยากได้สินค้าไปกินที่นั่น ถือว่าเป้นก้าวแรกในการทำธุรกิจนี้เลย ด้วยรสชาติของสินค้า แถมเอาตัวเส้นบะหมี่ฮ่องกงมาใส่ในซองและมีซอสปรุงรสด้วย ทำออกมาแบบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทำให้สะดวก พกพาไปไหนก็ได้ ทำให้ง่ายต่อการปรุง เลยทำให้ประสบความสำเร็จ

ตอนนี้เราขายทางออนไลน์อย่างเดียวค่ะ แล้วก็ขายแบบตั้งหน้าร้านที่บ้าน ส่วนราคาขายนั้น ซองเล็ก ชื่อ เธอกับฉัน ขายในราคา 70 บาท ผัดได้ 2 จาน ส่วนซองใหญ่ ชุด ครอบครัวสุขสันต์ จะอยู่ที่ราคา 220 บาท แล้วก็มีซอสอเนกประสงค์ ซองละ 30 บาท


ความคาดหวังของ ‘เซียนซอสหมี่’ ในอนาคตข้างหน้าครับ

เราอยากให้สินค้าของเรามีการวางขายทั่วประเทศ ประมาณว่า อยากมีวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ แล้วก็อยากให้ตัวผลิตภัณฑ์มีการขายที่ต่างประเทศ หมายถึงว่า ถ้าคนที่รู้จักสินค้าเราแล้ว ให้มีการบอกต่อว่ามันอร่อยมั้ย คือสินค้าของเรา มีสโลแกนว่า อร่อยทุกคำ ใครทำก็อร่อย เพราะว่ามันทำง่าย แล้วก็ตอนนี้กำลังทำซอสในสูตรต่างๆ เพิ่มขึ้นมา เพื่อรองรับตลาดที่เพิ่มขึ้นค่ะ

เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : แฟนเพจ “เซียนซอสหมี่”


กำลังโหลดความคิดเห็น