ถึงแม้ happy shopping จะเป็นน้องใหม่ในวงการธุรกิจโฮมชอปปิ้งของไทย แต่กลับเป็นแบรนด์ที่ติดตลาดอย่างรวดเร็ว การันตีด้วยยอดขายกว่า 185 ล้านบาทภายในระยะเวลาเพียง 7 เดือนที่เริ่มทำตลาด และยังเอาชนะใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะผู้สูงวัยได้อยู่หมัด ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จนี้ต้องยกให้ “เอย-อภิรวี พิชญเดชะ” เธอคือหัวเรือใหญ่ของ แฮปปี้ กรุ๊ป เป็นทั้งผู้ร่วมก่อตั้ง คิดสร้างสรรค์ร่วมกับทีมงาน พร้อมผลักดันให้แฮปปี้ ชอปปิ้ง ยังคงนำเสนอสินค้าและบริการชั้นยอด อย่าง “ถูกที่ ถูกเวลา ถูกกลุ่มเป้าหมาย” พร้อมก้าวสู่แบรนด์ในดวงใจนักชอปทุกกลุ่ม
การเดินทางของแบรนด์ happy shopping เริ่มต้นจากไอเดียสุดบรรเจิดของ “เอย-อภิรวี พิชญเดชะ” และทีมผู้บริหารคนเก่งที่มีความสนใจและต้องการจะกระโจนเข้ามาสู่ธุรกิจโฮมชอปปิ้ง ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอหลงใหลในธุรกิจนี้ ล้วนมาจากการปลูกฝังตั้งแต่วัยเรียนให้ฝึกคิดแบบนักการตลาด บวกกับโชคชะตาที่พัดพาเธอให้ทำงานหลากหลาย ช่วยบ่มเพาะประสบการณ์สุดท้าทาย กลายเป็นความเชี่ยวชาญการค้าผ่านทีวีและสื่อออนไลน์ในปัจจุบัน
MD ของ happy shopping วัย 37 ปี เล่าถึงช่วงชีวิตในวัยเด็กว่า เธอเป็นลูกสาวคนโตของบ้านคนไทยเชื้อสายจีน จึงถูกสอนมารยาทแบบคนไทย แต่ได้รับอิทธิพลทางความคิดแบบจีนจากคุณพ่อ ซึ่งเป็นผู้บริหารธนาคาร โดยสามารถนำตรรกะและกระบวนการคิดของท่านมาปรับใช้ทำงานได้ตลอด บวกกับการเป็นคนชอบคิด ชอบสังเกต ช่างสงสัย สนใจความคิดคนอื่น ตั้งคำถาม และมีความขบถในตัวเองสูง จะไม่เชื่ออะไรง่ายๆ จนกว่าจะพิสูจน์หรือลงมือทำด้วยตนเอง
“เรียกว่าเป็นเด็กหลังห้องก็ได้ เพราะเราสนุกกับการเป็นนักกิจกรรม ได้เป็นประธานรุ่น เป็นหัวหน้าทีม แต่เมื่อต้องจริงจังว่าจะเรียนอะไรต่อในระดับมหาวิทยาลัย เวลานั้นก็ตัดสินใจเรียนกฎหมายธุรกิจตามคำแนะนำของคุณพ่อ แต่ด้วยความเป็นนักกิจกรรมตัวยง จนได้รับใบประกาศนักกิจกรรมดีเด่น ทำให้เรารู้ตัวเองว่า เรามีนิสัยชอบแก้ปัญหา ชอบการทำงานสร้างสิ่งต่างๆ ให้คนรู้จัก ชอบวางแผนวิเคราะห์ นั่นคือทักษะของมาร์เก็ตติ้ง และประสบการณ์เป็นนักกิจกรรมนี้เองที่มีส่วนอย่างมากทำให้เราได้ทำงานบริษัทใหญ่ๆ”
“วิชาทำงาน” เทียบปริญญาตรี โท เอก
เอย-อภิรวี เผยว่าชีวิตการทำงานเริ่มต้นครั้งแรกที่บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย สอนให้รู้จักหลักการคิดธุรกิจอย่างเป็นระบบทั้งหมด และรู้จักคำว่า Database ในยุคที่คำนี้ยังไม่แพร่หลาย ซึ่งเปรียบเสมือนการเรียนปริญญาตรีด้านมาร์เก็ตติ้งที่แท้จริง และมีส่วนผลักดันให้เธอเชื่อมั่นว่า ชีวิตการทำงานคือห้องเรียนและการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด
สำหรับการทำงานที่เปรียบได้กับปริญญาโทนั้น นอกจากการศึกษาในระบบจนสำเร็จปริญญาโท ด้านการจัดการและวางแผนกลยุทธ์ ที่ College of Management, Mahidol University (CMMU) และเพิ่มพูนทักษะกับ Specialist Course และ E-Commerce ที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนซึ่งประสบการณ์ที่จีนคือตัวจุดประกายให้ผู้บริหารสาวคนนี้สนใจธุรกิจโฮมชอปปิ้งนั่นเอง และที่ต้องยกให้เป็นปริญญาโทอีกใบก็คือการทำงานที่บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมีโปรเจคสุดภาคภูมิใจ อย่างการพัฒนาโปรแกรม CRM เช่น ทุกวันเกิดลูกค้าทรูวิชั่นจะได้อัพเกรดขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น และการใช้ชื่อเรียกกำหนดตำแหน่งลูกค้า เป็นต้น
ส่วนการทำงานที่บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เหมือนกับการจบปริญญาเอก ซึ่งก่อนหน้านี้ ผู้บริหารแห่งCEO (เฮียฮ้อ หรือคุณสุรชัย) ว่า“คนเราถ้าไม่ลองอะไรใหม่ๆ ถ้าขวางหรือฝืนการเปลี่ยนแปลงของโลก เราจะอยู่ไม่ได้” เลยลองดูสักตั้ง และพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ให้ดีที่สุด ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากเพราะเราเริ่มจากศูนย์มาตลอด เราเรียนนอกหลักสูตร การทำงานเป็น Case Study และนี่คือจุดเริ่มต้นสู่การเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจโฮมชอปปิ้งในวันนี้”
บริหารองค์กรเหมือนคนในครอบครัว
กรรมการผู้จัดการบริษัท แฮปปี้ กรุ๊ป จำกัด เผยถึงความสนุกที่ได้เข้าไปศึกษาธุรกิจโฮมชอปปิ้งอย่างลึกซึ้ง ทดลองเปลี่ยนตัวเองเป็นคนซื้อสินค้าผ่านทีวี จนพบว่าเสน่ห์ของธุรกิจนี้คือการทำโฆษณาขายสินค้าเพียง 40 นาทีแต่สามารถปิดการขายได้ทันทีเมื่อลูกค้ายกหูโทรศัพท์เข้ามาหาเรา และจากการคิดแบบผู้บริโภค ทำให้เกิดไอเดียนำเสนอสิ่งใหม่ กล้าลองทำสิ่งที่แตกต่าง ด้วยกลยุทธ์ “Customer Centric” วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อตอบสนองความต้องการ “ถูกที่ ถูกเวลา ถูกกลุ่มเป้าหมาย”
“โจทย์ของผู้บริหารธุรกิจโฮมชอปปิ้งต้องแก้ปัญหาให้ไวที่สุดและรู้ใจลูกค้าให้ได้ ผู้บริหารไม่จำเป็นต้องเก่งทุกเรื่อง แต่ต้องพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกเรื่อง รับมือกับความท้าทายตลอดเวลา ที่สำคัญเราต้องกล้าแตกต่าง กล้าจะเสี่ยงส่วนตัวมี Passion อยากทำสินค้าไทยอยู่แล้ว จึงอยากยกระดับสินค้า OTOP ขึ้นมาขายบนทีวีและแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับและทำรายได้ดี หรือแม้กระทั่งการบริการแพคเกจท่องเที่ยวไม่ซ้ำใครก็มีเช่นกัน”
เมื่อธุรกิจยึดหลัก Customer Centric ส่งผลต่อรูปแบบการบริหารองค์กร ต้องยึดหัวใจผู้ร่วมงานด้วยเช่นกัน ซึ่ง 3 ปัจจัยที่เอย-อภิรวี ให้ความสำคัญ อันดับหนึ่งคือลูกค้า ตามด้วยพนักงาน ซึ่งผู้บริหารสาววัย 37 ปีจะใช้หลัก “อะไรที่เราไม่ชอบจะไม่ทำกับลูกน้อง” อีกทั้งต้องทำงานแบบทีมเวิร์ค เมื่อวาง Direction ของธุรกิจตรงกันทุกฝ่ายแล้ว จึงสามารถอธิบายเหตุและผลให้กันได้ และเมื่อพนักงานกว่า 80 คนอยู่ในช่วงวัยแตกต่างกัน ผู้บริหารจึงต้องเป็นฝ่ายปรับตัวเข้ากับคนทำงาน ซึ่งหากเกิดปัญหาจะพบความจริงได้เร็ว และพร้อมให้กำลังใจกันเพื่อเดินหน้าต่อ และส่วนสุดท้ายได้แก่ ผู้ถือหุ้น โดยจับมือกับเนชั่น ซึ่งนอกจากจะเรียนรู้ร่วมกันแล้ว ก็ต้องทำให้กลุ่มผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนมากที่สุด
“ทุกส่วนต้องสัมพันธ์กันทั้งหมด เมื่อทีมงานทำงานอย่างเข้มแข็งและยึดหลักการเดียวกันคือ Customer Centric ส่งผลให้ลูกค้าได้สินค้าที่ดี และได้รับสิ่งที่ต้องการ ก็ย่อมส่งผลดีต่อองค์กรและผู้ถือหุ้นตามมา ส่วนวิธีวัดความสำเร็จของตัวเองนั้นคือความสุข เหมือนชื่อแบรนด์ happy shopping ของเรา ความสุขคือตัวผลักดันให้อยากตื่นมาทำงานทุกวัน”
นอกจากการเดินหน้าธุรกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายสร้าง happy shopping ให้เป็นแบรนด์โฮมชอปปิ้งอันดับต้นๆ ในใจลูกค้าแล้ว เอย-อภิรวี ยังเผยถึงเป้าหมายส่วนตัว ยังคงออกเดินทางตามทวีปต่าง ๆทั่วโลก และในอนาคตจะเดินตามฝันในการเป็นอาจารย์ตอนอายุ 45 - 50 ปีเพราะต้องการนำความรู้และประสบการณ์ในการทำงานไปถ่ายทอดให้กับนักศึกษา ซึ่งอาจสร้างแรงบันดาลใจและสร้างสรรค์ธุรกิจที่จะเป็นเฟืองจักรสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไปได้นั่นเอง
เรื่อง : อรวรรณ เหม่นแหลม