ศาลพิพากษาจำคุกฐานฉ้อโกง 76 ปี เจ้าหนี้เงินกู้ดอกเบี้ยโหดในขอนแก่น แต่กฎหมายให้จำคุกสูงสุด 20 ปี พร้อมคืนเงินและโฉนดที่ดินผู้เสียหาย ถือเป็นคดีแรกภาคอีสาน สมัยศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมฯ ตามจับและคืนที่ดินชาวบ้าน
วันนี้ (22 เม.ย.) รายงานข่าวระบุว่า ศาลจังหวัดขอนแก่นพิพากษาเมื่อวันที่ 27 มี.ค. ให้จำคุกผู้ต้องหารายหนึ่งที่เป็นเจ้าหนี้เงินกู้ดอกเบี้ยโหด 4 ราย ในจังหวัดขอนแก่น คนละ 20 ปี ในความผิดฐานฉ้อโกง ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ความผิดต่อ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา และความผิดต่อประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ที่พนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่น พร้อมผู้เสียหายรวม 11 ราย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อปี 2561 หลังให้กู้ยืมโดยคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ปกปิดข้อความจริงเกี่ยวกับการคิดอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้จำเลยทั้งสี่ได้ไปซึ่งทรัพย์จากผู้เสียหายโดยทุจริต อันเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
โดยศาลตัดสินให้จำคุกฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน 38 กระทง กระทงละ 2 ปี รวมจำคุกคนละ 76 ปี ร่วมกันประกอบธุรกิจให้สินเชื่อส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาตคนละ 4 เดือน ไม่นับรวมจำเลยบางคนถูกจำคุกฐานร่วมกันให้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ร่วมกันใช้เอกสารปลอม ร่วมกันให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด แต่เมื่อรวมโทษจำคุกแล้วต้องไม่เกินคนละ 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91(2) จึงให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 20 ปี พร้อมกันนี้ ศาลยังมีคำสั่งให้คืนเงินแก่ผู้เสียหาย 8 ราย พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และคืนที่ดินจำนวน 11 แปลงใน ต.ท่าตลาด อ.สามพราน จ.นครปฐม ให้แก่โจทก์ร่วม
อย่างไรก็ตาม จำเลยทั้งสี่ได้ยื่นขอประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป
การพิพากษาคดีดังกล่าวถือเป็นคดีแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมี พล.ต.ท.สุรเชษฐ หักพาล ในขณะนั้นเป็นรองผู้อำนวยการศูนย์ฯ ได้ดำเนินคดีกับนายทุนเงินกู้นอกระบบ และยังมีการเจรจาคืนโฉนดที่ดินให้กับชาวบ้านรวม 11 ครั้ง ตามนโยบายเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อย่างไรก็ตาม ภายหลัง พล.ต.ท.สุรเชษฐ จะไปดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาพิเศษสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ยังคงติดตามความคืบหน้าของคดีเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่อง กระทั่งมีคำพิพากษาออกมาดังกล่าว