ศาลสมุทรสาครพิพากษาปรับ 4 พัน ชายวัย 24 ปี ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัด ไม่สวมหน้ากากออกจากบ้าน เป็นรายแรกของจังหวัด แต่ให้การรับสารภาพลดเหลือ 2 พัน ผู้ว่าฯ แจงไม่ได้หวังค่าปรับ แต่ให้ประชาชนป้องกันตัวเอง วอนทำตามอย่างเคร่งครัด
วันนี้ (9 เม.ย.) นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช นายอำเภอเมืองสมุทรสาคร เปิดเผยว่า ศาลจังหวัดสมุทรสาครได้ตัดสินคดีที่ชายวัย 24 ปี รายหนึ่งชาว ต.ท่าทราย อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร ซึ่งฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดสมุทรสาคร ที่ 931/2563 เรื่องมาตรการลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ฉบับที่ 2 ที่ให้ประชาชนทุกคนภายในจังหวัดสมุทรสาคร เมื่อออกจากบ้านต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ในข้อหาฝ่าฝืนพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรคติดต่อ ปี 2558 โดยศาลพิพากษาปรับ 4,000 บาท แต่จำเลยให้การรับสารภาพ จึงลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือโทษปรับ 2,000 บาท
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 8 เม.ย. เวลาประมาณ 12.00 น. พ.ต.ต.ศักดิ์สิทธิ์ ชูบุญเรือง สารวัตรจราจร สภ.เมืองสมุทรสาคร พร้อมกำลังตำรวจจราจร และนายทวีพงษ์ คุณพิริยะทวี นักวิชาการสาธารณะสุขอาวุโส ในฐานะเจ้าพนักงานควบคุมโรค ได้จับกุมชายรายหนึ่งวัย 24 ปี บริเวณจุดกลับรถเยื้องห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ มหาชัย ถนนเศรษฐกิจ 1 ต.ท่าทราย อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร ระหว่างขับขี่จักรยานยนต์ โดยพบว่าไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า จึงได้ดำเนินคดีฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย
ทั้งนี้ การดำเนินคดีดังกล่าวนับเป็นรายแรกของจังหวัดสมุทรสาคร หลังออกคำสั่งฉบับดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 เม.ย. และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 3 เม.ย.เป็นต้นมา
ก่อนหน้านี้ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ระบุว่า มาตรการสวมหน้ากากอนามัย จะเป็นหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ตั้งแต่ออกจากบ้าน 100% ทั่วทั้งจังหวัดนั้น กำหนดขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักในการป้องกันตนเองไม่ให้เชื้อโควิด-19 เข้าสู่ร่างกาย โดยไม่ได้มุ่งหวังในเงินค่าปรับที่มีโทษสูงสุดไม่เกิน 20,000 บาทแต่อย่างใดทั้งสิ้น ส่วนอำนาจในการจับ-ปรับแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ เรื่องของการจับผู้ที่ฝ่าฝืนไม่สวมหน้ากากอนามัย ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการและทำเรื่องส่งไปให้ศาลจังหวัดสมุทรสาคร และการปรับเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลจังหวัดสมุทรสาคร แล้วแต่จะพิจารณาโทษแต่สูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งหากถูกดำเนินคดีแล้วจะเสียทั้งเงินและเวลามากกว่าค่าหน้ากากอนามัยเสียอีก จึงขอให้ประชาชนดำเนินการตามมาตรการของทางจังหวัดอย่างเคร่งครัด