๖ เมษายน วันจักรี คือวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขณะดำรงพระยศ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้ยกทัพกลับมาจากไปตีเมืองเขมร เมื่อทรงได้รับข่าวความวุ่นวายทางกรุงธนบุรีจึงได้เสด็จกลับมา ทำให้เหตุการณ์สงบลงด้วยดี ขุนนางข้าราชการและราษฎรทั้งหลายจึงพร้อมใจกันอัญเชิญขึ้นครองราชย์ในวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕
พระราชประวัติก่อนเข้ารับราชการกรุงธนบุรีกล่าวว่า พระองค์ดำรงตำแหน่ง หลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี และได้สมรสกับ ท่านนาค ธิดาของคหบดีชาวอัมพวา แต่เมื่อสืบสายสกุลของหลวงยกกระบัตร สามารถย้อนไปถึง สมเด็จพระเอกาทศรถ และ เจ้าพระยาโกษาปาน ราชทูตคนดังของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
พระราชธิดาองค์หนึ่งของสมเด็จพระเอกาทศรถได้ทรงสมรสกับ พระยาราม ขุนนางเชื้อสายมอญที่อพยพเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีธิดาปรากฏชื่อเป็นที่รู้จักกันทั่วไปคือ หม่อมบัว ซึ่งได้รับโปรดเกล้าฯ เป็น พระองค์เจ้า กรมพระเทพามาตย์ พระนมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และเป็นที่รู้จักกันดีในนาม “เจ้าแม่วัดดุสิต”
หม่อมบัวสมรสกับหม่อมเจ้าเจิดอำไพ มีบุตรธิดา ๓ คน คือ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) แม่ทัพเอกของสมเด็จพระนารายณ์ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ราชทูตของสมเด็จพระนารายณ์ และท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระสนมของสมเด็จพระนารายณ์
เจ้าพระยาโกษาปาน มีบุตรชื่อ ขุนทอง รับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่ ๘ หรือพระเจ้าเสือ ได้เป็น พระอัษฎาเรืองเดช ตำแหน่งสุดท้ายได้เป็น เจ้าพระยาวรวงศาธิราช เสนาบดีคลัง
เจ้าพระยาวรวงศาธิราชมีบุตรชายชื่อ ทองคำ รับราชการกับเจ้าฟ้าเพชร กรมพระราชวังบวร มีตำแหน่งเป็น จมื่นมหาสนิท และได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่หมู่บ้านสะแกกรัง เมืองอุทัยธานี เพื่อรวบรวมสิ่งของสำหรับกองทัพ เช่น ช้าง ข้าว และไพร่พล ให้กรมพระราชวังบวรซึ่งเตรียมการยึดอำนาจ
ในระหว่างที่อยู่หมู่บ้านสะแกกรังนี้ ภรรยาของจมื่นมหาสนิทได้คลอดบุตรเป็นชาย ให้ชื่อว่า ทองดี ครั้นปี พ.ศ.๒๒๕๑ กรมพระราชวังบวรได้ขึ้นครองราชย์เป็น พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ จมื่นมหาสนิทได้เลื่อนขึ้นเป็น พระยาราชนุกูล ปลัดทูลฉลองกรมมหาดไทย จึงย้ายครอบครัวกลับมาอยู่กรุงศรีอยุธยา และเมื่อทองดีมีอายุเข้ารับราชการได้ จึงได้รับโปรดเกล้าฯเป็น หลวงพิพิธอักษร สังกัดกรมมหาดไทย จนได้เลื่อนขึ้นเป็น พระอักษรสุนทร เสมียนตรากรมมหาดไทย
ในขณะเป็นหลวงพิพิธอักษรนั้น ทองดีได้สมรสกับ ดาวเรือง หลานสาวของเจ้าพระยาอภัยราชา สมุหนายก มีบุตรสาวคนแรกชื่อ สา บุตรคนที่สองเป็นชายชื่อ ราม คนที่สามเป็นหญิงชื่อ แก้ว คนที่สี่เป็นชายชื่อ ทองด้วง และคนที่ห้าเป็นชาย ชื่อ บุญมา
“ทองด้วง” ก็คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระปฐมบรมราชวงศ์จักรี และพระผู้สถาปนากรุงเทพมหานคร
“บุญมา” ก็คือ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลที่ ๑
“สา” พระพี่นางองค์โต ได้รับการสถาปนาเป็น กรมพระเทพสุดาวดี
“ราม” พระเชษฐาซึ่งสิ้นพระชนม์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาขณะเป็นขุนรามณรงค์ ได้รับการสถาปนาพระอัฐิเป็น สมเด็จพระเจ้ารามณรงค์
“แก้ว” พระพี่นางองค์น้อย ได้รับการสถาปนาเป็น กรมพระศรีสุดารักษ์
ส่วน “ทองดี” นั้นก็คือ สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกแห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งขณะดำรงตำแหน่งพระอักษรสุนทร เสมียนตรากรมมหาดไทยในรัชกาลพระเจ้าเอกทัศน์นั้น พม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา เกิดระส่ำระสายในพระนคร จึงอพยพครอบครัวไปรับราชการกับเจ้าเมืองพิษณุโลก ได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ และทรงประชวรสิ้นพระชนม์ที่เมืองพิษณุโลก
ในพระราชหัตถเลขาภาษาอังกฤษ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชทานไปถึงเซอร์จอห์น บาวริ่ง ผู้เคยเป็นราชทูตอังกฤษเข้ามาในรัชกาลที่ ๔ มีข้อความที่ยืนยันเรื่องนี้ว่า
“...ผู้ซึ่งเป็นพระมหาชนกแห่งปฐมกษัตริย์ราชวงศ์จักรี และเป็นพระอัยกาของพระราชบิดากษัตริย์องค์ปัจจุบัน (คือข้าพเจ้าเอง) และกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง (คือพระอนุชาองค์รองของข้าพเจ้า) แห่งประเทศสยาม เป็นราชโอรสอันสูงศักดิ์ของราชวงศ์ที่ได้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนางกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา และต่อมาได้ย้ายถิ่นฐานอยู่ที่บ้านสะแกกรัง อันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำสะแกกรังที่เป็นสาขาของแม่น้ำสายใหญ่ เชื่อมอาณาเขตติดต่อภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศสยาม ประมาณเหนือเส้นรุ้ง ๑๓ องศา ๑๕ ลิปดา ๓๐ พิลิปดาเหนืออีกเล็กน้อย เส้นแวง ๙๐ องศา ๙๐ ลิปดาตะวันออก ซึ่งเล่ากันว่า บุคคลผู้มีความสำคัญได้ถือกำเนิดที่นี่ และกลายเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเป็นพิเศษของราชวงศ์สยามที่มาจากหมู่บ้านสะแกกรังสู่กรุงศรีอยุธยา...”
เหตุใดพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงทรงสถาปนาราชวงศ์ในนาม “จักรี” นั้น จะเห็นได้ว่าคำอันเป็นมงคลนี้ นอกจากจะมาจากสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกทรงดำรงตำแหน่ง เจ้าพระยาจักรีศรีองค์รักษ์ ของเมืองพิษณุโลกแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์นี้ ก็เคยทรงดำรงตำแหน่ง เจ้าพระยาจักรี ในสมัยกรุงธนบุรีด้วย
“จักรี” เป็นคำผสมของคำว่า "จักร" และ "ตรี" ซึ่งเป็นเทพอาวุธ ๒ ใน ๔ ของพระนารายณ์ อันเป็นหนึ่งในสามของมหาเทพตามคติความเชื่อของพราหมณ์
"จักร" นั้น จะเป็นอาวุธรูปวงกลม มีแฉกๆโดยรอบ
"ตรี" นั้นคือ ตรีศูล เป็นอาวุธแบบสามง่ามหรือหอกสามเล่ม
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระแสงจักรและพระแสงตรีไว้ ๑ สำรับ อีกทั้งกำหนดให้ใช้เทพอาวุธนี้เป็นสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์จักรีสืบมาจนถึงปัจจุบัน
ราชวงศ์จักรีเป็นประมุขของราชอาณาจักรสยามมา ๑๐ รัชกาล เป็นเวลาถึง ๒๓๘ ปีแล้ว การสืบทอดราชบัลลังก์เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลและทำนองคลองธรรม ไม่มีการช่วงชิงอำนาจแม้แต่ครั้งเดียว และเป็นโชคดีของคนไทยที่ทุกรัชกาลทรงปกครองอาณาประชาราษฎร์ด้วยทศพิธราชธรรม ทรงมุ่งแต่ความเจริญของประเทศชาติและความสุขของราษฎร ไม่ทรงลุ่มหลงพระราชอำนาจ หรือเสวยสุขและกดขี่ข่มเหงราษฎรเหมือนกษัตริย์ในยุโรปและของกรุงศรีอยุธยาบางพระองค์ แม้ในสมัยประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ก็ยังทรงตรากตรำพระวรกายอย่างไม่รู้จักความเหน็จเหนื่อย เพื่อความสุขของคนไทย โดยรัฐธรรมนูญมิได้กำหนดว่าต้องทำ แต่ทรงทำด้วยพระราชหฤทัยที่ห่วงใยทุกข์สุขของราษฎร จนโลกยกย่องว่าเป็น “KING OF KING” เป็นแบบอย่างกษัตริย์ของโลก
พระมหากษัตริย์มีความผูกพันกับสังคมไทยมาตั้งแต่สร้างประเทศ ทรงนำประชาชนรวมตัวกันสร้างบ้านเมือง ขยายอาณาเขตแว่นแคว้น สร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงจนเป็นประเทศ ทรงปกป้องดินแดนและอาณาประชาราษฎร์จากการรุกรานของศัตรู ปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขและรุ่งเรืองก้าวหน้า เป็นที่รักเคารพ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของอาณาประชาราษฎร์
ด้วยความกตัญญูรู้คุณที่มีอยู่ในสายเลือดของคนไทย ด้วยการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีและสิ่งดีๆของชาติไว้ โดยเฉพาะสถาบันพระมหกษัตริย์ ที่คนหลายชาติยังอิจฉาคนไทย ด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้ ก็พอจะตอบได้ว่า ประเทศนี้มีพระมหากษัตริย์ไว้ทำไม