หมอจุฬาฯ โพสต์เรื่องราวคนไข้ติดเชื้อโควิด-19 วอนอย่าตีตราคนไข้ ยังมีเรื่องปัญหาสุขภาพที่ผูกติดกับเศรษฐกิจและสังคม สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือทำให้การระบาดอยู่สั้นที่สุด ร่วมมือกันช่วยกันทำ Social Distancing ให้มากที่สุด
เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “Opass Putcharoen” หรือ ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ จากหน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์จุฬาลงกรณ์ ผู้เป็นคุณหมอดูเเลผู้ป่วยโควิด-19 ในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้เล่าเรื่องราวจากวอร์ดโควิดว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นผู้หญิงอาชีพขับแท็กซี่ คาดติดจากการสัมผัสนักท่องเที่ยว จึงติดต่อครอบครัวได้ความว่า สามีขับรถรับจ้างได้เงินรายวัน ตอนนี้ต้องหยุดงานตั้งแต่มีการระบาด มีลูกเล็กสองคน 5 ขวบกับ 2 ขวบ พอภรรยาติดโควิด-19 ก็ถูกไม่ให้อยู่ที่ห้องเช่าเพราะคนละแวกนั้นกลัวว่าจะติดเชื้อโควิด-19 มาจากภรรยา ต้องออกมาอยู่บ้านที่เถ้าแก่ที่กำลังสร้างไม่เสร็จ ใช้เงินเก็บที่มีอยู่สามพันบาท โชคดีที่ผลตรวจไม่เจอเชื้อโรคไวรัสโควิด-19 ทั้งสามคน โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กระบุข้อความว่า
“เรื่องเล่าจากวอร์ดโควิด
เคสหนักที่โรงพยาบาลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ห้องไอซียูก็ต้องขยายจากที่เตรียมไว้ 4 เตียง ตอนนี้ต้องเตรียมเพิ่มขึ้นเพื่อรับผู้ป่วยได้ถึงเกือบ 20 คน เรากำลังเปลี่ยนตึกทั้งตึกเป็นไอซียูสำหรับเคส COVID ที่อาการหนัก นอกเหนือไปจากจากวอร์ดปกติ 4 วาร์ดที่มีคนไข้โควิดแน่นอยู่แล้ว
เมื่อวันก่อนมีเคสหนึ่งใส่ท่อช่วยหายใจเพราะปอดอักเสบรุนแรง ตอนเช้าไปราวน์กับเรสสิเดนท์ รู้ว่าคนไข้เป็นคนขับแท็กซี่ผู้หญิงอายุสี่สิบปี น่าจะติดจากการสัมผัสนักท่องเที่ยว ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเราไม่ค่อยเห็นผู้หญิงมาขับรถรับจ้าง เลยให้เรสสิเดนท์รีบโทร.ไปถามครอบครัวว่ามีปัญหาอะไรบ้างมั้ย ได้ความว่าตั้งแต่คนไข้มาอยู่โรงพยาบาลก็หยุดงาน รายได้ทั้งหมดหายไป สามีขับรถรับจ้างได้เงินรายวัน ตอนนี้ต้องหยุดงานตั้งแต่มีการระบาด มีลูกเล็กๆสองคน ห้าขวบกับสองขวบ พอภรรยาติดโควิดก็ถูกไม่ให้อยู่ที่ห้องเช่าเพราะคนกลัวว่าติดโควิดมาจากภรรยา ต้องระเห็จออกมาอยู่บ้านที่เถ้าแก่ที่กำลังสร้างไม่เสร็จ ใช้เงินเก็บที่มีอยู่สามพันบาท ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ พอรู้เรื่องเสร็จทุกคนช่วยกันทันที ตามแก๊งพ่อลูกมา swab และให้นอนที่โรงพยาบาลรวมกันไปก่อน โชคดีที่ผลตรวจไม่เจอเชื้อโรคโควิดทั้งสามคน สิ่งที่ต้องรีบทำก็เพื่อออกใบยืนยันแล้วทางครอบครัวจะได้ไม่ถูกตีตราจากคนอื่น (จริงๆ ถ้าสังคมเข้าใจเราไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดตามครอบครัวของคนไข้มา swab เพราะถ้าเขากักตัว 14 วันไม่ออกไปไหนก็จะไม่ไปแพร่กระจายเชื้อให้ใคร) ช่วยลงทะเบียนช่วยเหลือ ระดมทุนมาช่วยในช่วงสามเดือนถัดจากนี้ ส่วนภรรยาตอนนี้นอนอยู่ไอซียู ทางทีมช่วยกันดูแลอย่างเต็มที่ เคสนี้เคสเดียวสะท้อนหลายๆ มุมที่เราก็ยังต้องแก้ไขหรือมองข้าม สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ ความเข้าใจเรื่องการติดต่อโรค การตีตราคนไข้และญาติของคนไข้ ยังมีเรื่องปัญหาสุขภาพที่มันผูกติดกับเศรษฐกิจและสังคม สิ่งที่ต้องการในตอนนี้คือทำให้การระบาดอยู่สั้นที่สุด เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อเนื่องและวงกว้าง ช่วยกันทำ social distancing ให้มากที่สุด เมื่อโรคหยุดระบาดทุกสิ่งทุกอย่างจะค่อยๆ ฟื้นกลับมาใหม่ สร้างความเห็นอกเห็นใจกันในสังคม ทั้งให้กับคนไข้และบุคคลากรที่กำลังช่วยดูแลคนไข้ ผมว่ากำลังใจมาที่บุคลากรทางการแพทย์มีมากมายพอแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือช่วยกันเข้าใจโรค และเห็นใจคนไข้ด้วยครับ”