สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยังคงวิกฤติอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากยอดของผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทั่วทุกมุมโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ที่ยอดสะสมก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้ทุกภาคส่วนทั้งรัฐบาล เอกชน และประชาชนต้องร่วมมือร่วมใจ เพื่อให้ผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปให้ได้ ทั้งนี้ ด้วยสถานการณ์ที่มีแนวโน้มการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นนั้น รัฐบาลจึงได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วประเทศไทย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
เช่นเดียวกันกับ “กระทรวงคมนาคม” ภายใต้การบริหารงานของ “นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่กำกับดูแลหน่วยงานคมนาคมขนส่ง ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเดินทางของประชาชน และมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก ครอบคลุมทั้งทางบก ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ จึงได้ได้ดำเนินมาตรการภาคการขนส่งผู้โดยสารในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมีมาตรการ “คัดกรอง โควิด-19” แบ่งเป็น 7 ขั้นตอน
สำหรับการคัดกรองดังกล่าวนั้น ประกอบด้วย 1.คัดกรองประชาชน ผู้ปฏิบัติงาน ผู้โดยสาร ก่อนเข้าอาคารที่พักผู้โดยสาร 2.คัดกรองผู้โดยสารก่อนเข้าไปในยานพาหนะ 3.คัดกรองผู้โดยสาร ผู้ปฏิบัติงาน ก่อนออกจากอาคารที่พักผู้โดยสาร
4.เมื่อพบผู้มีอาการป่วย ดำเนินการตามระเบียบที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด 5.เว้นระยะห่างในจุดจำหน่ายตั๋ว จัดที่นั่งบนยานพาหนะ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด 6.แนะนำผู้โดยสารสวมหน้ากากอนามัย และแว่นตาตลอดการเดินทาง และ7.ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลให้กระทรวงคมนาคมทราบทุกวัน
ไม่เพียงเท่านั้น “กระทรวงคมนาคม” ยังได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัดที่ให้บริการด้านการขนส่งสาธารณะดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มข้น ทั้งการตรวจคัดกรองผู้โดยสาร มาตรการ Social Distance โดยให้ผู้โดยสารเว้นระยะนั่ง หรือยืนห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร รวมทั้งจัดให้มีจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ เพื่อให้บริการแก่ผู้โดยสารรวมถึงพนักงานในพื้นที่ส่วนกลาง และบริเวณที่มีการใช้งานร่วมกัน
สำหรับการเดินทางข้ามเขตพื้นที่จังหวัด กรณีการเดินทางด้วยรถโดยสารในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ (ครอบคลุม – รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง / รถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว / รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์) โดยให้หน่วยงานที่ให้บริการระบบขนส่งทางรางจัดให้มีการตรวจคัดกรอง และปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด โดยพิจารณาอนุญาตเฉพาะบุคคลจากข้อกำหนดข้อ 8 ตาม พ.ร.ก.ฯ ทั้งนี้ “กรมการขนส่งทางราง” ได้ออกประกาศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยกรณีการเดินทางด้วยรถโดยสารข้ามเขตพื้นที่จังหวัด ให้ผู้ให้บริการจัดเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการตรวจคัดกรองผู้โดยสาร โดยจะต้องมีเอกสารหรือหลักฐานทางราชการหรือหน่วยงานว่าเป็นบุคคลที่ได้รับการยกเว้นในข้อ 8 ตาม พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) และให้บันทึกข้อมูลผู้โดยสารโดยระบุชื่อ ที่อยู่ ที่พักปัจจุบันหรือภูมิลำเนา และระบุวัตถุประสงค์ในการเดินทางตามเอกสาร ต.8 ด้วย เพื่อประกอบการซื้อ/จำหน่าย ตั๋วโดยสาร
ทั้งนี้ “กรมการขนส่งทางบก” ได้ออกประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง การดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถและผู้ประจำรถ ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร โดยจะงดการดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ณ ที่ทำการสำนักงานขนส่งทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.63 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินหรือมีประกาศเป็นอย่างอื่น
ขณะเดียวกันกรณีใบอนุญาตขับรถหรือใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถที่สิ้นอายุแล้วไม่เกินหนึ่งปี หรือสิ้นอายุเกินกว่าหนึ่งปีขึ้นไป หรือครบอายุในระหว่างช่วงงดการดำเนินการ ให้ถือว่ายังสามารถใช้ขับรถได้ โดยให้มาดำเนินการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถหรือใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถได้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่มีประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือมีประกาศเป็นอย่างอื่น
ด้านของ “กรมเจ้าท่า” ก็ได้ออกประกาศเช่นกัน เรื่อง การอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและมิให้ประชาชนต้องเสียประโยชน์หรือละเมิดกฎหมายตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรประกาศ ณ วันที่ 26 มีนาคม 2563 ให้ขยายเวลาหรืออายุของใบสำคัญรับรอง ใบอนุญาต ประกาศนียบัตร สัญญา และหนังสือสำคัญ จากวันที่หมดอายุหรือสิ้นอายุออกไปจนกว่าจะมีประกาศยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองเรือที่ได้รับการขยายเวลาหรืออายุของใบสำคัญรับรอง และใบอนุญาตรักษาเรือให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยและเหมาะสมสำหรับการใช้ตลอดเวลา
นอกจากมาตรการเข้มดังกล่าวแล้ว ทุกฝ่ายต้องร่วมมือ ร่วมใจกัน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมถึงการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”เพื่อให้ “ประเทศไทยต้องชนะ” ตามคำบัญชาของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม