เหตุการณ์ในเมืองไทยหลังวันที่ ๙ กันยายน ๒๔๘๙ เมื่อ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สวรรคตด้วยกระสุนปืนปริศนา น้ำตานองแผ่นดิน ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยสีดำจากการไว้ทุกข์ แต่บรรยากาศการเมืองยิ่งอึมครึมไปกว่านั้น พสกนิกรต่างห่อเหี่ยวหัวใจ ว้าเหว่เหมือนลอยคออยู่กลางทะเล แม้ในคืนของวันที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต รัฐสภาได้เปิดประชุมฉุกเฉินเลือกผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาล ที่ประชุมได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อลงมติแล้ว ที่ประชุมได้ถวายพระพรด้วยการยืนขึ้นเปล่งเสียงไชโยพร้อมเพรียงกัน แต่กระนั้นก็ยังหวั่นเกรงกันทั่วไปว่า สมเด็จพระราชชนนีจะไม่ทรงยินยอมให้พระราชโอรสซึ่งเหลืออยู่พระองค์เดียวเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กราบทูลสมเด็จพระราชชนนี ถึงมติของรัฐสภา สมเด็จพระราชชนนีได้มีพระราชดำรัสถามพระราชโอรสว่า
“รับไหมลูก?”
ขณะนั้นกรณีสวรรคตเป็นคดีอึมครึมที่หาสาเหตุไม่ได้ และเป็นเรื่องที่น่าวิตก แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบเพียงสั้น ๆ ว่า
“รับ”
คำสั้น ๆ คำนี้ ทำให้ขวัญกำลังใจปวงชนชาวไทยกลับคืนมา แสดงถึงน้ำพระราชหฤทัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญและความรักความห่วงใยต่อพสกนิกร ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช จึงขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบต่อพระบรมเชษฐาธิราช เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ ๙ ในราชวงศ์จักรี ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช”
แต่เนื่องด้วยในระหว่างเสด็จขึ้นครองราชย์ ยังทรงพระเยาว์ มีพระชนมายุเพียง ๑๙ พรรษา ยังไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินด้วยพระองค์เองได้ จึงต้องแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร และพระยามานวราชเสวี
หลังจากขึ้นครองราชย์ได้ ๒ เดือนเศษ ก็ต้องเสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ มีประชาชนเฝ้าฯ ส่งเสด็จสองข้างทางไม่ขาดระยะจนถึงดอนเมือง นอกจากประชาชนจะอาลัยที่พระเจ้าอยู่หัวจะจากประเทศไทยไปแล้ว ยังวิตกกันว่าพระองค์จะไม่กลับมาเป็นมิ่งขวัญของประชาชน จนมีคนตะโกนให้พระองค์ได้ยินว่า
“ในหลวง อย่าทิ้งประชาชนนะ”
ทำให้ทรงนึกตอบบุคคลผู้นั้นในพระราชหฤทัยว่า
“ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งอย่างไรได้”
การเสด็จฯ กลับไปทรงศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ครั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจำต้องเปลี่ยนสาขาวิชาที่ทรงศึกษาอยู่เดิม จากวิชาวิทยาศาสตร์มาเป็นกฎหมายและรัฐศาสตร์ เพื่อให้เหมาะสมกับการเป็นพระประมุขของประเทศ
แต่แล้วในวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๔๙๑ หนังสือพิมพ์ที่ออกในกรุงเทพฯ หลายฉบับ ได้พาดหัวข่าวที่ทำให้ประชาชนตกใจไปตามกัน โดยอ้างข่าวจากวิทยุ บี.บี.ซี.ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์เมื่อคืนวันที่ ๓ ตุลาคม พระอาการค่อนข้างสาหัส วันรุ่งขึ้นวิทยุรอยเตอร์จึงรายงานมาว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช กษัตริย์ของประเทศไทย พระชนมายุ ๒๐ พรรษา ซึ่งบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อคืนวันที่ ๓ ตุลาคมนั้น ตอนนี้มีพระอาการดีขึ้น พ้นขีดอันตรายแล้ว
ต่อมามีข่าวดีแพร่สะพัดมาถึงเมืองไทยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหมั้นกับธิดาของ ม.จ.นักขัตรมงคล กิติยากร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอนแล้ว แม้ยังไม่รู้เป็นธิดาคนไหน แต่ข่าวนี้ก็เหมือนฝนตกลงมาโดยไม่มีเมฆตั้งเค้า นักข่าวต่างวิ่งกันพล่าน และมุ่งไปเฝ้าราชเลขาธิการ แต่ก็ไม่มีคำตอบ เพราะทางสำนักพระราชวังก็ยังไม่ทราบ หนังสือพิมพ์ทั้งหลายจึงไม่กล้าเสนอข่าวนี้
จนกระทั่งราวต้นเดือนกันยายน ผู้สื่อข่าวไทยในอังกฤษรายงานเรื่องนี้มา ความจริงจึงเปิดเผย และเมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๔๙๒ ม.จ.นิกรเทวัญ ราชเลขานุการในพระองค์ ได้แจ้งต่อผู้สื่อข่าวว่า
“ได้รับหนังสือจากหลวงประเสริฐไมตรี ราชเลขานุการที่โลซานน์ว่า ในหลวงได้ทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร แล้วอย่างเงียบๆ ณ ที่ประทับโลซานน์ ตั้งแต่วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ศกนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แจ้งมาให้ทราบอย่างเป็นทางการ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้รับทราบ และได้แจ้งให้รัฐบาลทราบแล้ว”
วันเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศก็ได้รับรายงานจาก ม.จ.นักขัตรมงคล เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอนในเรื่องนี้เช่นกัน
ในวันที่ ๗ กันยายน จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้แจ้ง “เรื่องพิเศษ” นี้ ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบ วันที่ ๘ กันยายน พล.อ.พระประจญปัจจานึก ประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็ได้แจ้งให้ที่ประชุมสภารับทราบ ซึ่งที่ประชุมได้ปรบมือแสดงความยินดีกัน
หนังสือพิมพ์ “ไลฟ์” ของอเมริกัน ได้ส่งผู้สื่อข่าวพิเศษไปยังโลซานน์ เพื่อเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และนำพระราชกิจวัตรประจำวัน การท่องเที่ยวจาริก พระราชเจตนาในการเสด็จนิวัติไทย ตลอดจนเบื้องหลังชีวิตรักระหว่างพระองค์กับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร มาเสนอต่อผู้อ่าน มีข้อความบางตอนว่า
“ปัจจุบันนี้ ไทยต้องการพระเจ้าอยู่หัวของตนกลับคืนประเทศ นักการเมืองไทยพากันบ่นว่ามีราชกรณียกิจคั่งค้างอยู่มากมายที่ยังมิได้สะสาง ระหว่างที่พระองค์มิทรงอยู่ในประเทศเป็นเวลานาน ความจริงมีอยู่ว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชยังไม่ได้ทรงรับการราชาภิเษกเป็นทางการ อนึ่ง ปัญหาอภิเษกสมรสของพระองค์เล่าก็ยังเป็นปัญหาที่จำเป็นต้องถกเถียงกันอยู่ ปัญหาอันเร่าร้อนเหล่านี้ (รวมทั้งการถวายพระเพลิงพระบรมศพและพระศพรวม ๔ ศพด้วย) เป็นข้อที่เรียกร้องให้พระองค์เสด็จนิวัติประเทศอย่างรีบด่วน
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นอีกก็ได้แก่ เพลิงการเมืองบรรดาที่รุมล้อมอยู่รอบ ๆ ประเทศไทย ไทยก็เช่นเดียวกับสภาพของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียทุกวันนี้ คือภายในนั้นดูอบอุ่นและสันโดษ มีลักษณะงามอย่างประหลาด ที่ทำให้พวกทหารอังกฤษระหว่างสงครามเรียกกันว่า “แผ่นดินตุ๊กตา” (Toyland) เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์และไม่มีประชาชนยัดเยียดเกินไปนัก ปริมาณอาหารก็มากเกินกว่าที่จะทำให้คนไทยทุก ๆ คนอิ่มหมีพีมันทั่วหน้าเสียอีก ไทยคุยได้ทีเดียวว่าตนมีงบประมาณแผ่นดินอันสมดุล มีดุลยภาพการค้าที่น่าชื่นชม และมีระดับราคาสินค้าต่ำ พลเมืองนับตั้งแต่ผู้ดีที่มั่งคั่งที่สุด จนถึงกุลีสวนยางที่ยากจนที่สุด ก็มีความสุขยิ่งกว่าพลเมืองชาติไหน ๆ ในอาเซียทุกวันนี้ แต่วงล้อมคอมมิวนิสต์กำลังรัดแน่นทุก ๆ ที่รอบไทย และในประเทศเองก็มีคนจีน ๑ ล้านคน อันอาจเป็นทางให้คอมมิวนิสต์แทรกซึมเข้าไปได้ ในสภาพการณ์เช่นนี้แหละ รัฐบาลรู้สึกว่ามือของตนจะแข็งแกร่งขึ้นได้ก็ด้วยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปประทับในประเทศ ทั้ง ๆ ที่คณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้บริหารต่างพระเนตรพระกรรณอยู่แล้วก็ตาม แม้ถึงว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลจะทรงจากไทยมานาน แต่พระองค์ก็ทรงเป็นที่เคารพบูชาอย่างยิ่งยวดในประเทศไทย”
เมื่อได้รับข่าวดีชุ่มชื่นหัวใจไปแล้ว ประชาชนต่างก็เฝ้ารอวันที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จนิวัตพระนครพร้อมกับพระคู่หมั้น แม้บางคนหวั่นเกรงว่าจะไม่เสด็จกลับมา เพราะเบื่อหน่ายต่อบรรยากาศมืดครึ้มทางการเมืองในเมืองไทย แต่ส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าจะทรงกลับมาอย่างที่มีข่าวมาตลอดว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรบเร้าที่จะกลับมาหลายครั้งแล้ว แต่คณะแพทย์เกรงจะกระทบกระเทือนถึงพระเนตรที่อยู่ระหว่างการถวายการรักษา
และแล้วท่ามกลางความสับสน สำนักราชเลขาธิการก็ได้รับแจ้งจากโลซานน์ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริจะกลับมาถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระบรมเชษฐาให้ทันฤดูแล้งที่จะมาถึง คือราวเดือนเมษายน ๒๔๙๓
แต่แล้วท่ามกลางความดีใจ ก็มีข่าวที่ทำให้ตกอกตกใจขึ้นมาอีก เมื่อสมเด็จพระราชชนนีทรงประสบอุบัติเหตุ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกที่ฝรั่งเศส ต่อมาก็โล่งอกเมื่อทราบจากราชเลขานุการว่า สมเด็จพระราชชนนีทรงบาดเจ็บที่พระหัตถ์ซ้ายกับพระกัปร (ข้อศอก) เท่านั้น แต่กระนั้นก็ทำให้ไม่อาจเสด็จนิวัติประเทศไทยพร้อมกับพระโอรสได้
ในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๒ อธิบดีกรมโฆษณาการได้เปิดแถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาราวปลายเดือนกุมภาพันธ์ หรือต้นเดือนมีนาคม ๒๔๙๓ อย่างแน่นอน โดยจะเสด็จทางชลมารค ซึ่งมีบริษัทเดินเรือทะเลหลายบริษัทแสดงความจำนงอัญเชิญเสด็จกลับโดยไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใด แต่ทางราชการยังไม่ตกลงว่าจะใช้เรือของบริษัทใด สำหรับราชองครักษ์ประจำพระองค์ในขบวนเสด็จ ทางราชการได้จัดให้พลตรีหลวงสุรณรงค์ สมุหราชองครักษ์ เดินทางไปรับเสด็จภายใน ๗ วัน และบางทีสมเด็จพระราชชนนีจะไม่เสด็จกลับมาด้วยเนื่องจากอุบัติเหตุ”
แต่แล้วในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ วิทยุจากเมืองวิลฟรังก์ ประเทศฝรั่งเศส ได้ออกข่าวว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ได้ประทับเรือซีแลนเดีย ออกจากเมืองท่าวิลฟรังก์มาแล้ว ในโอกาสนั้น เอกอัครราชทูตไทยประจำฝรั่งเศสได้ถวายช่อดอกไม้แด่ว่าที่สมเด็จพระราชินีด้วย
ข่าวนี้กระตุ้นให้ประชาชนเฝ้ารอถวายความจงรักภักดียิ่งขึ้นตามลำดับ
เรือพระที่นั่งผ่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เข้าคลองสุเอซมาออกมหาสมุทรอินเดีย สถานที่ทรงแวะที่ควรกล่าวถึงก็คือ ลังกา รัฐบาลได้ทูลเชิญทรงปลูกต้นจันทน์ ส่วนที่สิงคโปร์ ทางการอังกฤษได้ทูลเชิญให้ประทับแรม โดยจัดต้อนรับเสด็จอย่างมโหฬาร คนไทยในสิงคโปร์ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ที่ห้องโถงของสถานกงสุลไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาในฉลองพระองค์ลำลองพร้อมด้วย ม.ร.ว.สิริกิติ์ และ ม.ร.ว.บุษบา กิติยากร ทรงทักทายคนที่ทรงรู้จัก กงสุลไทยได้นำผู้แทนร้าน “สิงคโปร์โฟโต้” ๔ คนเข้าเฝ้าฯ ถวายกล้องถ่ายภาพให้ทรงเลือก ซึ่งทรงเลือกไว้ ๑ กล้อง
วันที่ ๒๔ มีนาคม เรือซีแลนเดียได้เข้าทอดสมอเทียบท่าเกาะสีชังเมื่อเวลา ๐๗.๐๐ น.เศษ รัฐบาลได้ส่งเรือ ร.ล.สุราษฎร์เป็นเรือพระที่นั่งมารับเสด็จ มี ร.ล.สุโขทัย และ ร.ล.อาดัง ตามขบวน และเครื่องบินแห่งราชนาวีบินทักษิณาวัตรถวายเกียรติยศ
เมื่อเสด็จจากเรือซีแลนเดียมาประทับ ร.ล.สุราษฎร์แล้ว ขบวนเรือพระที่นั่งก็มุ่งผ่านสันดอนมาที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ซึ่งรัฐบาลจัด ร.ล.ศรีอยุธยาเป็นเรือพระที่นั่งนำเสด็จสู่พระนคร และเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับ ร.ล.ศรีอยุธยา พร้อมด้วย ม.ร.ว.สิริกิติ์ พระคู่หมั้นแล้ว จอมพล ป.พิบูลสงคราม ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องยศจอมพลเรือ ท่ามกลางพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการทหาร พลเรือน เฝ้าฯ รับเสด็จ
ส่วนในท้องน้ำ บรรดาเรือของชาวสมุทรปราการที่มารับเสด็จ ต่างรายล้อมเข้ามารอบเรือพระที่นั่ง เพื่อปรารถนาจะชมสิริโฉม ม.ร.ว.สิริกิติ์ ต่างเห็นพระอิริยาบถอันละมุนละไม นิ่มนวลเป็นสง่า มีรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเมตตาอยู่เป็นนิจ
เมื่อพิธีถวายเครื่องยศจอมพลเรือเสร็จเรียบร้อย ร.ล.ศรีอยุธยาจึงเคลื่อนลำนำเสด็จเข้าแม่น้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางเรือยนต์ เรือกลไฟ เรือแจว และเรือพายของราษฎรคับคั่ง ลอยลำรับเสด็จและเปล่งเสียงถวายพระพรไม่ขาดสาย ม.ร.ว.สิริกิติ์ ยืนเคียงข้างสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยู่บนหอบังคับการเรือ ให้ราษฎรได้ยลสิริโฉม
หลังจากแวะเทียบท่าหน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจุดธูปเทียนสักการะพระสมุทรเจดีย์แล้ว ร.ล.ศรีอยุธยาเข้าเทียบท่าราชวรดิฐเมื่อเวลา ๑๕.๐๐ น.ตามหมายกำหนดการ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลองพระองค์ชุดจอมพลเรือ เสด็จขึ้นจากเรือพระที่นั่ง มี ม.ร.ว.สิริกิติ์ ตามเสด็จอย่างใกล้ชิด เสด็จขึ้นประทับ ณ พระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย ร.ล.แม่กลองยิงสลุต ๒๑ นัด เจ้าพนักงานเชิญพระแสงราชอาญาสิทธิ์น้อมเกล้าฯ ถวาย จากนั้น พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร ประธานผู้สำเร็จราชการ กราบบังคมทูลถวายพระราชกรณียกิจเพื่อทรงปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มีข้อความตอนหนึ่งว่า
“โดยที่บัดนี้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้เสด็จมาประทับในราชอาณาจักรแล้ว ความเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของข้าพระพุทธเจ้าได้สิ้นสุดลง นับแต่นี้เป็นต้นไป”
หลังจากทรงมีปฏิสันถารกับข้าราชการผู้ใหญ่และทูตานุทูตแล้ว เสด็จไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อถวายสักการะพระพุทธปฏิมากร และรับคำถวายพระพรชัยมงคลจากบรรพชิตจีนญวน แล้วเสด็จไปถวายเครื่องราชสักการะถวายบังคมพระบรมอัฐิสมเด็จพระราชบิดา ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายใน แล้วเสด็จไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เพื่อทรงวางพวงมาลาและถวายบังคมพระบรมศพสมเด็จพระบรมเชษฐา และทรงถวายนมัสการพระสัมมาสัมพุทธพรรโณภาษ แล้วเสด็จประทับรถพระที่นั่งออกจากพระบรมมหาราชวังไปประทับพระตำหนักสวนจิตรลดา ตลอดเส้นทางมีประชาชนไปคอยเฝ้าฯ รับเสด็จแน่นขนัด
ส่วน ม.ร.ว.สิริกิติ์ พระคู่หมั้น ได้ไปพักที่วังเทเวศร์ อันเป็นที่ประทับของ ม.จ.นักขัตรมงคล
รุ่งขึ้นวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๔๙๓ เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง ทรงรับพระราชพิธีสมโภชในการเสด็จนิวัติสู่พระนคร
วันที่ ๒๖ มีนาคม กองทัพบก และกองทัพอากาศ ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องยศจอมพลของแต่ละกองทัพ เป็นอันว่าทรงได้รับพระยศจอมพลทหารทั้ง ๓ กองทัพ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัติพระนครครั้งนี้ ทรงมีพระราชประสงค์กระทำพิธีสำคัญ ๓ พิธี คือ
๑. พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระบรมเชษฐาธิราช
๒. พระราชพิธีอภิเษกสมรส
๓. พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งทักษิโณทก ตั้งพระราชสัตยาธิษฐาน จะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจปกครองราชอาณาจักรไทยด้วยทศพิธราชธรรมจริยา ทรงเปล่งพระราชดำรัสว่า
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ ๗๐ ปึ ๑๒๖ วัน เป็นที่ประจักษ์ทั่วไปแล้วว่า ทรงสละความสุขส่วนพระองค์ ตรากตรำพระวรกาย ทุ่มเทพระสติปัญญา วิริยะ อุตสาหะเพื่อความสุขของประชาชนทั้งประเทศ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ประชาชนได้เห็นพระสาโทไหลย้อย และทั่วโลกยอมรับว่าเป็นกษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังทรงมีพระราชจริยานุวัติอันงดงาม บริสุทธิ์ ปราศจากมลทินทั้งปวง ด้วยทรงยึดมั่นในทศพิธราชธรรมและธรรมต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนา ทรงประพฤติปฏิบัติที่เป็นแบบอย่างอันดีงามมาอย่างจริงจัง สม่ำเสมอ ทรงสร้างแบบฉบับของกษัตริย์ประชาธิปไตย สร้างความประทับใจและทำความเข้าใจใหม่ให้กลุ่มคนในประเทศที่ไม่มีกษัตริย์
กล่าวได้ว่า ไม่เคยมีบุคคลใดในโลกที่สละความสุขส่วนตัว ทำงานเพื่อความสุขของคนอื่นอย่างจริงจังและยาวนาน เท่ากับกษัตริย์พระองค์นี้
ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๔๙๓ เป็นต้นมา ประเทศไทยจึงสดใสรุ่งเรือง อบอุ่นขึ้นตลอดมาจนถึงวันนี้