1.กทม.หวั่นโควิดระบาดหนัก สั่งปิดห้าง+25 สถานที่เสี่ยง 22 วัน ยกเว้น “ซูเปอร์มาร์เก็ต-ตลาดสด-ร้านสะดวกซื้อ-ร้านอาหาร” ด้านปริมณฑลปิดตาม!
สถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ในไทย ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังเพิ่มจำนวน
ขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะใน กทม.และปริมณฑล ส่งผลให้รัฐบาลต้องสั่งปิดสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเป็นเวลา 14 วันตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. ได้แก่ สถาบันการศึกษา, สนามมวย, สนามกีฬา, สนามม้า, สถานบันเทิง, สถานบริการ, ผับ, นวดแผนโบราณ, โรงภาพยนตร์ ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
พร้อมกันนี้ให้งดจัดกิจกรรมที่มีการรวมคนจำนวนมาก เช่น คอนเสิร์ต การจัดงานแสดงสินค้าต่างๆ กิจกรรมทางศาสนา วัฒนธรรม และกีฬา นอกจากนี้ยังมีมาตรการเพิ่มการป้องกันสำหรับพื้นที่หรือสถานที่ที่ยังต้องเปิด ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า ตลาด สถานที่ราชการ และรัฐวิสาหกิจ ต้องดำเนินการตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อ
ไม่เท่านั้น ยังมีมาตรการลดความแออัดในการเดินทาง โดยให้เลื่อนวันหยุดสงกรานต์ ตั้งแต่ 13-15 เม.ย.นี้ ออกไป และจะมีการชดเชยวันหยุดให้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม งดกิจกรรมที่มีการเคลื่อนย้ายคนข้ามจำจังหวัดของหน่วยงานที่มีคนจำนวนมาก เช่น ค่ายทหาร เรือนจำ โรงเรียน หากจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ล่าสุด วันนี้ (21 มี.ค.) พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวหลังประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร เพื่อหามาตรการเพิ่มเติมหยุดการแพร่กระจายของโควิด-19 ว่า ที่ประชุมมีมติสั่งปิดสถานประกอบการตามมาตรา 35 พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เพิ่มเติม เป็นระยะเวลา 22 วัน ตั้งแต่ 22 มี.ค.-12 เม.ย. นี้ ได้แก่ 1.ร้านอาหาร (ให้เปิดเฉพาะการจําหน่ายอาหารเพื่อนํากลับไปบริโภคที่อื่นและร้านอาหาร ในโรงแรมที่ให้บริการเฉพาะผู้ที่พักอาศัยในโรงแรม) 2.ห้างสรรพสินค้า เว้นแต่ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยาหรือสินค้าเบ็ดเตล็ดที่จําเป็นต่อการ ดำรงชีวิต ร้านอาหาร (ให้เปิดเฉพาะการจําหน่ายอาหารเพื่อนํากลับไปบริโภคที่อื่น) 3.พื้นที่นั่งหรือยืนรับประทานอาหารในร้านสะดวกซื้อ 4.ตลาดและตลาดนัด (เปิดเฉพาะการจําหน่ายอาหารสด อาหารแห้ง อาหารปรุงสําเร็จ เพื่อนํากลับไปบริโภคที่อื่น อาหารสัตว์ ร้านขายยา และสินค้าเบ็ดเตล็ดที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิต)
5.ร้านเสริมสวย แต่งผมหรือตัดผม 6.สถานที่บริการสักผิวหนัง หรือเจาะส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย 7.สถานที่เล่นสเกต หรือโรลเลอร์เบลด หรือการเล่นอื่น ๆ ในทํานองเดียวกัน 8.สวนสนุก สถานที่เล่นโบว์ลิ่ง หรือตู้เกม 9.ร้านเกม และร้านอินเทอร์เน็ต 10.สนามกอล์ฟ หรือสนามฝึกซ้อมกอล์ฟ 11.สระว่ายน้ํา หรือกิจการอื่นๆ ในทํานองเดียวกัน 12.สนามชนไก่ และสนามซ้อมชนไก่ 13.ศูนย์พระเครื่อง พระบูชา และสนามพระเครื่อง พระบูชา 14.ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม และสถานที่จัดนิทรรรศการ 15.สถานศึกษาทุกระดับ และสถาบันกวดวิชา
16.สถานที่ให้บริการควบคุมน้ําหนัก คลินิกความงาม และสถานเสริมความงาม 17.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (ร้านสปา ร้านนวดเพื่อสุขภาพ ร้านนวดเพื่อเสริมความงาม) 18.สถานที่ให้บริการสปา อาบน้ํา ตัดขน รับเลี้ยงหรือรับฝากสัตว์ 19. สถานประกอบกิจการอาบ อบ นวด 20.สถานประกอบกิจการอาบน้ํา อบไอน้ํา อบสมุนไพร 21.โรงมหรสพ โรงภาพยนตร์ โรงละคร โรงมหรสพ) 22.สถานที่ออกกําลังกาย 23.สถานบริการและสถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการ 24.สนามมวย และโรงเรียนสอนมวย 25.สนามกีฬา 26.สนามม้า
นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังขอความร่วมมือหน่วยงานเอกชนให้อนุญาตพนักงานทำงานที่บ้าน ส่วนหน่วยงานของรัฐให้ใช้วิธีเหลื่อมเวลา หรือสลับวันทำงานตามความเหมาะสม ส่วนระบบขนส่งมวลชนขอให้จัดเว้นระยะที่นั่งเพื่อลดความแออัดของผู้โดยสาร และขอความร่วมมือประชาชนลดการเดินทางไปในที่ที่มีคนหนาแน่น พร้อมทั้งขอความร่วมมือประชาชนไม่ต้องกักตุนสินค้า ร้านอาหารยังเปิดตามปกติ เพียงแต่ขอให้ปรับรูปแบบเป็นแบบกล่องกลับบ้าน (take away) และซูเปอร์มาร์เก็ต ก็ยังเปิดตามปกติ ร้านสะดวกซื้อให้หมั่นทำความสะอาด มีจุดบริการแอลกอฮอล์บริเวณทางเข้า เพื่อความสะอาด ปลอดภัย
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังผู้ว่าฯ กทม.ประกาศปิดสถานที่เสี่ยงเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากตื่นตระหนก พากันไปจับจ่ายกักตุนสิ่งของอุปโภคบริโภคตามห้างสรรพสินค้า โดยเฉพาะซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างล้นหลาม เข้าคิวยาวเหยียด
ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตปริมณฑล (นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร) ก็เริ่มประกาศมาตรการปิดสถานที่เสี่ยงแพร่ระบาดโควิด-19 ตามรอย กทม.แล้ว
2.ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในไทยยังเพิ่มไม่หยุด ล่าสุด ยอดรวม 411 รายแล้ว!
ยอดผู้ติดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ในไทย สัปดาห์ที่ผ่านมา ยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ทุกวัน ซึ่งช่วงต้นสัปดาห์ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มแต่ละวัน อยู่ที่ประมาณ 30 กว่าราย แต่ช่วงกลางถึงปลายสัปดาห์ ยอดเริ่มเพิ่มเท่าตัว โดยเมื่อวันที่ 18 มี.ค. มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 35 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกมีประวัติและสัมพันธ์กับผู้ป่วยหรือสถานที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ 29 ราย เช่น เกี่ยวข้องกับสนามมวย สถานบันเทิงย่านทองหล่อ และสัมผัสผู้ป่วยที่มีรายงานก่อนหน้านี้ ส่วนกลุ่มที่สอง เป็นเป็นผู้เดินทางกลับจากกัมพูชา, ผู้ทำงานใกล้ชิดชาวต่างประเทศ
วันต่อมา 19 มี.ค. กระทรวงสาธารณสุขแถลงมีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 60 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 43 ราย เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยเดิมหรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ในกลุ่มนี้ มีจากสนามมวย 12 ราย สถานบันเทิง 14 ราย และผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาในประเทศมาเลเซีย 5 ราย ส่วนกลุ่มที่สอง อีก 17 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ 9 ราย ทำงานใกล้ชิดกับชาวต่างประเทศ 3 ราย ทำงานหรืออาศัยในสถานที่แออัด ใกล้ชิดผู้คนจำนวนมาก 1 ราย มีผู้รอการสอบสวนโรคเพิ่ม 4 ราย มีผู้สื่อข่าวด้วย 1 ราย
วันต่อมา 20 มี.ค. กระทรวงสาธารณสุขแถลงพบผู้ป่วยยืนยันรายใหม่ เพิ่ม 50 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 41 ราย เป็นผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสหรือเกี่ยวข้องกับการพบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ โดยเกี่ยวข้องกับสนามมวย 18 ราย เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง 5 ราย ย่านทองหล่อ รามคำแหง ผู้สัมผัสเคสเดิม 12 ราย เป็นที่น่าสังเกตว่า ในจำนวนนี้ มีเด็กอายุ 6 เดือนด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้ที่เข้าร่วมพิธีทางศาสนาที่ประเทศมาเลเซีย 6 ราย ในจังหวัดปัตตานี และสงขลา
ส่วนกลุ่มที่ 2 เป็นผู้ป่วยรายใหม่ 9 ราย คือคนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ 4 ราย ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 2 ราย เป็นนักศึกษากลับมาจากประเทศอังกฤษ 1 ราย อีก 1 รายเป็นพนักงานราชการทำงานอยู่ที่อังกฤษ และเป็นชาวเมียนมา 2 ราย นอกจากนี้ยังพบผู้ทำงานอาศัยในสถานที่แออัดที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก เกี่ยวข้องกับต่างชาติ 2 ราย เป็นไกด์และ รปภ. ส่วนอีก 3 รายรอผลสอบสวนเพิ่มเติม
ล่าสุด วันนี้ (21 มี.ค.) กระทรวงสาธารณสุขแถลงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 89 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 51 ราย เป็นผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยหรือเกี่ยวข้องกับสถานที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ โดยมาจากสนามมวย 32 ราย กระจายอยู่ที่ กทม. อุบลราชธานี สมุทรปราการ นนทบุรี กาญจนบุรี ลพบุรี ปทุมธานี สุราษฎร์ธานี และสุรินทร์ กลุ่มสถาบันเทิง 2 ราย คือ กทม. ย่านเอกมัย สุขุมวิท และ เชียงราย กลุ่มร่วมพิธีทางศาสนา 6 ราย ใน จ.ปัตตานี นราธิวาส และ ยะลา และกลุ่มสัมผัสผู้ป่วยก่อนหน้านี้ 11 ราย
กลุ่มที่สอง 38 ราย เป็นกลุ่มที่มาจากต่างประเทศ 12 ราย โดยเป็นคนไทย 6 ราย ต่างชาติ 6 ราย พบว่า มีการกลับจากท่องเที่ยวผับ และปอยเปต กลุ่มที่อาศัยหรือทำงานที่แออัดใกล้ชิดคนจำนวนมาก หรือเกี่ยวข้องต่างชาติ 6 ราย ได้แก่ ค้าขาย พนักงานเสิร์ฟ พนักงานขาย พนักงานสถานบันเทิง คนขับรถ และกลุ่มที่ยังต้องรอผลสอบสวนโรคประวัติเสี่ยงอีก 20 ราย ซึ่งต้องไปดูเหตุว่าเชื่อมโยงกับใคร
สำหรับผู้ป่วยอาการหนักมีเพิ่มเติม 4 ราย อยู่ รพ.ศิริราช 1 ราย รพ.ราชวิถี 1 ราย และ รพ.เอกชน 2 ราย รวมผู้ป่วยหนักเดิม เป็น 7 ราย สรุปผู้ป่วยสะสม 411 ราย กลับบ้านแล้ว 44 ราย เสียชีวิต 1 ราย และอยู่ระหว่างรักษา 366 ราย สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ ส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาววัยทำงาน ยังไม่มีการลดกิจกรรมสังคม ไม่เว้นระยะห่างบุคคล และนำโรคไปติดคนใกล้ชิดในครอบครัว และเพื่อน
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข แนะนำให้ประชาชนงดร่วมกิจกรรมทางสังคม เว้นระยะห่าง 2 เมตร งดหรือลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น ไม่ไปพื้นที่แออัด ทำงานอยู่บ้าน จะมีส่วนช่วยลดแพร่โรคได้ ส่วนคนที่มาจากพื้นที่ระบาดของโรค เช่น สนามมวย สถานบันเทิง ให้กักตัวเองที่บ้านอย่างเคร่งครัด 14 วัน ส่วนกรณีน้ำยาตรวจโควิด-19 อาจไม่พอนั้น แนะนำให้ผู้ที่ไม่มีความเสี่ยง หรือไม่มีอาการ ยังไม่จำเป็นต้องมาตรวจแล็บ เพราะจะเป็นการเพิ่มภาระให้ รพ. และเพิ่มความเสี่ยงที่จะไปติดโรคด้วย
3.ศาลพิพากษาจำคุก “บรรยิน” 8 ปี ไม่รอลงอาญา คดีโอนหุ้น “ชูวงษ์” ส่วนอดีตพริตตี้-โบรกเกอร์ เจอคุก 4 ปี!
เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้อ่านคำพิพากษาคดีปลอมเอกสารโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง นักธุรกิจรับเหมา ที่พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 เป็นโจทก์ และนางศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง ภรรยาของนายชูวงษ์ ในฐานะผู้จัดการมรดกสามี ผู้เสียหาย เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง น.ส.กัญฐณา หรือน้ำตาล ศิวาธนพล อดีตพริตตี้คนสนิทของ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์, น.ส.อุรชา หรือป้อนข้าว วชิรกุลฑล (ชื่อปัจจุบัน น.ส.วัชรียา หรือน้ำมนต์ วัชรประยงค์วุฒิ) เจ้าหน้าที่การตลาด หรือโบรกเกอร์บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง และคนสนิทของ พ.ต.ท.บรรยิน, พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชาชน และ น.ส.ศรีธรา พรหมา มารดาของ น.ส.อุรชา เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม ลักทรัพย์ และรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268, 334, 335 วรรคหนึ่ง (5) (7) กับวรรคสาม, 357
คดีนี้ อัยการฟ้องสรุปว่า จำเลยร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและโอนหุ้น มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ของนายชูวงษ์ไปโดยมิชอบ ก่อนที่นายชูวงษ์จะเสียชีวิตจากเหตุรถยนต์หรูยี่ห้อเลกซัสสีดำ นายชูวงษ์ ซึ่ง พ.ต.ท.บรรยิน เป็นผู้ขับ ซึ่ง พ.ต.ท.บรรยิน อ้างว่า รถเสียหลักไปชนกับต้นไม้ที่ริม ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 เขตประเวศ กทม.เมื่อปี 2558
ส่วนคดีที่ครอบครัวนายชูวงษ์ยื่นฟ้องนั้น สรุปว่า จำเลยมีการจัดทำใบขอถอน/โอนหลักทรัพย์ด้วยปากกาพิเศษที่สามารถลบได้ และร่วมกันนำเอกสารและสำเนาบัตรประชาชนนายชูวงษ์ ไปยื่นโอนหุ้นมูลค่า กว่า 266 ล้านบาทกับสองบริษัทหลักทรัพย์โดยทุจริต
ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ และได้ประกันตัวไปด้วยหลักทรัพย์ 3-5 ล้านบาท ระหว่างพิจารณา ส่วน พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 3 เพิ่งถูกเพิกถอนการประกันตัวเมื่อวันที่ 25 ก.พ.2563 เนื่องจาก พ.ต.ท.บรรยิน กำลังถูกสอบสวนคดีลักพาตัวพี่ชายผู้พิพากษาอาวุโส เจ้าของสำนวนคดีโอนหุ้นนายชูวงษ์ เพื่อบังคับกดดันให้ยกฟ้องคดีดังกล่าว กระทั่งพี่ชายผู้พิพากษานั้นถูกฆ่าเสียชีวิต
ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนดศาลอ่านคำพิพากษา จำเลยที่ 1, 2 และ 4 ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ประกันตัว เดินทางมาศาลตามนัด ส่วน พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 3 ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ศาลไม่ได้เบิกตัวมาศาล โดยได้อ่านคำพิพากษาให้ฟังผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จากห้องพิจารณาคดีของศาลถ่ายทอดสดไปยังเรือนจำ
โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่า เอกสารใบคำขอ/ถอนโอนหลักทรัพย์บริษัท อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) ที่โอนหุ้นไปให้จำเลยที่ 1 และ 4 และสำเนาบัตรประชาชนของนายชูวงษ์ มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อความ อีกทั้งการโอนไม่ได้เป็นไปตามระเบียบของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและบริษัทหลักทรัพย์ทั้งสอง ตามที่เจ้าหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและเจ้าหน้าที่ของทั้งสองบริษัทเบิกความ
นอกจากนี้ยังได้ความจากพยานบุคคล พยานเอกสาร และวัตถุพยานซึ่งเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดว่า น.ส.กัญฐณา จำเลยที่ 1 กับ พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 3 และ น.ส.อุรชา จำเลยที่ 2 กับ พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 3 มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเป็นพิเศษมากกว่านายชูวงษ์ ไม่มีเหตุที่นายชูวงษ์จะโอนหุ้นจำนวนมากให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยที่ 2
นอกจากนี้จำเลยที่ 1-2 มีหน้าตาดี จำเลยที่ 3 ชอบพอ จึงร่วมกันยักย้ายหุ้นของนายชูวงษ์ จำเลยร่วมกันไปรับประทานอาหาร ตีกอล์ฟ เที่ยวประเทศอังกฤษ โอนหุ้นให้จำเลยที่ 1-2 ไปซื้อทรัพย์สินฟุ่มเฟือย ส่วนที่จำเลยที่ 2 ตั้งครรภ์ แพทย์เบิกความผลการตรวจว่า เด็กในครรภ์มีการปฏิสนธิประมาณเดือน มิ.ย.-ต้นเดือน ก.ค. 2558 ก่อนนายชูวงษ์เสียชีวิตวันที่ 28 ก.ค. 2558 เป็นเวลาไม่นาน และพยานหลักฐานไม่พบว่า นายชูวงษ์มีพฤติกรรมสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1-2 ตามที่จำเลยกล่าวอ้าง
ขณะที่การโอนหุ้นนั้น จำเลยที่ 2 อ้างว่า ไม่สามารถรับโอนหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนเองได้ เนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทหลักทรัพย์ ต้องให้จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นมารดาเป็นผู้รับโอนแทน โดยโทรศัพท์ที่ใช้ในการยืนยันการโอนหุ้น อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 3 เสียงพูดโทรศัพท์ที่ยืนยันการโอนหุ้น ไม่ใช่เสียงของนายชูวงษ์ แต่พยานที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับนายชูวงษ์และจำเลยที่ 3 ยืนยันว่าเป็นเสียงจำเลยที่ 3
นอกจากนี้ก่อนและหลังการโอนหุ้น จากการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์และภาพจากกล้องวงจรปิดในสถานที่ต่างๆ พบว่า จำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 2 ได้พบปะและพูดคุยบ่อย รวมทั้งระหว่างที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ไปเบิกเงินที่ได้จากการขายหลักทรัพย์ที่รับโอนมา ทำให้เชื่อว่า ในการโอนหุ้นให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 มารดาจำเลยที่ 2 นั้น นายชูวงษ์ไม่มีส่วนรู้เห็น แต่จำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ปลอมใบคำขอถอน/โอนหลักทรัพย์และสำเนาบัตรประชาชนของนายชูวงษ์ แล้วโอนหุ้นของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) มูลค่า 228,000,000 บาท รวมทั้งจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 2 โอนหุ้นของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หลักทรัพย์ของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) รวมมูลค่า 35,050,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 4 มารดาของจำเลยที่ 2
ส่วนจำเลยที่ 4 มารดาของจำเลยที่ 2 นั้น ศาลเห็นว่า พยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่า มีส่วนร่วมในการปลอมใบคำขอถอน/โอนหลักทรัพย์และสำเนาบัตรประชาชนของนายชูวงษ์ ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยที่ 1-3 มีความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม พิพากษาให้จำคุก น.ส.กัญฐณา จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 4 ปี, จำคุก น.ส.อุรชา จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 4 ปี, จำคุก พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 3 กระทงละ 4 ปี 2 กระทง รวมจำคุก 8 ปี โดยไม่รอลงอาญา และยกฟ้อง น.ส.ศรีธรา จำเลยที่ 4
หลังฟังคำพิพากษา นางวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ พี่สาวของนายชูวงษ์ ได้ขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรม หลังรอมา 4 ปี 9 เดือน และขอแสดงความเสียใจกับพี่ชายของผู้พิพากษาที่เสียชีวิตจากคดีนี้ และว่า จะคัดคำพิพากษาของคดีนี้ ไปยื่นต่อศาลอาญาพระโขนงในคดีฆาตกรรมนายชูวงษ์ต่อไป
หลังศาลอ่านคำพิพากษา น.ส.กัญฐณา จำเลยที่ 1 ได้ให้ทนายความยื่นขอประกันตัวพร้อมหลักทรัพย์เดิม 5 ล้านบาท ขณะที่ น.ส.อุรชา จำเลยที่ 2 ยื่นขอประกันตัวด้วยหลักทรัพย์เดิม 3 ล้านบาท ด้านศาลพิจารณาแล้ว เห็นควรส่งให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราว เพื่อมีคำสั่งว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ต่อไป โดยระหว่างรอคำสั่งศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองต้องถูกนำตัวไปคุมขังยังทัณฑสถานหญิงกลาง
4.หน้ากากอนามัยพ่นพิษ “บิ๊กตู่” เด้ง “วิชัย” อธิบดีกรมการค้าภายใน ด้านเจ้าตัวยื่นใบลาออกทันที!
เมื่อวันที่ 15 มี.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีคำสั่งที่ 80/2563 ให้นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ โดยไม่ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิม จนกว่าจะมีการตรวจสอบแล้วหรือมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง โดยให้เหตุผลที่โยกนายวิชัยมาปฏิบัติหน้าที่สำนักนายกฯ ว่า เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการบริหารจัดการของรัฐบาลภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย กรณีมีประเด็นเกี่ยวกับการกักตุหน้ากากอนามัย สมควรมีการตรวจสอบให้เกิดความชัดเจน ตลอดจนเกิดประโยชน์สูงสุดแก่การบริหารราชการของกรมการค้าภายใน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (3) และ (4) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534
โดยระหว่างปฏิบัติราชการสำนักนายกฯ ให้ปฏิบัติราชการเกี่ยวกับการตรวจราชการโดยอยู่ในกำกับดูแลของปลัดสำนักนายกฯ และเพื่อให้การบริหารราชการของกรมการค้าภายในเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนต่อไป มีผลตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค.เป็นต้นไป
วันต่อมา (16 มี.ค.) นายวิชัย ไม่เพียงเดินทางเข้ากรมการค้าภายในเพื่อเก็บของและอำลาข้าราชการ แต่ยังได้ยื่นใบลาออกจากราชการด้วย โดยกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ได้ยื่นใบลาออกต่อปลัดกระทรวงพาณิชย์ แต่ปลัดฯ จะเซ็นนุมัติเมื่อไร ไม่ทราบ พร้อมทั้งได้ยื่นลาพักร้อนจนถึงวันที่ 23 เม.ย.นี้ และว่า หลังจากนี้ก็ได้พักผ่อนที่บ้าน ส่วนกรณีที่นายกฯ ได้ลงนามในคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ นายวิชัย กล่าวว่า หากมองในแง่ดี ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะก่อนหน้านี้ได้ทำงานอย่างหนัก จนต้องผ่าตัดสมองมาแล้วครั้งหนึ่ง จนถึงปัจจุบันยังมีปัญหาสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
นายวิชัย กล่าวอีกว่า ได้ฝากงานกรมการค้าภายใน มีภารกิจต้องรับงานที่หนักและยากเย็นแสนเข็นอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขออกมาตรการกำลังจะเจอกับสเต็ป 3 ของโควิด-19 ดังนั้น ทีมงานกรมการค้าภายในต้องหนักแน่นและเป็นฐานกำลังเข้าไปดูแล “ผมรับราชการที่กระทรวงพาณิชย์ 36 ปี ...มีหลายภารกิจที่ยากมากและยากสุด แต่งานหินที่สุดคือ หน้ากากอนามัย ต่อให้ 100 วิชัย ก็ไม่สามารถแก้ไขเรื่องหน้ากากอนามัยได้ เพราะติดกระดุมเม็ดแรกไม่ตรง ที่ทุกคนต้องมีหน้ากากอนามัย เป็นเรื่องที่ผิดพลาดที่ไปใส่ความคิดนี้ ...ผลิตได้กว่า 1.2 ล้านชิ้น/วัน กับประชากรไทย 65 ล้านคน ขายความคิดว่าทุกคนต้องมี ผมบอกได้เลยว่า ไม่สามารถใช้หน้ากาก 1 ชิ้นกับสัดส่วนประชากรไทยครบ 1 คนต่อ 1 ชิ้นได้แน่นอน”
นายวิชัย กล่าวต่อไปว่า “ผมรักคนไทยไม่น้อยกว่าผู้บริหารประเทศ และตัวผมไม่เคยแย่งหน้ากากอนามัยใครใช้ การอนุญาตส่งออก ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะเป็นการผลิตที่ได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีเพื่อลงทุนส่งออก ส่วนการถูกคำสั่งย้ายครั้งนี้เป็นธรรมหรือไม่นั้น นายวิชัย กล่าวว่า สังคมรับรู้ได้เอง แต่ไม่คิดจะฟ้องร้อง “ผมไม่ใช่ลูกฟุตบอล ให้ใครเตะไปมา ยืนยันว่า โล่งใจและอยากพักผ่อนเต็มที ...ส่วนที่โยงผมกับไอ้โม่งนั้น ไม่รู้โยงได้ยังไง ผมปฏิเสธมาตลอด ไม่ว่าจะใครหรือรับสั่งการจากนักการเมือง นักการเมืองไม่มีใครเคยสั่งผมหรือข้าราชการในกรม ขอยืนยันไม่ว่าจะเป็นผมหรือทีมงาน ไม่มีใครหาผลประโยชน์ เรื่องนี้เป็นวิกฤตความเป็นความตาย ใครทำ ก็แย่และสุดเลว”
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ระหว่างที่นายวิชัยกล่าวอำลาข้าราชการ ได้พูดด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอ จนต้องให้ผู้สื่อข่าวออกจากห้อง
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายวิชัยยื่นหนังสือลาออก จะมีผลต่อการสอบสวนกรณีการกักตุนหน้ากากอนามัยหรือไม่ว่า ยังสอบต่อได้ ซึ่งขณะนี้ทางกระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน และว่า หากมีการลาออก ก็ยังสามารถสอบสวนต่อไปได้ ให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลัวถูกฟ้องกลับว่าเป็นการโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่กลัว เพราะมีเหตุผล ซึ่งไม่ใช่เอามาเพื่อให้ตำแหน่งว่าง แล้วเอาใครเข้าไปแทน และไม่ได้ย้าย แต่ให้มาช่วยราชการชั่วคราว ซึ่งอาจส่งกลับไปในเร็ววันก็ได้
5.ตร. แจ้ง 5 ข้อหา “ปิยบุตร-ช่อ-พิธา” จัดชุมนุมสกายวอล์กโดยไม่แจ้ง-ไม่รับผิดชอบ นัดส่งตัวให้อัยการ 7 เม.ย.นี้!
เมื่อวันที่ 16 มี.ค. นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) พร้อมด้วย น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีตโฆษกพรรค อนค., นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ ได้เข้าพบตำรวจ สน.ปทุมวัน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหากรณีจัดชุมนุมแฟลชม็อบสกายวอล์ก สี่แยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2562
หลังเข้ารับทราบข้อกล่าวหา นายกฤษฎางค์ ทนายความ เผยว่า ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมด 5 ข้อ คือ 1.ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้ง 2.ร่วมกันจัดการชุมนุมสาธารณะโดยกีดขวางทางเข้าออกหรือรบกวนการปฏิบัติงานหรือการใช้บริการสถานีรถไฟ 3.ร่วมกันจัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่ดูแลและรับผิดชอบการชุมนุมสาธารณะไม่ให้เกิดการขัดขวางเกินสมควรต่อประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะฯ 4.ร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และ 5.ชุมนุมในระยะไม่เกิน 150 เมตร จากพระราชวัง ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดให้การปฏิเสธ ด้านพนักงานสอบสวนได้นัดส่งตัวให้อัยการเพื่อฟ้องต่อศาลในวันที่ 7 เม.ย.นี้
ด้านนายปิยบุตร กล่าวว่า เชื่อมั่นในเสรีภาพทางการแสดงออก อันเป็นหัวใจหลักประชาธิปไตย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมองว่า พ.ร.บ.ชุมนุม จะช่วยแก้ปัญหาได้ดี แต่กลับกลายเป็นสร้างปัญหามากยิ่งกว่า แม้จะใช้ระบบการแจ้งขอการชุมนุม แต่กลายเป็นการขออนุญาต ทำให้เจ้าหน้าที่วางเงื่อนไขเคร่งครัด จนจัดการชุมนุมไม่ได้ ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ประสงค์แจ้งชุมนุม ก่อนหน้านี้เคยเชิญ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาหารือในคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน เพื่อทบทวนเรื่องนี้ ซึ่งในที่ประชุมได้มีข้อเสนอแนะหลายอย่าง ยืนยันว่า จะก่อตั้งคณะขึ้นมาเคลื่อนไหวทางความคิด เพื่อรณรงค์การเมืองต่อไป
ขณะที่นายพิธา กล่าวว่า ภารกิจแรกที่เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล แล้วต้องมารับทราบข้อกล่าวหาในวันนี้ (16 มี.ค.) แสดงให้เห็นว่า บรรยากาศการเมืองไทยที่ใช้กฎหมายเป็นเกมการเมืองนั้น ไม่ต้องการให้มีคนหน้าใหม่เข้ามา ทั้งที่ตนอยากเห็นคนเก่งๆ มีความสามารถเข้ามาทำงาน ยืนยันว่า ไม่กลัวหรือมีความกังวลว่า จะทำให้การทำงานของพรรคในอนาคตจะมีปัญหาอะไร เพราะทุกขั้นตอนทำอย่างโปร่งใส การบริหารและหลักการจะยังเหมือนเดิม ยังเชื่อมั่นในสิทธิเสรีภาพทางการชุมนุม อันเป็นหลักประชาธิปไตยที่ประชาชนจะรวมตัวเรียกร้อง ซึ่งเป็นสิทธิที่พึงกระทำได้