ถอดรหัสคำให้การผ่านโฟนอิน “ผอ.กอล์ฟ” ผู้ต้องหาชิงทรัพย์ร้านทอง ห้างฯ โรบินสัน ลพบุรี อ้างยิงเพื่อเปิดทาง แต่พบแย้งกับภาพวงจรปิดจ่อยิง-ใช้ท่อเก็บเสียงก่อเหตุ
... รายงานพิเศษ
เป็นครั้งแรกที่ “ผอ.กอล์ฟ” นายประสิทธิชัย เขาแก้ว อายุ 39 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สิงห์บุรี พูดโฟนอินผ่านสาธารณชน หลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีปล้นร้านทองออโรร่า ภายในห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์ ลพบุรี เมื่อค่ำวันที่ 9 ม.ค. และใช้ปืนเก็บเสียงยิงคนจนมีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 4 ราย
มีคำให้การหลายข้อที่ฟังกันแล้วยัง “คาใจ”
1. เหยื่อผู้หญิงพนักงานร้านทองที่ถูกยิงซ้ำ นายประสิทธิชัย อ้างว่า “หันปลายกระบอกปืนไปทางนั้นพอดี และถุงมือที่ใส่อยู่ไปขัดไกปืน พยายามดึงออกแต่กลายเป็นลั่นไป 2 นัด”
นี่เป็นปัญหาคาใจข้อสำคัญ เพราะคำให้การของนายประสิทธิชัย พยายามจะบอกว่า “ไม่ได้มีเจตนายิงซ้ำ” พนักงานร้านทองผู้หญิงคนนี้ แต่เกิดจาก “ปืนลั่น”?
เมื่อไปคุยกับผู้ที่ใช้อาวุธปืนเป็นประจำ ได้ข้อมูลน่าสนใจ 3 ประเด็น
ข้อแรก ผู้ที่ใช้อาวุธปืนมองว่า ถ้าถุงมือไปติดในโกร่งไกปืนจริง และไม่มีเจตนาจะยิงจริง วิธีการที่จะดึงนิ้วออก น่าจะใช้ “มืออีกข้าง” ไปจับกระบอกปืนก่อน แล้วจึงดึงมือที่ติดอยู่ออก ทั้งที่ในช่วงนั้นยังไม่ได้ใช้มือหยิบทองในตู้
ข้อสอง ง่ายกว่านั้น คือ ยังไม่ต้องดึงออก และไม่ต้องเหนี่ยวไก
ไม่มีเหตุผลที่ต้องเหนี่ยวไกปืนเลย
ข้อสาม เป็นข้อที่น่าสนใจที่สุด เพราะผู้ใช้อาวุธปืน ให้ข้อมูลว่า ถึงแม้ว่าผู้ต้องหาจะพยายามชักนิ้ว ที่อ้างว่าถุงมือไปติดออกจากโกร่งไกปืนด้วยมือเดียว จนเกิดเหตุปืนลั่น ก็ “ควรจะ” ลั่นแค่นัดเดียว เป็นไปได้ยากมากที่จะลั่นถึง 2 นัด
เขาจึงเห็นว่า คำให้การนี้ “ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ”
อันที่จริง อาจไม่มีน้ำหนักเพียงพอแต่แรก เพราะหากเป็นคนที่ใช้ปืนทั่วไป จะ “ไม่หันปากกระบอกปืนไปทางคน” เด็ดขาด ถ้าไม่ใช่เป้าหมาย
ข้อนี้จึงผิดปกติตั้งแต่การ “หันปากประบอกปืน” ไปที่พนักงานร้านทองหญิงแล้ว
2. การยิงเปิดทาง นายประสิทธิชัย อ้างว่า “การยิงตั้งแต่นัดแรก มีเจตนาเพื่อเปิดทางหรือยิงให้กลัว แต่กระสุนที่ยิงกระจกไปถูกพนักงานร้านทอง จากนั้นจึงควบคุมสติไม่ได้ อารมณ์หลุด” ทำให้สถานการณ์บานปลาย
ข้อนี้น่าเสียดายที่ไม่ได้คำตอบในระหว่างการแถลงข่าวเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา เพราะมีคำถามจากสื่อมวลชนว่า ถ้าต้องการยิงเพื่อเปิดทางจริง ทำไมจึงใช้ “ปืนติดท่อเก็บเสียง”
แต่นายประสิทธิชัย น่าจะยังไม่ได้ยินคำถาม จึงไม่ได้ตอบคำถามนี้ ก่อนคำถามอื่นจะแทรกขึ้นมาพอดี
ถ้าวิเคราะห์วิธีการปล้นที่ต้องการทรัพย์สินเท่านั้น ไม่มีเจตนาทำร้ายคนกันโดยทั่วไป จะใช้ปืนเพื่อยิงเปิดทางหรือยิงให้กลัว ก็ควรจะใช้ “ปืนที่มีเสียงดัง” เพราะเสียงปืนมีอานุภาพที่จะข่มขวัญคนทั่วไปให้กลัวได้อยู่แล้ว
แต่นายประสิทธิชัย กลับเลือกที่จะใช้ปืนเก็บเสียง ซึ่งแย้งกับคำให้การที่บอกว่า “ต้องการเปิดทางหรือยิงให้กลัว” อย่างสิ้นเชิง
ที่สำคัญ มีกระสุนอย่างน้อย 2 นัด ที่นายประสิทธิชัย เดินเข้าไป “จ่อยิง” ประชาชนที่ยืนอยู่ 3 คน ที่มาดูทองอยู่ที่หน้าตู้กระจกก่อนจะปีนตู้
แบบนี้เรียก “ยิงเปิดทางได้หรือ?”
มาดูที่มาของ “ท่อเก็บเสียง” (Silencer) ชิ้นนี้กัน
ท่อเก็บเสียงที่ผู้ต้องหาใช้ ยี่ห้อ SWR ได้มาจากนายมด (ตำรวจขอสงวนชื่อจริง-นามสกุล) ซึ่งรับว่าจ้างโรงงานที่ปทุมธานีให้ผลิตให้ ถูกผลิตขึ้นมา 60 ชิ้น จัดส่งให้ลูกค้าไปยังสายลับใน จ.สิงห์บุรี และสายลับมอบท่อเก็บเสียงให้ผู้ต้องหา (เปิดเผยรายละเอียดไม่ได้ แต่มีอยู่ในสำนวน) และท่อเก็บเสียงเป็นหลักฐานที่ยังไม่พบ อยู่ระหว่างการค้นหาของทีมนักประดาน้ำ ตามที่ผู้ต้องหาอ้างว่านำไปทิ้งในน้ำ
จะเห็นว่า “ท่อเก็บเสียง” เป็นอุปกรณ์พิเศษที่หายาก ถ้าเป็นของแท้ ถือเป็นยุทธภัณฑ์ มีไว้ในครอบครองไม่ได้ นำเข้าจากต่างประเทศไม่ได้ ผิดกฎหมาย เพราะคนทั่วไปที่ขออนุญาตพกพาอาวุธปืน ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ท่อเก็บเสียง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในภารกิจสำคัญทางยุทธวิธีเท่านั้น
ส่วนชิ้นนี้ ชัดเจนว่าเป็นแบบที่สั่งผลิตเองในประเทศ ไม่ถูกกฎหมาย การที่นายประสิทธิชัยสั่งมาไว้เพื่อครอบครอง ก็ต้องตอบคำถามว่าจะมีไว้ในครอบครองเพื่ออะไร มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้ปืนเก็บเสียง
ถ้าไม่ใช่เพราะ “มีเจตนาไม่บริสุทธิ์” แต่แรก และโรงงานที่รับผลิตรวมทั้งนายมด ผู้สั่ง ก็จะมีความผิดในประเด็นที่มีอุปกรณ์ชิ้นนี้ไปด้วย
3. ความพยายามทำลายหลักฐานที่ใช้ในวันก่อเหตุ จากข้อมูลที่ตำรวจนำมาแสดงในการแถลงข่าว จะเห็นว่า หลักฐานทุกชิ้นถูกทำลายอย่างมีนัยยะสำคัญ ตั้งแต่เครื่องแต่งกายที่เขาใส่ก่อเหตุ เสื้อแขนยาวสีดำ ถุงมือ และกางเกงลายพราง ถูกทิ้งแยกเป็น 3 จุด
ได้แก่ ระหว่างทางจากจุดเกิดเหตุที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์ ลพบุรี กับบ้านของผู้ต้องหา ส่วนรองเท้าและกระเป๋า ถูกนำไปเผาทิ้งข้างห้องน้ำในโรงเรียนที่เขาเป็นผู้บริหารใน จ.สิงห์บุรี
ท่อเก็บเสียง ที่ยังหาไม่พบ ผู้ต้องหาอ้างว่า นำไปทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสะพานบางระจัน ถนนเข้าเมืองสิงห์บุรี อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ส่วนปืนพบที่ ต.ทะเลชุบศร อ.เมือง จ.ลพบุรี และทองคำ 31 เส้น พบที่บ้านของบิดานายประสิทธิชัย ใส่ไว้ในถุงเท้าก่อนจะยัดเข้าไปในช่องโครงเหล็กในโรงรถ
แต่ก็น่าสนใจมากตรงที่หลักฐานชิ้นสำคัญที่สุด 2 ชิ้น กลับไม่ถูกทำลาย คือ “ปืน CZ SP01” ที่ใช้ก่อเหตุนำกลับไปไว้ที่บ้านบิดาของเขาเอง และพาหนะที่ใช้หลบหนี คือ รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ฟีโน่ สีแดง ปี 2018 ของพ่อตา ถูกนำกลับไปคืน ทั้งที่มีตำหนิใหญ่มาก ตรงสติกเกอร์ที่บังโคลนหน้า ล้อแม็กลาย 5 ก้านสีดำ ต้องหาสาเหตุที่หลักฐาน 2 ชิ้นนี้ไม่ถูกทำลาย
แต่ถ้าวิเคราะห์เบื้องต้น ก็อาจเป็นเพียงการทำให้ไม่มีพิรุธกับคนในครอบครัว เพราะทั้ง 2 ชิ้น “ไม่ใช่ทรัพย์สิน” ของนายประสิทธิชัย จึงต้องนำไปคืนเจ้าของ
พฤติกรรมนี้น่าสนใจ เพราะนายประสิทธิชัย อ้างว่า หลังก่อเหตุไม่ได้คิดหลบหนี พยายามทำตัวให้เป็นปกติ และยังอ้างว่า ที่ก่อนหน้านี้ไม่เข้ามอบตัว แม้จะสำนึกเสียใจ เพราะมีแผนจะเข้ามอบตัวหลังวันที่ 24 ม.ค. โดยอ้างว่ามีภารกิจที่จะต้องทำที่โรงเรียนให้กับนักเรียนก่อน
แต่ถ้าดูจากความพยายามที่จะทำลายหลักฐานต่างๆ แล้ว ช่าง “สวนทาง” กับคำให้การอย่างสิ้นเชิง
คำให้การของ “ประสิทธิชัย” ดูแล้วมีเป้าหมายชัดเจนว่า “เตรียมคำตอบมาเป็นอย่างดี” ก่อนจะโฟนอินให้สื่อมวลชนถาม
และยิ่งชัดว่า เขาพยายามทำให้คดีร้ายแรง ที่มีข้อหาเจตนาฆ่า หรือฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กลายเป็น “ควบคุมอารมณ์ไม่ได้” ไม่มีเจตนาฆ่ามาก่อน รวมทั้งข้ออ้างว่า “ปืนลั่น” จากถุงมือที่ติดในโกร่งไก แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียง “คำให้การของผู้ต้องหา” ที่ยังมีข้อโต้แย้งมากมาย
ฟากตำรวจ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ชี้แจงให้สังคมเข้าใจว่า สิ่งที่นายประสิทธิชัยพูดผ่านการโฟนอิน เป็นเพียง “คำให้การ” ของเขา ตามสิทธิของผู้ต้องหาที่จะให้การอย่างไรก็ได้
แต่ในการทำคดีต้องแยก “คำให้การของผู้ต้องหา” ออกจาก “พยานหลักฐาน”
รอง ผบ.ตร. ย้ำว่า ผู้ต้องหาเดินเข้ามาในที่เกิดเหตุเอาปืนไปยิงคน และเข้าไปปล้นทอง จึงตั้งข้อหาว่า “มีเจตนายิงคน” และ “ประสงค์ต่อทรัพย์” ตามพฤติกรรมที่เห็น โดยระบุว่า ตำรวจมีวิธีการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ แม้ว่าผู้ต้องหาจะให้การไปเป็นอีกอย่างหนึ่งก็ตาม