เรียกว่าสถานการณ์โลกในตอนนี้มีความดราม่าตั้งแต่เริ่มปี 2020 เลยทีเดียว เมื่อสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่าง สหรัฐอเมริกา กับ อิหร่าน เกิดความตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้ง จนชาวโลกต้องมาเฝ้าดูความดราม่าระหว่างสองประเทศจาก 2 ซีกโลกนี้ด้วยความห่วงใย ซึ่งพอมาดูข่าวนี้แล้ว อยู่ๆ ก็พลันนึกถึงแมตซ์ฟุตบอลเกมประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ที่ทั้งสองชาติได้มาเจอกันในโลกลูกหนัง เมื่อประมาณ 22 ปีก่อน ขึ้นมาทันที...
หลังจากการปฎิวัติอิหร่าน เมื่อปี 1979 ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเรียกว่าไม่สู้ดีนัก อาจเป็นเพราะกรณีสงคราที่เกิดในภูมิภาคตะวันออกกลางในช่วงทศวรรษ 1980 จนถึง 1990 เรียกได้ว่า ทั้งสหรัฐอเมริกา และ อิหร่าน ต่างก็เป็นดั่งเส้นขนานกันดั่งศัตรูมาโดยตลอด ผ่านทางการเป็นชาติของสงครามอิรัก-อิหร่าน โดย “แยงกี้” เป็นฝ่ายสนับสนุนอิรักในการเปิดวอร์นี้ ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เลวร้ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม...
จนกระทั่ง เมื่อมหกรรมลูกหนังของชาวโลก อย่างศึกฟุตบอลโลก ปี 1998 ได้เวียนมาบรรจบ และพลันที่การจับสลากรอบแบ่งกลุ่มจบลง เหมือนโชคชะตาเล่นตลก เพราะทั้งสองชาติต้องมาอยู่ร่วมสายกลุ่มเอฟ ในการแข่งขันรอบแรกด้วยกัน โดยที่มีเยอรมัน และ ยูโกสลาเวีย เป็นเพื่อนร่วมกลุ่ม ซึ่งถ้าเป็นคอการเมืองและคอฟุตบอลด้วย เรียกได้ว่านับถอยหลังรอชมเกมนี้อย่างใจจดจ่อ แถมเป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งสองชาติในโลกฟุตบอลอีกด้วย
หลังจากที่พ่ายแพ้มาในเกมแรก (สหรัฐอเมริกาแพ้เยอรมัน 0-2 และ อิหร่านแพ้ยุโกสลาเวีย 0-1) ทำให้ทั้ง 2 ทีม ต้องการชัยชนะในเกมนี้ ทั้งการลุ้นเข้ารอบต่อไปและ “ศักดิ์ศรีที่มันค้ำคอ” จนเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 1998 มาถึง “มาเธอร์ ออฟ ออล เกมส์” ก็มาบรรเลงแข้ง ณ สนาม สตาด เดอ เจอแลนด์ เมืองลียง นักเตะทั้งสองชาติก็เดินลงสู่สนามเพื่อทำศึกดังกล่าว โดยทางฝั่งอิหร่านนั้น ได้รับกำชับจากทาง อาลี คัมเมนี ผู้นำสูงสุดของชาติในตอนนั้นว่า ‘จะไม่ยอมเดินไปจับมือกับนักเตะอเมริกันเด็ดขาด’ นั่นจึงทำให้ทางฝั่งสหรัฐ ต้องเดินมาจับมือแทน พร้อมกับถือช่อดอกไม้ และนักเตะทั้งสองทีมชักภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกก่อนเริ่มเกม ต่อหน้าผู้ชม 39100 คนในสนาม และทางทีวีทั่วโลก
เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น โดยภาพรวมแล้ว อิหร่านมีการเล่นที่เหนือกว่านิดหน่อย แต่ทางสหรัฐก็มีการตั้งรับที่ดี แล้วในที่สุดประตูแรกของเกมก็มา โดยที่จังหวะเปิดจากทางด้านข้าง และเป็น ฮามิด เอสติลี่ เทคตัวขึ้นโหม่งให้อิหร่านขึ้นนำไปก่อน ในนาทีที่ 41 และประตูที่สองของทีมก็ตาม เมื่อการสวนกลับของทีมเกิดขึ้นในนาทีที่ 83 และเป้น เมห์ดี้ มาดาวิเกีย หนึ่งในสตาร์ของทีมในตอนนั้น วิ่งหนีกองหลังมะกัน ก่อนที่จะทำสกอร์หนีห่างเป็น 2-0 แม้ว่าทางสหรัฐจะตีไข่แตกได้ จากจังหวะป้วนเปี้ยนหน้าประตู และเป็น ไบรอัน แม็คไบรท์ ที่ยิงเข้าไป ในนาทีที่ 87 แต่สุดท้ายก็ไม่ทันการณ์ จบเกม อิหร่านเป็นฝ่ายที่เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 ซึ่งนอกจากจะเป็นชัยชนะครั้งแรกของทีมต่อสหรัฐฯ แล้ว ยังถือได้ว่าเป็นเกมชนะเกมแรกในฟุตบอลโลกของอิหร่าน นักตั้งแต่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งแรกในปี 1978 อีกด้วย
แม้ว่าท้ายที่สุด ทั้งสองทีมจะตกรอบแรกในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ และทั้งคู่ก็เคยพบกันในโลกลูกหนังอีกเกม ในปี 2000 และจบลงไปด้วยสกอร์ 1-1 แต่เกมการแข่งขันนี้ ก็น่าจะเป็นเกมในความทรงจำของแฟนบอลทั้งสองชาติและทั่วโลกอย่างแน่นอน ซึ่งก็ได้แต่หวังว่า ขอให้กลับมาดวลแข้งกันในการกีฬาหรืออย่างอื่นเถอะ เพราะชาวโลกคงไม่อยากจะได้สงครามหรอก
หลังจากการปฎิวัติอิหร่าน เมื่อปี 1979 ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเรียกว่าไม่สู้ดีนัก อาจเป็นเพราะกรณีสงคราที่เกิดในภูมิภาคตะวันออกกลางในช่วงทศวรรษ 1980 จนถึง 1990 เรียกได้ว่า ทั้งสหรัฐอเมริกา และ อิหร่าน ต่างก็เป็นดั่งเส้นขนานกันดั่งศัตรูมาโดยตลอด ผ่านทางการเป็นชาติของสงครามอิรัก-อิหร่าน โดย “แยงกี้” เป็นฝ่ายสนับสนุนอิรักในการเปิดวอร์นี้ ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เลวร้ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม...
จนกระทั่ง เมื่อมหกรรมลูกหนังของชาวโลก อย่างศึกฟุตบอลโลก ปี 1998 ได้เวียนมาบรรจบ และพลันที่การจับสลากรอบแบ่งกลุ่มจบลง เหมือนโชคชะตาเล่นตลก เพราะทั้งสองชาติต้องมาอยู่ร่วมสายกลุ่มเอฟ ในการแข่งขันรอบแรกด้วยกัน โดยที่มีเยอรมัน และ ยูโกสลาเวีย เป็นเพื่อนร่วมกลุ่ม ซึ่งถ้าเป็นคอการเมืองและคอฟุตบอลด้วย เรียกได้ว่านับถอยหลังรอชมเกมนี้อย่างใจจดจ่อ แถมเป็นการพบกันครั้งแรกของทั้งสองชาติในโลกฟุตบอลอีกด้วย
หลังจากที่พ่ายแพ้มาในเกมแรก (สหรัฐอเมริกาแพ้เยอรมัน 0-2 และ อิหร่านแพ้ยุโกสลาเวีย 0-1) ทำให้ทั้ง 2 ทีม ต้องการชัยชนะในเกมนี้ ทั้งการลุ้นเข้ารอบต่อไปและ “ศักดิ์ศรีที่มันค้ำคอ” จนเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 1998 มาถึง “มาเธอร์ ออฟ ออล เกมส์” ก็มาบรรเลงแข้ง ณ สนาม สตาด เดอ เจอแลนด์ เมืองลียง นักเตะทั้งสองชาติก็เดินลงสู่สนามเพื่อทำศึกดังกล่าว โดยทางฝั่งอิหร่านนั้น ได้รับกำชับจากทาง อาลี คัมเมนี ผู้นำสูงสุดของชาติในตอนนั้นว่า ‘จะไม่ยอมเดินไปจับมือกับนักเตะอเมริกันเด็ดขาด’ นั่นจึงทำให้ทางฝั่งสหรัฐ ต้องเดินมาจับมือแทน พร้อมกับถือช่อดอกไม้ และนักเตะทั้งสองทีมชักภาพร่วมกันเป็นที่ระลึกก่อนเริ่มเกม ต่อหน้าผู้ชม 39100 คนในสนาม และทางทีวีทั่วโลก
เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น โดยภาพรวมแล้ว อิหร่านมีการเล่นที่เหนือกว่านิดหน่อย แต่ทางสหรัฐก็มีการตั้งรับที่ดี แล้วในที่สุดประตูแรกของเกมก็มา โดยที่จังหวะเปิดจากทางด้านข้าง และเป็น ฮามิด เอสติลี่ เทคตัวขึ้นโหม่งให้อิหร่านขึ้นนำไปก่อน ในนาทีที่ 41 และประตูที่สองของทีมก็ตาม เมื่อการสวนกลับของทีมเกิดขึ้นในนาทีที่ 83 และเป้น เมห์ดี้ มาดาวิเกีย หนึ่งในสตาร์ของทีมในตอนนั้น วิ่งหนีกองหลังมะกัน ก่อนที่จะทำสกอร์หนีห่างเป็น 2-0 แม้ว่าทางสหรัฐจะตีไข่แตกได้ จากจังหวะป้วนเปี้ยนหน้าประตู และเป็น ไบรอัน แม็คไบรท์ ที่ยิงเข้าไป ในนาทีที่ 87 แต่สุดท้ายก็ไม่ทันการณ์ จบเกม อิหร่านเป็นฝ่ายที่เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 ซึ่งนอกจากจะเป็นชัยชนะครั้งแรกของทีมต่อสหรัฐฯ แล้ว ยังถือได้ว่าเป็นเกมชนะเกมแรกในฟุตบอลโลกของอิหร่าน นักตั้งแต่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งแรกในปี 1978 อีกด้วย
แม้ว่าท้ายที่สุด ทั้งสองทีมจะตกรอบแรกในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ และทั้งคู่ก็เคยพบกันในโลกลูกหนังอีกเกม ในปี 2000 และจบลงไปด้วยสกอร์ 1-1 แต่เกมการแข่งขันนี้ ก็น่าจะเป็นเกมในความทรงจำของแฟนบอลทั้งสองชาติและทั่วโลกอย่างแน่นอน ซึ่งก็ได้แต่หวังว่า ขอให้กลับมาดวลแข้งกันในการกีฬาหรืออย่างอื่นเถอะ เพราะชาวโลกคงไม่อยากจะได้สงครามหรอก