ผู้ที่ไปเที่ยวพระราชวังบางปะอิน มักจะไม่ละโอกาสที่จะนั่งกระเช้าไฟฟ้าข้ามแม่น้ำไปชม วัดนิเวศธรรมประวัติ บนเกาะบางปะอิน วัดหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่สร้างด้วยศิลปกรรมที่แตกต่างจากวัดพุทธทั้งหลาย แต่กลับไปเหมือนกับโบสถ์ในคริสต์ศาสนา
ทั้งนี้เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างพระราชวังบางปะอินขึ้นใหม่ในปี ๒๔๑๕ หลังจากที่รัชกาลที่ ๔ ทรงสร้างขึ้นจากตำหนักเดิมที่ถูกทิ้งร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททอง เมื่อแล้วเสร็จในปี ๒๔๑๙ มีการสมโภชแล้วก็ทรงพระราชดำริที่จะให้สร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่ง ตามธรรมเนียมนิยมที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาว่า เมื่อพระหากษัตริย์ทรงสร้างพระราชวังที่ประทับหรือสำหรับแปรพระราชฐานขึ้น ณ ที่ใด ก็มักจะสร้างวัดขึ้นประจำพระราชวังด้วย เพื่อเป็นที่บำเพ็ญพระราชกุศล
หน้าพระราชวังบางปะอินมีเกาะอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่เกาะหนึ่งเป็นที่รกร้าง จึงทรงเลือกเกาะนี้เป็นที่สร้างวัด แต่มีพระราชดำริให้วัดนี้ไม่ใช่วัดธรรมดา ดังพระราชหัตถเลขาพระราชทานพระราชอาณาเขตถวายเป็นที่วิสุงคามสีมาไว้ว่า
“สมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าแผ่นดินสยาม ขอประกาศแก่พระสังฆเถรานุเถร ตลอดจนสังฆนวกทั้งปวง บันดาได้มาประชุมพร้อมกันในเวลานี้ ฤาซึ่งจะมาแต่จตุรทิศทั้งสี่สืบไปในภายน่า และพระบรมราชวงษานุวงศ์ อีกทั้งข้าราชการทั้งปวง ให้ทราบทั่วกันว่า ภูมสฐานที่รกร้างว่างเปล่าอยู่ เมื่อฤดูน้ำท่วมสูงพ้นดิน ๒ ศอกเสส ๓ ศอกถึง ๔ ศอกก็มีบ้าง ข้าพเจ้าคิดจะใคร่สร้างเป็นพระอารามน้อยๆ สำหรับบำเพ็ญกุศลใกล้พระราชวังในเวลาเมื่อได้ขึ้นมาพักแรมอยู่ที่เกาะบางปะอินนี้ จึงได้คิดให้ถมดินให้พ้นน้ำตามฤดูที่เคยประมาณว่าเป็นอย่างมากโดยปกติ แล้วให้พนักงานจ้างเหมาช่างชาวประเทศตะวันตก กะวางแผนที่ทำตามแบบอย่างข้างประเทศตะวันตกทุกสิ่ง ซึ่งได้ให้คิดสร้างโดยแบบอย่างที่เป็นของชาวต่างประเทศดังนี้ ด้วยมีตวามประสงค์จะบูชาพระพุทธศาสนาด้วยของแปลกปลาด และเพื่อจะให้อาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงชมเล่นเป็นของแปลก ยังไม่เคยมีในพระอารามอื่น และเป็นของมั่นคงถาวร สมควรจะเป็นพระอารามหลวงในหัวเมือง ใช่จะนิยมยินดีเลื่อมไสยในลัทธิศาสนาอื่นนอกจากพระพุทธศาสนานั้นหามิได้”
นี่ก็คือที่มาของวัดนิเวศธรรมประวัติ วัดแห่งเดียวในประเทศไทยที่สร้างด้วยศิลปกรรมแบบโกธิค ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยรักาลที่ ๕ ในยุคตื่นตัวรับศิลปวัฒนธรรมตะวันตก ด้วยพระระราชดำริที่ว่า
“...ด้วยมีความประสงค์จะจะบูชาพระพุทธศาสนาด้วยของแปลกปลาด และเพื่อจะให้อาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงชมเล่นเป็นของแปลก ยังไม่เคยมีในพระอารามอื่น...”
ส่วนที่กรุงเทพฯและเมืองพัทยาก็มีของแปลกแบบนี้เช่นกัน
ในซอยร่วมฤดี ถนนเพลินจิต คนที่เพิ่งเข้าไปเป็นครั้งแรกจะเห็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้แปลกใจ เมื่อพบโบสถ์ใหญ่โบสถ์หนึ่งสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมไทย ทั้งลวดลายและศิลปการตกแต่งทั้งหมดก็เป็นศิลปไทย เช่นเดียวกับโบสถ์ของวัดพุทธศาสนาทั่วไป แต่บนหลังคาแทนที่จะมีช่อฟ้าใบระกา กลับมีไม้กางเขน นั่นก็คือโบสถ์พระมหาไถ่
วัดพระมหาไถ่แห่งนี้ สร้างเสร็จและทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๔๙๗ หลังจากที่นักบวชคณะพระมหาไถ่ได้เข้ามาเมืองไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ และเปิดวัดเล็กๆขึ้นภายในบ้านพักของคณะในกรุงเทพฯที่ซอยนายเลิศ สี่พระยา ในปี ๒๔๙๒ มีชื่อว่า “วัดแม่พระโรงรถ” ถือว่าเป็นวัดแห่งแรกของคณะมหาไถ่ ต่อมาขยายวัดออกไปด้านหน้าติดถนน และถวายนามใหม่ว่า “วัดแม่พระโรงรถและบาทวิถี”
ต่อมามีผู้มาฟังมิสซาเพิ่มขึ้นจนสถานที่คับแคบ จึงมาขออาศัยใช้หอประชุมโรงเรียนมาแตร์เดอีเป็นที่ประกอบมิสซาอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะซื้อที่ดินในซอยร่วมฤดีได้ ๔ ไร่ และประกอบพิธีเสกศิลาฤกษ์สร้างวัดใหม่แห่งนี้ในวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๙๘ สร้างโบสถ์ในแบบศิลปกรรมไทย แตกต่างจากโบสถ์คริสต์ทั่วไป ด้วยคำแนะนำของสังฆราช ฟูลตัน ชีน ชาวอเมริกัน ซึ่งมาเยือนเมืองไทย และเป็นเจ้าของไอเดียสร้างโบสถ์คริสต์ในแบบสถาปัตยกรรมไทย เป็นเหตุให้โบสถ์พระมหาไถ่มีลักษณะคล้ายโบสถ์วัดพุทธ ทั้งหลังคา หน้าจั่ว หรือซุ้มประตู มีเพียงเครื่องหมายกางเขนอยู่บนหลังตาแทนช่อฟ้าใบระกาเท่านั้น
ไม่แต่ที่ซอยร่วมฤดีนี้เท่านั้น ที่พัทยา จังหวัดชลบุรี ก็มีโบสถ์คริสต์สร้างเป็นศิลปกรรมไทยอีกแห่ง อยู่ในศูนย์ของคณะพระมหาไถ่เช่นกัน โบสถ์ของของศูนย์คณะมหาไถ่แห่งนี้ออกแบสร้างโดย บาทหลวงเรย์มอน อัลลีน เบรนนัน หรือ คุณพ่อเรย์ โดยนำศิลปกรรมไทยมาสร้างโบสถ์คริสต์อีกสไตล์ แตกต่างจากโบสถ์พระมหาไถ่ที่ซอยร่วมฤดี โดยนำศิลปกรรมวัดพุทธในสมัยกรุงธนบุรีมาเป็นต้นแบบ หน้าบันประดับชามโบราณเหมือนวัดแจ้ง ตกแต่งกระเบื้องแตกเป็นดอกไม้หลากสีสวยงาม ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังเช่นเดียวกับวัดพุทธ แต่เรื่องราวแทนที่จะเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า กลับบอกเล่าเรื่องราวของพระเยซู พระแม่มารี และพระมหาไถ่ มีจิตรกรไทย ๘ คน เป็นคาธิลิก ๓ คนและชาวพุธ ๕ คน อาสามากินนอนเขียนเป็นเวลา ๑ ปี ๘ เดือนจนเสร็จ
สิ่งแปลกอีกอย่างของโบสถ์แห่งนี้ก็คือ บนไม้กางเขนในโบสถ์ ไม่มีพระเยซูถูกตรึงอยู่ด้วย มีแต่ไม้กางเขนเปล่าๆ ด้วยความคิดที่ว่าพระเยซูตายไปแล้ว เราอย่าทรมานท่านต่อไปเลย จึงนำท่านออกจากไม้กางเขน
ทั้ง ๓ โบสถ์แปลกนี้ จึงเป็นอันซีนแปลกประหลาด ที่อาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงไม่ควรพลาด