เผยคลิปเสียงสะพัดโซเชียล ยาวสองนาทีครึ่ง “บิ๊กตำรวจ” เตือน “ท่านรอง” ทำอะไรก็ได้ให้ ผบ.ไว้วางใจ อย่ารับลูก ให้ บช.น. กับ น.1 รับไป ก่อนที่รองโฆษกตำรวจจะออกมายอมรับเป็น “บิ๊กแป๊ะ” กับ “วิระชัย”
วันนี้ (9 ม.ค.) จากกรณีที่คนร้าย 2 คน ใช้อาวุธปืนยิงรถยนต์เลกซัส อาร์เอ็กซ์ 270 สีขาว ทะเบียน 9 กจ 351 กรุงเทพมหานคร ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรืออดีตบิ๊กโจ๊ก ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ที่จอดอยู่ตรงข้ามร้านนวด สาริกา มาสสาจ ถนนสุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ หลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้ามาทำคดีนี้ด้วยตัวเอง โดย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ระบุว่าก่อนหน้านี้มีความขัดแย้งกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในกรณีที่ลงนามหนังสือ 2 ฉบับถึง ผบ.ตร. ให้ยกเลิกโครงการไบโอเมทริกซ์ เนื่องจากล่าช้าและส่งงานไม่ทัน และได้มอบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับโครงการมามอบให้พนักงานสอบสวนเพิ่มเติม ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ในโซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่คลิปเสียงที่อ้างว่าเป็นการสนทนาของสองนายตำรวจใหญ่ ระดับผู้บัญชาการ กับรองผู้บัญชาการรายหนึ่ง มีใจความว่า ทำอะไรก็ได้ให้ผู้บังคับบัญชาไว้ใจ อย่าให้ระแวง เพราะรองผู้บัญชาการหลายคนเขารู้สึก โทรศัพท์มาหา และปลายสายเห็นว่า ตำรวจนครบาล 1 และตำรวจนครบาลทำคดีอยู่แล้ว และโทรศัพท์รายงานตลอด เช่นเดียวกับเหตุลอบวางระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เตือนว่าอย่าไปคล้อยตามทำคดีรับลูก แนะว่าเมื่อลงไปทำคดีแล้วให้สั่งการ รอรายงานกลับขึ้นมาเท่านั้น โดยไม่ต้องแถลงข่าว และกล่าวหาว่าโจ๊ก (พล.ต.ท.สุรเชษฐ์) หลอกใช้รองผู้บัญชาการตำรวจแก่งชาติหลายคน ให้ พล.ต.ท. มาสั่ง พล.ต.อ. ทำแบบนี้ไม่ใช่ อยู่คนละที่ เพราะอยู่สำนักนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม ภายหลัง พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยอมรับว่าคลิปเสียงดังกล่าวเป็นการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับ พล.ต.อ.วิระชัย โดยที่ตนได้นั่งอยู่ด้วย ซึ่งเป็นการกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บังคับบัญาระดับตำรวจตามปกติ ในการทำงานให้เป็นพี่เลี้ยง ทำการกำกับ ดูแล ให้การสนับสนุน และปล่อยให้หน่วยที่รับผิดชอบได้ดำเนินการตามหน้างานตามปกติไป
ซึ่งในคดีนี้ ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามขั้นตอนตามปกติ และได้รายงานให้ ผบ.ตร. ทราบเป็นระยะ ซึ่งได้กำชับมาโดยตลอดในที่ประชุมบริหารตำรวจ สำหรับเรื่องการอัดคลิปเสียง และมีการปล่อยเสียงสนทนานั้นลงในโลกโซเชียลมีเดีย ก็ไม่ทราบว่าใครอัดและอยากรู้เหมือนกันว่าใครทำ เพราะโดยมารยาทแล้วการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างบุคคลนั้น ไม่ควรอัดบทสนทนาเอาไว้ ยกเว้นคู่สนทนาจะมีเจตนารมณ์แอบแฝงในทางที่ไม่ดีกับอีกฝ่ายหนึ่ง