1.เริ่มแล้ว งดใช้ถุงพลาสติกตั้งแต่ 1 ม.ค.63 ปชช.หันใช้ถุงผ้า-สารพัดภาชนะใส่สินค้า ด้าน ส.ส.พปชร.เตือนอันตรายถุงผ้าสปันบอนด์!
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2562 เห็นชอบกลไกการขับเคลื่อนการงดให้ถุงพลาสติกในห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2563 เป็นต้นไป เพื่อเป็นนโยบายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการดำเนินงานเพื่อลด ละ เลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้โรดแมปการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561-2573
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2563 เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเกิดปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนคือ ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าสะดวกซื้อจะไม่มีถุงก๊อบแก๊บแบบหูหิ้วใช้อีกต่อไป ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ทางสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากที่ผ่านมา ประเทศไทยมีปัญหาต่อเนื่องอันมาจากขยะพลาสติกมากมาย ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2563 จะงดการให้บริการถุงพลาสติกหูหิ้วหรือถุงก๊อบแก๊บที่มีความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน เป็นพลาสติกที่ใช้แบบครั้งเดียวทิ้ง (Single-Use Plastic) ส่วนถุงพลาสติกแบบอื่น เช่น ถุงร้อนใส่อาหาร ใส่ข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว หรือพลาสติกที่หุ้มอาหาร หรือของแช่แข็ง รวมทั้งถุงพลาสติกหูหิ้วหนาๆ ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ยังคงใช้ได้ต่อไป จนกว่าจะมีวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ทดแทนได้อย่างเพียงพอ
นายวราวุธ กล่าวด้วยว่า การงดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วและพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งนั้น ได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ตลอดจนร้านสะดวกซื้อกว่า 75 บริษัททั่วประเทศ และคาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มาร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายนี้
ทั้งนี้ จากผลสำรวจดุสิตโพลที่ผ่านมา ประชาชนร้อยละ 90 เห็นด้วยกับนโยบายงดแจกถุงพลาสติก และมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองกันบ้างแล้ว ในส่วนของห้างร้าน ผู้ประกอบการทุกแห่งได้เตรียมมาตรการรองรับที่ยังคงคำนึงถึงผลกระทบและอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ามากที่สุด เช่น การเตรียมบริการถุงกระดาษ หรือถุงผ้าจำหน่ายในราคาที่ไม่แพง หรือจำเป็นต้องต้องรับถุงพลาสติกหูหิ้ว ลูกค้าต้องเสียค่าใช้จ่าย โดยนำเงินที่ได้เข้าร่วมกองทุนด้านสิ่งแวดล้อมหรือบริจาคให้กับโรงพยาบาลหรือมูลนิธิต่างๆ ต่อไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อเริ่มงดใช้ถุงพลาสติกตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ประชาชนได้ปรับตัวด้วยการนำถุงผ้ามาใช้แทน บ้างก็นำภาชนะจากที่บ้านมาใช้ใส่สิ่งของที่ซื้อ เช่น หม้อ กะละมัง ถังน้ำ ถุงปุ๋ย ตะกร้า ฯลฯ
ด้าน น.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ ส.ส.กทม. เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกระแสรณรงค์งดใช้ถุงพลาสติก แต่มีการนำถุงผ้าสปันบอนด์มาใช้แทนว่า ขณะนี้ประชาชนตื่นตัวกับการงดใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง หรือถุงก๊อบแก๊บกันค่อนข้างสูง มีการนำถุงผ้าหรือวัสดุอื่นๆ มาใช้ทดแทน ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในการลดขยะพลาสติกของประเทศไทย แต่ปรากฎว่า ยังมีความเข้าใจผิดของประชาชนและผู้ประกอบการบางส่วน ที่แม้จะงดใช้ถุงก๊อบแก๊บ แต่กลับนำถุงผ้าสปันบอนด์มาใช้หรือจำหน่ายแจกจ่ายให้กับประชาชนเป็นการทดแทน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากถุงผ้าสปันบอนด์ ไม่ใช่ถุงผ้าจริง ทำมาจากพลาสติก เมื่อย่อยสลายแล้วจะแตกตัวเป็นไมโครพลาสติกขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิกรัม ซึ่งหากเข้าสู่ระบบนิเวศน์ก็จะเป็นอันตรายและมีโอกาสวนกลับเข้ามาสู่ร่างกายของเราได้
น.ส.ภาดาท์ กล่าวอีกว่า "จะสังเกตได้ว่า ถุงผ้าสปันบอนด์หากเก็บเอาไว้นานๆ มาจับอีกทีจะเป็นผงเล็กๆ แต่มันไม่ได้ย่อยสลายไปไหน เนื่องจากต้องใช้เวลานาน 5-10 ปี ลองนึกภาพดูว่า ไมโครพลาสติกจากถุงผ้าสปันบอนด์นี้ หากปลิวลงไปในทะเล สัตว์ทะเลต่างๆ กินเข้าไป หรือปลากินเข้าไปสะสมในตัวพวกมันจะเป็นอย่างไร และหากกินปลาที่มีไมโครพลาสติกนี้อยู่เข้าสู่ร่างกายของเรา ก็จะได้รับผลกระทบต่อสุขภาพตามไปด้วย แถมอายุการใช้งานของถุงผ้าสปันบอนด์ก็ไม่ทนทาน โดนความร้อนจะกลายเป็นเศษเล็กๆ"
น.ส.ภาดาท์ กล่าวด้วยว่า ถุงผ้าจริง จะใช้เวลาในการย่อยสลายเพียง 5 เดือนเท่านั้น แถมอายุการใช้งานก็นานกว่า สามารถซักทำความสะอาดได้ จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนใช้ถุงผ้าที่ผลิตจากผ้าจริง เช่น ผ้าฝ้าย จะดีกว่า เพราะนอกจากจะไม่เป็นภาระต่อโลกแล้ว ยังไม่ย้อนกลับมาทำร้ายสุขภาพของเราอีกด้วย
2.“ในหลวง” พระราชทาน ส.ค.ส.2563 และพระราชดำรัสอำนวยพรปีใหม่แก่ประชาชนชาวไทย!
เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานบัตรอวยพรปีใหม่ ประจำปีพุทธศักราช 2563 แก่ปวงชนชาวไทย โดยด้านหน้าของบัตรพระราชทานพรปีใหม่ มีตราประจำพระราชวงศ์จักรีอยู่กึ่งกลาง ด้านล่างเป็นตราพระปรมาภิไธย วปร และตราพระนามาภิไธย สท
เมื่อเปิดบัตรพระราชทานพร ด้านขวา มีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงฉายกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ใต้พระบรมฉายาลักษณ์ระบุพระปรมาภิไธย "พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว" และพระนามาภิไธย "สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี" ส่วนด้านซ้าย มีข้อความว่า "พระราชทานพรปีใหม่ พ.ศ.2563" พร้อมทั้งทรงลงพระปรมาภิไธย และพระนามาภิไธย
วันเดียวกันนี้ (31 ธ.ค.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯ ออกยังพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพรแก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2563 ความว่า "เนื่องในวาระขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2563 ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ อำนวยพรความสุข และความปรารถนาดี แก่ทุก ๆ ท่าน ขอให้มีกำลังกาย กำลังใจ และสุขภาพที่แข็งแรง สติปัญญาผ่องใส มีศรัทธาและความสำนึกในการประพฤติและดำรงตนในกรอบของความดีงาม ถูกต้อง และพอเหมาะพอควร มุ่งมั่นที่จะร่วมกันสร้างประโยชน์ ให้แก่ประเทศชาติ และส่วนรวม
ในการทำงานใด ๆ ก็ดี ย่อมต้องมีความผิดพลาด ความบกพร่องเกิดขึ้น เป็นเรื่องธรรมดา หากความบกพร่องนั้น นำไปสู่การเรียนรู้ที่จะแก้ไข ปรับปรุง ข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่องที่ผ่านมา ให้กลายเป็นบทเรียนแก่ตนเอง ผู้อื่น และส่วนรวม สิ่งนั้นจึงจะเรียกว่า เกิดการเรียนรู้ หรือเกิดบทเรียน
ทั้งนี้ ประสพการณ์และสติปัญญา ตลอดจนความรู้ความสามารถ ที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องกำกับตนเอง ไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดหรือบกพร่องซ้ำอีก อันจะอำนวยให้บังเกิดผลในอนาคตที่เหมาะสมเหมาะควรนั้น คือการบังเกิดขึ้นของความเจริญ และความเป็นมงคลอย่างแท้จริง
ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือ พร้อมด้วยพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จงปกป้องคุ้มครองให้ทุกท่านประสบแต่ความสุข ความเจริญ และความเป็นมงคล ตลอดพุทธศักราช 2563 นี้ และตลอดกาลทุกเมื่อไป"
3.ผู้การฯ ยะลา สั่ง 7 ตำรวจออกจากราชการ พร้อมตั้ง คกก.สอบวินัย หลังพบพัวพันยาเสพติด ด้านเจ้าตัวอ้าง มีไว้เสพ ไม่ใช่จำหน่าย!
เมื่อวันที่ 2 ม.ค. พล.ต.ต.ปราบพาล มีมงคล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา เผยถึงกรณีมีตำรวจประจำจุดตรวจ 7 นาย เรียกรับเงินในการจับกุมยาเสพติด แต่ต่อมาตำรวจทั้ง 7 นายกลับถูกจับกุมในคดียาเสพติดเสียเองว่า ตำรวจ 7 นายดังกล่าว เป็นตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษของอำเภอยะหา ที่มาช่วยราชการในการป้องกันเมืองในเขตเทศบาลนครยะลาทุกๆ เดือน โดยเมื่อช่วงก่อนปีใหม่ได้ประจำอยู่ที่จุดตรวจเมืองทอง ในเขตเทศบาลนครยะลา
พล.ต.ต.ปราบพาล กล่าวอีกว่า “ในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ นปพ.ยะหาทั้ง 7 นาย มาปฏิบัติภารกิจประจำจุดตรวจจุดสกัดที่ป้อมเมืองทอง ถูกร้องเรียนเข้ามา จึงได้มีการเข้าไปตรวจค้นภายในที่พักซึ่งอยู่ที่จุดตรวจ พบยาบ้าและเงินสดจำนวนหนึ่งอยู่ในครอบครองของตำรวจทั้ง 7 นาย จึงได้จับกุมพร้อมดำเนินคดีในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อเสพ และจำหน่าย และตั้งคณะกรรมการสอบสวนดำเนินการทางวินัย ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาให้ออกจากราชการทั้ง 7 นาย แต่ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกจับกุมอ้างว่า ยาเสพติดที่ตรวจพบ เอาไว้เพื่อเสพ ไม่ได้จำหน่าย แต่เนื่องจากบางคนมีครอบครองเกินปริมาณ จึงต้องแจ้งข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วย”
พล.ต.ต.ปราบพาล เผยด้วยว่า หลังจากพนักงานสอบสวนส่งตัวตำรวจทั้ง 7 นายไปฝากขังที่ศาล ทั้ง 7 นายได้ขอประกันตัวในชั้นศาล แต่ในการดำเนินการทางวินัย ขณะนี้อยู่ในระหว่างการร่างคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งโทษที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมีสถานเดียว คือไล่ออก โดยจะมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งตำรวจทั้ง 7 นายนี้มียศตั้งแต่นายสิบไปจนถึงจ่า โดยล่าสุดได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ นปพ.ชุดใหม่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่แทน 7 นายที่ถูกจับกุมแล้ว
อนึ่ง ก่อนหน้าที่ตำรวจทั้ง 7 นายจะถูกจับกุม ได้มี อส.รายหนึ่งถูกตำรวจจับกุมที่ด่านจุดตรวจเมืองทอง พบของกลางยาบ้า 200 เม็ด หลังจากนั้นมีรายงานว่า ตำรวจทั้ง 7 นาย ได้มีการเรียกรับเงินจำนวน 1 แสนบาท เพื่อปล่อยตัวไป และจะไม่ดำเนินคดี อส.นายนั้นจึงได้นำเรื่องดังกล่าวไปบอกกับผู้บังคับบัญชาของตนเอง และได้มีการนำเงินจำนวน 5 หมื่นบาท ไปให้กับตำรวจที่เรียกรับ และทาง อส.พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาได้แจ้งไปยังผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลาว่า ตำรวจชุดดังกล่าวมีพฤติการณ์เรียกรับเงิน จึงได้มีการเข้าตรวจสอบ โดยพบหลักฐานทั้งยาบ้า และเงินสดที่นำไปให้ จึงได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน และดำเนินคดีตำรวจทั้ง 7 นายดังกล่าว
สำหรับตำรวจทั้ง 7 นาย ประกอบด้วย จ.ส.ต.จิรศักด์ หนูปลอด, จ.ส.ต.ศิษฏภัคย์ จันทร์แดง, ส.ต.อ.สิโรตม์ ใจแก้วทิ, ส.ต.อ.อำพล งูตูล, ส.ต.อ.ณรงค์เดช ชินภัคดี, ส.ต.ท.ธงชัย หนูรักษ์ และ ส.ต.ท.นฤสรณ์ นวลใหม่ ซึ่งทั้งหมดเป็นชุดหน่วยปฏิบัติการพิเศษของ สภ.ยะหา จ.ยะลา
4.“เพื่อไทย” มั่นใจ อภิปรายไม่ไว้วางใจล้ม รบ.-เปลี่ยนตัวนายกฯ ได้ ด้าน “บิ๊กตู่” แนะซักฟอกให้อยู่ในกรอบ 5 เดือน!
เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะโฆษกและกรรมการกิจการพิเศษ พรรค พท.กล่าวถึงการเตรียมเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ขณะนี้คณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรค พท.ได้จัดเตรียมขุนพลอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลไว้แล้ว 25 คน จัดหมวดหมู่ แบ่งลักษณะพฤติกรรมและการกระทำที่นำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ 5 รัฐมนตรี
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ถึงเวลานั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เจ้าของฉายา อิเหนาเมาหมัด แห่งรัฐเชียงกง จะได้รู้ว่าการตรวจสอบโดยกลไกและเครื่องมือที่เข้มข้นของระบบรัฐสภา จะโดนตรวจสอบหนัก จนมีสภาพบอบช้ำแค่ไหน จะมาชี้นิ้วด่ากราด ส.ส.ในสภา เหมือนที่แล้วมาไม่ได้ ส.ส.ไม่ใช่ลูกน้อง หรือกำลังพลในค่ายทหารของใคร ส่วน ส.ว.สรรหาจะยอมรับว่าเป็นสภาทหารเกณฑ์ ก็สารภาพไป แต่งานนี้ พี่เลี้ยงลง ไม่มีตัวช่วย ใครไม่เกี่ยวก็ถอยไป
นายอนุสรณ์ ยังอ้างด้วยว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ประชาชนได้ประโยชน์อย่างสูงสุด ส่วนรัฐมนตรีที่น้อยเนื้อต่ำใจได้กระทรวงเกรดซี เกรดดี งบน้อย อยากขยับขยายไปคุมกระทรวงเกรดสูงขึ้น งบมากขึ้น รอลุ้นได้เลย เพราะข้อมูลซักฟอกที่อยู่ในมือพรรคเพื่อไทยขณะนี้ ชัดเจนมาก ทั้งในส่วนของพรรคแกนหลักและพรรคร่วมรัฐบาล
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า “แม้จะมี 25 ขุนพลในการจับ 5 รัฐมนตรีขึ้นเขียงซักฟอก แต่ไม่ปิดกั้น ยังเปิดกว้าง ทั้งในส่วนของพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่ายค้าน ยืนยันว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ นำไปสู่การล้มรัฐบาลและเปลี่ยนตัวนายกฯ ได้แน่นอน”
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรี 5 คนในช่วงปลายเดือน ม.ค.นี้ว่า ขออย่าเพิ่งบอกว่า รัฐบาลมีปัญหาในการทำงาน เพราะรัฐบาลชุดนี้ทำงานมาได้แค่ 5 เดือนเท่านั้น ขอให้จำไว้ด้วย ส่วนรัฐบาลที่แล้วก็เป็นเรื่องของรัฐบาลที่แล้ว ซึ่งการอภิปรายครั้งนี้เป็นรัฐมนตรีชุดนี้ จึงอย่านำมาพันกันให้เสียหายทั้งหมด ทำให้สิ่งที่ทำดีๆ ไว้เสียหายไปด้วย และทำให้ไม่เข้าใจกันต่อไป
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า “หลายอย่างที่รัฐบาลก่อนๆ ทำไว้ดี รัฐบาลนี้ก็ทำต่อ ผมไม่เคยไปว่าอะไร เว้นแต่เรื่องไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นอย่าเอาความไม่ชอบส่วนตัวมาว่ากันเรื่องประเทศชาติ เพราะไม่มีประโยชน์กับคนไทยทั้งสิ้น ดังนั้นใครที่ถูกอภิปราย ก็ให้ชี้แจงกันไป ถ้าตอบได้ ก็ฟังกันบ้าง อย่าถามอย่างเดียว แล้วไม่ฟังคำตอบ ฝากประชาชนฟังคำตอบด้วย”
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2563 ที่สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 2 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินสวัสดีปีใหม่รัฐมนตรีทุกคนอย่างอารมณ์ดี นอกจากนี้ยังได้อวยพรให้สื่อมวลชนว่า “สวัสดีปีใหม่ ขอให้มีความสุข มีเงินใช้” จากนั้น ผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.อ.ประยุทธ์ว่า ปีนี้เป็นปีชงของ พล.อ.ประยุทธ์ จะมีการแก้เคล็ดหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ก็ทำความดี ถ้าไม่ทำความดี ก็แก้อะไรไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องไปวัดไหน ถ้าทำความดี ไปวัดไหนก็ได้”
อนึ่ง ความเชื่อในทางโหราศาสตร์จีน ระบุว่า ปีนี้ปีชวด ปีที่ชงเต็ม ๆ คือปีมะเมีย ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ เกิดปีมะเมีย จึงเข้าข่ายปีชงด้วย
5.ดีเอสไอเตรียมส่งฟ้อง “แม่มณี” พร้อม 10 แอดมินดูแลแชร์ 8 ม.ค.นี้ เตรียมออกหมายเรียกดาราดังให้ปากคำแชร์ Forex-3D 15 ม.ค.!
เมื่อวันที่ 3 ม.ค. นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เผยความคืบหน้าคดี น.ส.วันทนีย์ ทิพย์ประเวช หรือ "แชร์แม่มณี" ชักชวนคนมาลงทุน อ้างได้รับผลตอบแทนกว่าร้อยละ 93 ต่อเดือน จนมีผู้หลงเชื่อเกือบ 4,000 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 1,400 ล้านบาทว่า ดีเอสไอยังคงทำคดีแชร์แม่มณีอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้เรียกสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องกับวงแชร์ประมาณ 170 คน จนทราบโครงข่ายแชร์ดังกล่าว
และเมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้เรียกแอดมินหรือผู้ดูแลระบบวงแชร์แม่มณีประมาณ 10 คน เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ในความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงิน ที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือความผิดแชร์ลูกโซ่ โดยเป็นการแจ้งข้อกล่าวหากลุ่มที่มีลักษณะพฤติกรรมร่วมขบวนการกับแม่มณี คือ มีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างเป็นระบบ เช่น ทำหน้าที่รับฝากยอด โอนยอด คิดดอกเบี้ย จัดการวงแชร์ โดยได้เตรียมสรุปสำนวน 300 แผ่น นำตัว น.ส.วันทนีย์ พร้อมแอดมิน 10 ราย ส่งฟ้องต่ออัยการวันที่ 8 ม.ค.นี้
นายปิยะศิริ เผยด้วยว่า พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ได้อนุมัติให้ดำเนินการขยายผลล็อตที่ 2 โดยเตรียมเรียกแม่ทีมแชร์แม่มณีกว่า 20 ราย มาแจ้งข้อหา ในความผิด พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินฯ และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เพื่อสรุปสำนวนให้เสร็จภายในเดือน เม.ย.นี้
มีรายงานว่า ในส่วนของคดีแชร์ Forex-3D พนักงานสอบสวนกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ดีเอสไอ ได้เตรียมออกหมายเรียกดาราคนหนึ่งเข้าให้ปากคำ ในฐานะพยาน ในวันที่ 15 ม.ค.นี้ หลังพบหลักฐานว่า มีความเชื่อมโยงกับคดีดังกล่าว