อุทาหรณ์จ้างอินฟลูเอนเซอร์เพจดังจัดทัวร์ญี่ปุ่นแบบส่วนตัว จ่ายกว่าครึ่งล้าน เน้นกินเน้นเที่ยวอร่อยสุดๆ แต่ได้ประสบการณ์แย่สุดๆ แทน ให้ลูกทัวร์ลำบากกันเอง อาหารที่กินคุณภาพต่ำ แถมหากินทุกเม็ด ตั้งแต่ตั๋วเครื่องบินยันคะแนนสะสมโรงแรม
วันนี้ (30 พ.ย.) ในเว็บไซต์พันทิปได้มีกระทู้ บอกเล่าประสบการณ์ถึงการจ้างอินฟลูเอนเซอร์ จากเฟซบุ๊กเพจชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าของกระทู้เรียกว่า “น้องสุดๆ” ที่มีผู้ติดตามหลักหมื่นคน มาจัดทัวร์แบบส่วนตัวให้กับครอบครัว ไปยังเมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ระยะเวลา 6 วัน เสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดมากกว่า 5 แสนบาท แต่กลับได้รับประสบการณ์ที่แย่กลับมา โดยเล่าว่า ตนมีความคิดที่จะไปเที่ยวประเทศญึ่ปุ่นพร้อมกับสมาชิกในครอบครัว ประกอบด้วย ผู้ใหญ่ 4 คน เด็กวัย 1 ขวบครึ่ง และผู้สูงอายุอีก 2 คน จึงจัดทัวร์แบบส่วนตัวเน้นกินของอร่อย และพาเด็กไปเปิดหูเปิดตา
น้องสะใภ้แนะนำให้รู้จักเพื่อนที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ทำเฟซบุ๊กเพจและรายการโทรทัศน์ แนะนำร้านอาหาร และสามารถจัดทัวร์ให้ได้ จึงได้ใช้บริการกับอินฟลูเอนเซอร์คนดังกล่าว ราคาทัวร์แบ่งเป็นผู้ใหญ่คนละเกือบ 1 แสนบาท และเด็ก 1 หมื่นบาท ในช่วงจองตั๋วเครื่องบิน เนื่องจากได้ตั๋วชั้นประหยัด จึงตัดสินใจซื้อตั๋ว 2 ใบผ่านช่องทางของธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตกับมารดา เพื่อให้ได้อัปเกรดชั้นธุรกิจ ให้บิดาและมารดานั่ง แล้วให้อินฟลูเอนเซอร์คนดังกล่าวจองตั๋วสำหรับสมาชิกที่เหลืออีก 4 คน หลังจากยืนยันเรื่องรายชื่อ และอื่นๆ แล้ว จึงได้โอนเงินค่าทัวร์ทั้งหมดไป แต่กลับได้ไฟล์โปรแกรมทัวร์แบบคร่าวๆ ไม่ได้เอกสารใดๆ อีก
ต่อมา ได้ขอข้อมูลตั๋วเครื่องบินเพื่อแลกคะแนนบัตรเครดิต ให้อัปเกรดเป็นตั๋วชั้นธุรกิจทุกคน ปรากฏว่า อินฟลูเอนเซอร์คนดังกล่าว ส่งข้อมูลมาให้ ไม่มีชื่อบิดา กลายเป็นชื่อของตน แถมเป็นนามสกุลเดิมก่อนแต่งงานอีกด้วย ทั้งที่ตนจองผ่านบัตรเครดิตไปแล้ว เมื่อโทรศัพท์ให้แก้ไขกลับโยนภาระให้ติดต่อการบินไทยเอง เมื่อติดต่อไปพบว่าสายการบินแก้ไขไม่ได้เพราะซื้อผ่านตัวแทนจำหน่าย (เอเยนต์) ออนไลน์ และเมื่อติดต่อไปยังเอเยนต์ ได้รับคำตอบว่า เป็นบัตรโดยสารราคาถูกที่สุด เมื่อซื้อไปแล้วไม่สามารถแก้ไขชื่อผู้โดยสารได้ สุดท้ายจึงต้องซื้อตั๋วใหม่เอง โดยที่อินฟลูเอนเซอร์คนดังกล่าวไม่รับผิดชอบใดๆ และเมื่อถึงเวลาเช็กอินพบว่ามีชื่อซ้ำกัน แสดงว่าไม่ได้ยกเลิกตั๋วให้ ทั้งที่แจ้งไปแล้วให้ทำเรื่องขอคืนภาษีสนามบิน
อย่างต่อมา คือ การเดินทางไปยังเมืองต่างๆ เมื่อสอบถามอินฟลูเอนเซอร์คนดังกล่าว 10 ชั่วโมงก่อนเดินทาง กลับตอบว่าเป็นรถไฟแบบพิเศษ มีที่วางกระเป๋า และจอดหน้าโรงแรม ส่วนวันที่ไปเมืองเกียวโตมีรถตู้ให้ ทั้งๆ ที่มีผู้สูงอายุและเด็กเล็ก เมื่อให้น้องสะใภ้ไปคุยก็อ้างว่าโรงแรมอยู่บนสถานีรถไฟพอดี ส่วนสัมภาระเดี๋ยวตนกับสามีจะไปรอที่สนามบินเพื่อช่วยกันขนขึ้นรถไฟ อ้างว่าจากเดิมที่เสนอเป็นทริปหรูกว่านี้ แต่เมื่อปรับลดลงมาจะให้นั่งรถส่วนตัวได้อย่างไร และอ้างว่าเรื่องนั่งรถไฟรับทราบแล้ว ทั้งที่ตอนคุยกันมีเพียงประโยคที่ว่า “พี่สนใจไปนารามั้ยคะ นั่งรถไฟไปจากโรงแรมได้เลยค่ะ” แต่ก็อ้างว่าวันอื่นๆ ไม่มีคำว่ารถตู้ กลายเป็นว่าว่าทั้งทริปเดินทางด้วยรถไฟ เมื่อแจ้งให้เปลี่ยนยานพาหนะเป็นรถส่วนตัว อินฟูเลนเซอร์คนดังกล่าวก็อ้างว่าได้เฉพาะรถตู้ ขาไป-กลับสนามบิน ระหว่างทริปถ้าเป็นรถส่วนตัวทุกวัน คิดวันละ 18,000 บาทนั้นไม่ไหว
ด้วยความไว้ใจ ไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดว่ารายการทัวร์เป็นอย่างไร พบว่าระบุคร่าวๆ เช่น บริการท่านด้วยบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่าง เนื้อวากิว A5 คุณภาพดี ณ ร้านดังย่านนัมบะ และเมื่อค้นหาราเม็งชื่อดัง กับชาบูระดับตำนาน พบว่า ราคาชาบูคนละกว่า 2,000 บาท และราเม็งชามละ 230 บาท ถามชื่อร้านอาหารอื่นๆ แล้วค้นหาพบว่าราคาหัวละ 1,300-1,500 บาท และเมื่อตรวจสอบโปรแกรมทัวร์ พบว่า ส่วนใหญ่ชมสถานที่ท่องเที่ยวแบบฟรีค่าเข้าชม จึงสอบถามถึงความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับเงินที่จ่ายไป แต่อีกฝั่งไม่ตอบอะไร เมื่อถึงเมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่นพบว่า คุณภาพอาหารเหมือนกับไปรับประทานย่านทองหล่อ เมนูเขียนว่า black beef ทั้งๆ ที่อินฟลูเอนเซอร์คนดังกล่าวอ้างว่าจะได้กินเนื้อ A5 เนื้อวากิว และยังพบว่าอินฟลูเอนเซอร์คนดังกล่าวพร้อมสามีมานั่งโต๊ะเดียวกัน ทั้งๆ ที่ลูกทัวร์กับไกด์จะแยกโต๊ะกัน และยังปล่อยให้ลูกทัวร์บริการตัวเอง
นอกจากนี้ ยังพบประสบการณ์ที่แย่อีกมาก อาทิ พาไปกินร้านในตลาดสด ปลามาเสิร์ฟก็เป็นแบบถาดพลาสติกและวาซาบิแบบซอง สภาพเนื้อปลาเหี่ยว เช่นเดียวกับไข่แซลมอน โอโทโร่เหลวในจาน ส่วนอูนิสดกับเนื้อปลาวาฬของทางร้านหมด แต่กลับพบว่ามีอูนิในรูปที่โพสต์ของเพจอินฟลูเอนเซอร์รายนั้น, คอร์สปิ้งย่างที่พบว่าสามีของอินฟลูเอนเซอร์นำจานหมูและไก่ที่เหลือมาเสิร์ฟให้ลูกทัวร์ โดยที่เนื้อทานไปหมดแล้ว, มื้อราเม็ง ไม่ได้มีการจองโต๊ะใดๆ จึงต้องยืนรอหน้าร้าน อินฟลูเอนเซอร์ให้รีบออกจากร้าน อ้างว่าเดี๋ยวไปอีกวัดไม่ทัน ค่อยเดินกินสตรีทฟู้ดแถววัด แต่โชคดีที่ได้โต๊ะพอดี, ชีสเค้กร้านดัง พบว่าสามีของอินฟลูเอนเซอร์ไปยืนต่อคิว สุดท้ายไม่ได้กินในร้าน ซื้อมาให้ 1 กล่อง เอามาแบ่งกันกินได้คนละชิ้น, มื้อนาเบะหม้อไฟเก่าแก่สืบทอดมาหลายร้อยปี กลับพาเดินเข้าร้านข้าวราดเทมปุระ ได้ข้าวสวยโปะหน้าด้วยของทอดมาคนละจานแทน เพราะร้านนาเบะไม่รับเด็กเล็ก เป็นต้น
ส่วนการบริการพบว่ามาแชร์อาหารกัน ไม่มีการดูแลใดๆ จากอินฟลูเอนเซอร์รายนั้นนอกจากเดินนำ และไปถ่ายรูป ถ่ายคลิปต่างๆ ลงเพจของตัวเอง ไม่มีน้ำแจก เวลาหิวน้ำก็หากดน้ำตู้กินเอง แถมนำผิดทาง เดินหาร้านอาหารไม่เจอบ้าง ลูกทัวร์ต้องบอกทางที่ถูกต้องให้บ้าง รวมทั้งไว-ไฟที่แจกให้ก็ติดๆ ดับๆ ตลอดทริป ต่างจากของอินฟลูเอนเซอร์และสามีที่ลื่นไหล มาถึงวันสุดท้ายที่ขอเพิ่ม 1 วัน เจ้าตัวเรียกเก็บค่าห้องเพิ่มคืนละ 11,000 บาทต่อห้อง ทั้งๆ ที่เช็กจากเว็บไซต์ราคาเพียงแค่ 5-7 พันบาทต่อห้องเท่านั้น ห้องแบบเดียวกัน ได้อาหารเช้าเหมือนกัน นอกจากนี้ ยังต้องเสียค่าบริการให้กับอินฟลูเอนเซอร์คนดังกล่าววันละ 8,000 บาทอีกด้วย อีกทั้งยังพบว่าคะแนนสะสมจากการจองที่พัก สะสมไปแล้วโดยใช้ชื่อของสามีอินฟลูเอนเซอร์ เมื่อวันสุดท้ายเลยคุยกันว่าเที่ยวกันเองดีกว่า เจ้าตัวบอกแค่ได้เลยแล้วก็หายตัวไป ไม่มีการเอ่ยถึงค่าใช้จ่าย ที่สุดท้ายไม่ได้ใช้บริการใดๆ เมื่อถึงวันกลับบ้านพบว่าไม่มีการดูแลใดๆ เช็กอินเอง ต้องแยกกันนั่ง อินฟลูเอนเซอร์พร้อมสามีกลับเข้าไปที่ช่องเช็คอินออนไลน์มาแล้ว
“ถือว่าเราผิดที่ไว้ใจล้วนๆ เลย ไม่คิดว่าคนรู้จักกัน แถมมีเพจดัง มีรายการทีวีของตัวเอง ดูน่าเชื่อถือขนาดนี้ จะทำแบบนี้ได้ ตอนแรกเราตามเพจเค้านี่คือน้ำลายหก อยากตามรอยไปกินทุกร้าน ทุกเมือง จากนี้ไป เราคงไม่กล้าเชื่อรีวิวอะไรแบบนี้จนหมดใจอีกแล้ว เป็นทริปเที่ยวญี่ปุ่น ที่ไม่อร่อยสุดๆ เลย ถือซะว่าเป็นอุทาหรณ์ ทำอะไรให้เช็ค ให้เปรียบเทียบก่อน ไม่งั้นจะได้เที่ยวญี่ปุ่นแบบช้ำใจสุดๆ อย่างเราค่ะ" เจ้าของกระทู้กล่าว และว่า สิ่งที่ไม่เข้าใจก็คือ การที่อินฟลูเอนเซอร์คนดังกล่าวมีรายได้หลักจากการทำเพจ มีชาแนล และมีรายการทีวีเป็นของตัวเอง ซึ่งกำลังจะได้ไปลงช่องใหญ่ด้วย ถือว่าเก่งมาก ทำไมคนเก่งแบบนี้ ถึงมาหวังฟันกำไร กับกรุ๊ปทัวร์ส่วนตัวเล็กๆ ไม่เป็นการคิดสั้นไปหน่อยหรือ ก็ยังไม่สามารถหาอะไรมาอธิบายตรรกะ และการกระทำต่างๆ ได้จริง อย่างน้อยก็เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน
อ่านกระทู้ต้นฉบับ คลิกที่นี่