... รายงานพิเศษ
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ศาลเห็นตามคำขอของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อนุมัติหมายจับ 4 เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ด้วยข้อกล่าวหาสังหาร “บิลลี่” นายพอละจี รักจงเจริญ นักต่อสู้เรียกร้องสิทธิการอาศัยอยู่ในป่าแก่งกระจาน โดย 1 ใน 4 รายชื่อที่ถูกออกหมายจับ คือ “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 10 (อุบลราชธานี) โดยถูกแจ้งข้อหาหนักด้วย คือ ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
4 ผู้ต้องหา ประกอบด้วย นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) และอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในช่วงที่บิลลี่หายตัวไป เป็นผู้ต้องหาที่ 1, นายบุญแทน บุษราคำ เป็นผู้ต้องหาที่ 2, นายธนเสฏฐ์ หรือ ไพฑูรย์ แช่มเทศ เป็นผู้ต้องหาที่ 3 และ นายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ ผู้ต้องหาที่ 4 ไม่ได้เป็นข้าราชการ จึงถูกแจ้งข้อกล่าวหาให้การสนับสนุนการกระทำความผิด
ข้อหาหลักๆ ที่ดีเอสไอแจ้ง คือ ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ข่มขืนใจให้ยอมโดยใช้กำลังประทุษร้ายและมีอาวุธ, หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังให้ปราศจากเสรีภาพเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย, ข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมเพื่อประโยชน์ในเป็นทรัพย์สินโดยใช้กำลังประทุษร้าย, ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนหรือระเบิดโดยใช้ยานพาหนะเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และร่วมกันโดยทุจริตหรือเพื่ออำพรางคดี กระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น น่าจะทำให้ผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
ส่วนข้อหาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ประกอบด้วย ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต, ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจเพื่อให้บุคคลใดมอบหรือให้มาซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด และร่วมกันเป็นเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
มาดูกันว่า ข้อหาเหล่านี้ มีเบื้องหลังอย่างไร?
ย้อนกลับไปวันที่ 17 เมษายน 2557 วันสุดท้ายที่มีผู้พบเห็นบิลลี่ ก่อนจะหายตัวไป มีเนื้อหาทั้งหมดอยู่ในสำนวนการสืบสวนของตำรวจภูธรภาค 7
บิลลี่ ถูกควบคุมตัวในที่ด่านตรวจเขามะเร็วก่อนเวลา 16.00 น. ฐานครอบครองน้ำผึ้งป่า ซึ่งภายหลังก็ยังมีข้อมูลที่ต่างกันระหว่างคำให้การของเจ้าหน้าที่อุทยาน กับสำนวนของตำรวจเกี่ยวกับจำนวนของน้ำผึ้ง หลังเจ้าหน้าที่อุทยาน อ้างว่า “ปล่อยตัวบิลลี่ไปแล้ว” เพราะเป็นความผิดเล็กน้อย ... มีน้ำผึ้งเพียง 5 ขวด แต่ตำรวจพบว่า แท้จริงแล้ว บิลลี่นำน้ำผึ้งลงมามากกว่านั้น และคาดว่า มีคนสั่งน้ำผึ้ง
ย้ำก่อนว่า “เจ้าหน้าที่อุทยาน รวมทั้ง นายชัยวัฒน์ ยืนยันว่า ปล่อยตัวบิลลี่ไปแล้ว”
เวลา 16.02 น. รถกระบะลายพรางของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ผ่านกล้องวงจรปิดที่แยกพุไทร มีนายชัยวัฒน์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานมาด้วย พร้อมเจ้าหน้าที่อีก 3 คน และนักศึกษาฝึกงาน 2 คน หลังได้รับแจ้งการจับกุมบิลลี่จากเจ้าหน้าที่ที่ด่านตรวจเขามะเร็ว
หมายความว่า มีผู้พบเห็น “บิลลี่” คือ เจ้าหน้าที่อุทยานที่มากับรถ 4 คน เจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจเขามะเร็ว ที่จับกุมบิลลี่ 1 คน นักศึกษาฝึกงาน 2 คน และระหว่างนั่นมีชาวกะเหรี่ยงอีก 1 คน ขับรถจักรยานยนต์ผ่านมา
จากนั้นเจ้าหน้าที่อุทยานให้การว่า ได้นำตัวบิลลี่ขึ้นรถของอุทยาน และนำรถจักรยานยนต์ของบิลลี่ขึ้นท้ายกระบะ รถคันนี้ขับกลับออกไปผ่านกล้องตัวเดิมในเวลา 16.17 น. โดยมีผู้โดยสารทั้งหมด 5 คน คือ นายชัยวัฒน์ เจ้าหน้าที่อุทยานที่มาด้วยกันอีก 3 คน และ “บิลลี่” ซึ่งถูกระบุว่า นั่งอยู่เบาะหลัง
เจ้าหน้าที่ 4 คน ที่คุมตัวบิลลี่บนรถคันนี้ คือ 4 คน ที่ถูกออกหมายจับ
ถัดมาอีก 3 นาที คือเวลา 16.20 น. รถอีกหนึ่งคันตามออกมาผ่านกล้องแยกพุไทร เป็นรถของเจ้าหน้าที่ด่านตรวจเขามะเร็ว ซึ่งนำนักศึกษาฝึกงาน 2 คน นั่งมาด้วย
เป็น 3 นาที ที่มีความหมายอย่างยิ่ง ... เพราะหลังจากนั้น 3 คน ในรถคันหลัง คือ พยานปากสำคัญของเจ้าหน้าที่อุทยาน ที่อ้างว่า “เห็นบิลลี่ในขณะที่ถูกปล่อยตัวแล้ว”
มาดูจุดที่อ้างว่า “ปล่อยตัวบิลลี่”
จากด่านเขามะเร็ว เจ้าหน้าที่อุทยาน ให้ปากคำว่า “ปล่อยตัวบิลลี่” ก่อนถึงแยกบ้านหนองมะค่า 400 เมตร ซึ่งเป็นจุดที่ไปจับ GPS ไว้ในเอกสาร และเป็นจุดที่สองข้างทางไม่มีบ้านเรือนประชาชนแม้แต่หลังเดียว จุดนี้จึงไม่มีพยานอื่น (มีหลักฐานว่า ในขั้นตอนการสอบสวน เดิมทีเจ้าหน้าที่อุทยานคนหนึ่ง นำตำรวจไปชี้จุดปล่อยตัวคนละจุด คือไปชี้จุดก่อนถึงแยกบ้านหนองมะค่าเพียง 20 เมตร แต่ตรงนั้นมีร้านค้า และร้านค้าให้การกับตำรวจว่า ไม่เคยเห็นบิลลี่ถูกปล่อยตัวที่จุดนี้ เจ้าหน้าที่อุทยานจึงเปลี่ยนคำให้การไปที่จุด ที่ห่าง 400 เมตรตามเดิม)
ดังนั้น เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน 4 คน จึงยืนยันจุดที่ปล่อยตัวโดยอ้างว่า ปล่อยตัวบิลลี่ 400 เมตร ก่อนถึงแยกบ้านหนองมะค่า
ส่วนพยาน 3 คน ที่มากับรถคันที่ 2 ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจเขามะเร็วและนักศึกษาฝึกงาน 2 คน ที่อ้างว่า เห็นบิลลี่ ในขณะที่ถูกปล่อยตัวแล้ว ให้การในทีแรกว่า เห็นบิลลี่ ห่างจากจุดที่อ้างว่าถูกปล่อยตัวไปอีก 3 กิโลเมตร
นี่เป็นประเด็นที่ตำรวจภูธรภาค 7 สงสัยอย่างยิ่ง
พ.ต.อ.ไตรวิช น้ำทองไทย หัวหน้าชุดสืบสวนในขณะนั้น บอกว่า ได้นำคำให้การของทั้งเจ้าหน้าที่อุทยาน พยาน และหลักฐานภาพกล้องวงจรปิด มาจำลองเหตุการณ์นับสิบครั้ง แต่ผลที่ได้มา “ไม่มีทาง” ที่จะเป็นไปตามคำให้การ ... เพราะมีปัจจัยแวดล้อมหลายข้อไม่สอดคล้องกัน
ข้อแรก การปล่อยตัวบิลลี่ ต้องใช้เวลาหลายนาที เพราะต้องนำรถจักรยานยนต์ของบิลลี่ลงมาจากท้ายรถกระบะด้วย
ข้อสอง เมื่อรถคันที่ 2 ซึ่งอ้างว่าเป็นพยานเห็นบิลลี่ถูกปล่อยตัวแล้ว ตามมาในเวลาห่างกันเพียง 3 นาที ต้องเห็นบิลลี่ที่ไหน ... ข้อนี้ พ.ต.อ.ไตรวิช บอกว่า จำลองเหตุการณ์ทุกครั้ง ก็ได้ผลตรงกัน คือต้องเห็นบิลลี่ ตรงจุดที่ที่อ้างว่าถูกปล่อยตัว เพราะเวลาห่างกันเพียง 3 นาที ไม่มีทางที่จะไปเห็นบิลลี่ที่ถูกปล่อยตัวแล้ว ห่างไปอีก 3 กิโลเมตร
ข้อสาม พยานคนหนึ่งที่เป็นนักศึกษาฝึกงาน ไปให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน 2 ครั้ง ให้ข้อมูลไม่ตรงกัน คือ มีทั้งบอกว่า นั่งรถตามมาเห็นบิลลี่ และบอกว่า นั่งรถสวนกับบิลลี่ จึงเรียกมาสอบสวน และสุดท้าย นักศึกษาฝึกงานทั้ง 2 คน ยอมรับว่า “ไม่ได้เห็นบิลลี่ถูกปล่อยตัว” ตามที่เคยให้การไว้
ทั้งหมดนี้ คือ เหตุการณ์เฉพาะจุดที่อ้างว่า “ปล่อยตัวบิลลี่”
มาดูสภาพแวดล้อมอื่น โดยเฉพาะเส้นทางของรถคันที่คุมตัวบิลลี่ ตำรวจสอบถามเจ้าหน้าที่อุทยานว่า เมื่อปล่อยตัวบิลลี่แล้ว ไปที่ไหนต่อ ?
คำตอบคือ กลับไปที่บ้านไร่ชัยราชพฤกษ์ บ้านของนายชัยวัฒน์ เพราะรถคันนี้ คือ รถคันที่นายชัยวัฒน์ใช้ประจำ
ปัญหาคือ เส้นทางจากแยกบ้านหนองมะค่า ไปที่บ้านไร่ชัยราชพฤกษ์ ตามที่เจ้าหน้าที่อุทยานลากเส้นทางในแผนที่ ซึ่งพบว่า ต้องไปผ่านกล้องวงจรปิดที่จุด “บ้านหนองปืนแตก” แต่จากการไล่ภาพจากกล้องตัวนี้ทั้งหมด ไม่พบรถอุทยานคันนี้ ผ่านกล้อง
แล้วรถอุทยานไปไหน?
คำตอบคือ เวลา 16.43 น. รถอุทยานคันนี้ ถูกพบว่าไปผ่านกล้องวงจรปิดที่จุด “คุ้มนางพญา” ซึ่งเป็นเส้นทางไปที่ห้วยคมกฤต และตรงไปเขาพะเนินทุ่ง คนละเส้นทาง คนละทิศทางเลยกับเส้นทางไปบ้านไร่ชัยราชพฤกษ์
จากนั้น มีรถลักษณะคล้ายกัน ผ่านกลับมาที่กล้องตัวนี้ในเวลา 19.50 น.
ทั้งหมดนี้ทำให้ชุดสืบสวนของ พ.ต.อไตรวิช สรุปสำนวนว่า “ไม่พบการปล่อยตัวบิลลี่” และเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่นำไปสู่การขอหมายจับ
ส่วนหลักฐานอื่นๆ ที่สำคัญ ยังมีข้อสงสัยที่นายชัยวัฒน์ ไปจับกุมบิลลี่ด้วยตัวเอง ทั้งที่บอกว่าเป็นความผิดเพียงเล็กน้อย จึงอ้างว่า ปล่อยตัวไป
วัตถุพยาน คือ ชิ้นส่วนกะโหลกของบิลลี่ ที่พบใต้สะพานแขวนในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ถูกพบว่าผ่านความร้อนสูง เช่นเดียวกับถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร เหล็กเส้น 2 ชิ้น และยังตรวจพบว่า กระดูกมนุษย์อีก 8 ชิ้น ที่พบภายหลังในบริเวณเดียวกัน ก็ผ่านความร้อนสูงเช่นกัน
การตรวจพบร่องรอยการเผาไหม้ ยังพบว่าเป็นไปในลักษณะเดียวกัน คือ “มีสีของร่องรอยการเผาไหม้ที่ไม่สม่ำเสมอ ไม่ทั่วถึงกัน” จึงบอกได้ว่าทั้งถังน้ำมัน เหล็ก ชิ้นส่วนกะโหลกบิลลี่ และกระดูกมนุษย์อีก 8 ชิ้น ถูก “เผาไหม้ในระบบเปิด” ซึ่งต่างจากการเผาระบบปิดอย่างการเผาในเมรุ ซึ่งในระบบปิด วัตถุจะมีสีของรอยไหม้สม่ำเสมอกัน
แต่ที่น่าสนใจ คือ จนถึงขณะนี้ ชุดสืบสวนของ DSI ยังไม่พบวัตถุพยานสำคัญที่ต้องการ ทั้ง รถจักรยานยนต์ของบิลลี่ ย่าม เป้สะพายหลัง กล้องถ่ายรูป แต่ขออนุมัติหมายจับไปแล้ว
จึงต้องไปสู้กันต่อในชั้นศาล ...