xs
xsm
sm
md
lg

แก้ตัวไม่ขึ้น โรงกลั่นอ้างจำเป็นขายน้ำมันให้คนไทยแพงกว่าส่งออก “ธีระชัย” สวนหน้าหงายทุกเม็ด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
อดีต รมว.คลัง โต้โรงกลั่น อ้างสารพัดต้องขายน้ำมันให้คนไทยแพงกว่าส่งออก ฟังไม่ขึ้น ยันต้นทุนกลั่นของไทยสูงกว่าสิงคโปร์ไม่จริง ไม่มีอุตสาหกรรมอื่นในไทยตั้งราคาขายบวกค่าขนส่งเทียมเหมือนน้ำมัน ส่วนข้ออ้างตั้งราคาส่งออกต่ำเป็นผลดีต่อผู้บริโภคก็ไม่จริง เพราะคนไทยไม่มีสิทธิ์ซื้อราคาส่งออก จับโกหกซ้ำน้ำมันส่งออกไม่ใช่น้ำมันตกเกรด ย้ำการตั้งราคาน้ำมันในประเทศเทียบราคาสิงคโปร์บวกค่าขนส่งเทียม ไม่เป็นธรรม จี้กระทรวงพลังงานชี้แจง

เมื่อคืนวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala และโพสต์ข้อความในหัวข้อ "โรงกลั่นชี้แจงเหตุผลทำไมราคาน้ำมันขายคนไทยต้องแพง-แต่ไม่ถูกต้อง!" โดยระบุว่า CEO Thaioil และ IRPC ให้สัมภาษณ์ในสกู๊ปข่าวเศรษฐกิจ รายการข่าวค่ำ อสมท ออกอากาศเมื่อวันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561 คำชี้แจงของทั้งสองคน เป็นการยอมรับชัดเจนว่าโรงกลั่นส่งออกในราคาต่ำกว่าขายคนไทย แต่พยายามชี้แจงเหตุผลความจำเป็น ซึ่งผมว่าเป็นเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง ดังนี้

ประเด็น “โรงกลั่นสิงคโปร์แต่ละแห่งมีกำลังกลั่นสูงกว่าไทย ต้นทุนของไทยจึงสูงกว่า” (ดูรูปที่ 1)
ภาพจากเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala
ผมโต้แย้ง : การสร้างโรงกลั่นแต่ละโรงย่อมต้องวางแผนให้มีกำลังกลั่นเกินกว่าระดับ minimum optimal capacity

ซึ่งเมื่อเกินระดับนั้นแล้ว (ดังเช่นโรงกลั่นในไทย) ต้นทุนกลั่นต่อหน่วยสำหรับโรงขนาด 1-2 แสนบาร์เรลต่อวัน ถึงแม้จะสูงกว่าโรงขนาด 4 แสนบาร์เรลต่อวัน (โรงกลั่นในสิงคโปร์) แต่ก็เพียงเล็กน้อยมาก แทบจะไม่ต่างกัน แต่ในทางกลับกัน ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนผู้บริหารไทยนั้นต่ำกว่าสิงคโปร์มากมาย

คำชี้แจงข้อนี้จึงไม่สามารถอ้างต้นทุนส่วนที่ผันแปรตามกำลังกลั่น เป็นข้ออ้างเพื่อบวกค่าขนส่งเทียมได้

ประเด็น “โรงกลั่นสิงคโปร์ไม่ต้องสำรองน้ำมัน แต่โรงกลั่นไทยต้องสำรอง” (ดูรูปที่ 1)

ผมโต้แย้ง : น้ำมันที่สำรองยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโรงกลั่น ไม่ใช่ถูกรัฐยึดไป ต้นทุนค่าใช้จ่ายจึงมีเพียง 2 ส่วน คือ หนึ่ง ค่าบำรุงรักษาถังเก็บน้ำมัน ซึ่งแต่ละปีไม่มากนัก และ สอง ค่าดอกเบี้ย ซึ่งโรงกลั่นสามารถกู้ได้ในระดับต่ำกว่าธุรกิจทั่วไป

นอกจากนี้ เนื่องจากสิงคโปร์กลั่นน้ำมันมากกว่าไทย (1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน) และใช้ภายในประเทศน้อย ส่วนใหญ่ส่งออกไปประเทศอื่นในเอเซีย ดังนั้น ในฐานะผู้ขายหลักที่ต้องเผื่อเวลาสำหรับขนส่ง โรงกลั่นสิงคโปร์ย่อมจะต้องมีการเก็บสต๊อกทั้งน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปเตรียมไว้ เพื่อรองรับออเดอร์ฉุกเฉินอยู่แล้ว

กรณีจะอ้างต้นทุนการสำรองน้ำมันเป็นเหตุผลในการบวกค่าขนส่งเทียม จึงไม่ถูกต้อง

ประเด็น “ภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ก็ตั้งราคาขายแข่งกับการนำเข้าแทบทั้งนั้น ซึ่งการบวกค่าขนส่งเทียมเพื่อเปรียบเทียบกับราคานำเข้า จึงไม่ต่างจากภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่”

ผมโต้แย้ง : ภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ที่ตั้งราคาขายแข่งกับการนำเข้านั้น ผู้ผลิตในประเทศไม่มีอำนาจผูกขาด ดังที่มีอยู่ในธุรกิจกลั่นน้ำมัน และสำหรับภาคอุตสาหกรรมอื่นที่แข่งขันกับการนำเข้า รัฐบาลก็ไม่ได้ช่วยเหลือกำหนดสูตรราคาโดยสมมติว่ามีการนำเข้า

ดังนั้น การอ้างการแข่งขันกับการนำเข้าเป็นข้ออ้าง เพื่อบวกค่าขนส่ง ประกันภัย ฯลฯ ทั้งที่ไม่มีการขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปมาจากสิงคโปร์จริงๆ จึงไม่ถูกต้อง

ประเด็น “การตั้งราคาส่งออกต่ำกว่าราคาขายในประเทศเป็นผลดีต่อผู้บริโภคไทย เพราะโรงกลั่นจะได้แข่งขันกันขายในประเทศ”

ผมโต้แย้ง : การตั้งราคาส่งออกต่ำกว่าราคาขายในประเทศ จะเป็นผลดีต่อผู้บริโภคไทยได้ ก็ต่อเมื่อผู้บริโภคไทยมีโอกาสซื้อในราคาตลาดส่งออกด้วย แต่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากรัฐไปกำหนดว่า โรงกลั่นจะขายคนไทยในราคานำเข้า ในการขายผู้บริโภคไทยจึงไม่เกิดการแข่งขันกันดังที่กล่าวอ้าง

ดังนั้น การอ้างว่าราคาส่งออกที่ต่ำกว่าราคาขายในประเทศ จะเป็นผลดีต่อผู้บริโภคไทย จึงไม่เป็นเหตุเป็นผล

ประเด็น “สาเหตุที่ราคาส่งออกต่ำกว่าขายในประเทศเพราะส่งออกน้ำมันตกเกรด ส่วนที่ขายในไทยแพงกว่าเพราะปรับเป็นมาตรฐานยูโร 4”

ผมโต้แย้ง : ผมเคยพบข้อมูลว่าความแตกต่างระหว่างมาตรฐานยูโรแต่ละขั้น สะท้อนอยู่ในต้นทุนการกลั่นเพียงประมาณ 10-15 สตางค์ต่อลิตรเท่านั้น จึงไม่สามารถอธิบายราคาเบนซินส่งออกไปอินโดจีนที่ต่ำกว่าราคาขายคนไทยลิตรละเกือบ 1 บาทได้ (ดูรูปที่ 2)
ภาพจากเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala
และถ้าดูราคาส่งออกไปสิงคโปร์ (เส้นสีแดง) จะพบว่าต่ำกว่าราคาขายคนไทยถึงลิตรละ 2-3.50 บาท รวมทั้งสิงคโปร์มีมาตรฐานสูง จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่น้ำมันขายไปยังประเทศสิงคโปร์จะเป็นน้ำมันตกเกรด

ถ้าฟังคำพูดของคนขับรถขนส่งน้ำมันไปประเทศเพื่อนบ้านในคลิปในโพสต์ก่อนหน้า เขาพูดว่า ดีเซลที่ส่งออกคุณภาพสูงกว่าที่ขายในประเทศด้วยซ้ำ เพราะเป็นดีเซลล้วนๆ ที่ยังไม่มีการผสมใดๆ

ดังนั้น การอ้างข้อแตกต่างทางคุณภาพ (โดยไม่เปิดเผยข้อมูลการส่งออกน้ำมันของแต่ละเกรด) จึงไม่น่าเชื่อถือ และไม่สามารถอธิบายเหตุผลที่โรงกลั่นตั้งราคาส่งออกต่ำกว่าราคาที่ขายคนไทย

ซึ่งแท้จริงแล้วน่าจะเป็นเพราะโรงกลั่นไม่สามารถนำราคาที่ขายคนไทยไปขายประเทศสิงคโปร์ได้ เพราะเขาจะไม่ซื้อ

อนึ่ง เนื่องจากการขยายกำลังกลั่นในไทยนั้น เป็นการขยายเพื่อส่งออก ดังนั้น น้ำมันที่ส่งออกส่วนใหญ่จึงย่อมเป็นน้ำมันตามเกรดที่ตลาดผู้ซื้อกำหนด และย่อมไม่ใช่ 'เศษน้ำมัน' หรือน้ำมันตกเกรด

หลักฐานที่แสดงถึงนโยบายการขยายโรงกลั่นเพื่อส่งออก ปรากฏในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2550 สมัยรัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (ดูรูปที่ 3, 4) ระบุว่า
ภาพจากเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala
ภาพจากเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala
“เนื่องจากกำลังการกลั่นของประเทศในปี 2532 ไม่เพียงพอที่จะรองรับการใช้น้ำมันที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น รัฐบาลจึงได้ออกประกาศเชิญชวนลงทุนสร้างโรงกลั่นปิโตรเลียมเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2532 เพื่อให้ประเทศมีกำลังการกลั่นใกล้เคียงกับความต้องการใช้น้ำมัน

แต่เนื่องจากแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 ได้กําหนดให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการส่งออกน้ํามันสําเร็จรูป คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2533 จึงเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ... ให้เปลี่ยนนโยบายจากการกำหนดให้ประเทศมีกําลังกลั่นใกล้เคียงความต้องการ เป็นให้มีกําลังการกลั่นมากกว่าความต้องการ”

เป็นอันว่า การขยายโรงกลั่นเป็นเพื่อการส่งออก กำหนดมาตั้งแต่ปี 2532 ปรากฏว่า 10 ปีต่อมา ในปี 2542 กพช. พบว่ากำลังกลั่นมีเกินความต้องการในประเทศมาก และส่งออกในราคาต่ำกว่าขายภายในประเทศ กพช. จึงมีมติให้ ปตท. ไปเจรจากับโรงกลั่นให้ลดราคาขายในประเทศลงมาเท่ากับราคาส่งออก (export parity) (ดูรูปที่ 5, 6) แต่ก็ไม่มีการลดราคาตามมติดังกล่าวจนถึงทุกวันนี้
ภาพจากเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala
ภาพจากเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala
จึงทำให้ประชาชนตั้งคำถามได้ว่า บุคคลที่ทำหน้าที่เลขานุการ กพช. ที่มีมติในปี 2542 ให้ปรับลดราคาขายในประเทศ และต่อมาในปี 2550 เมื่อเป็นประธาน กพช. ก็รับทราบนโยบายการขยายกำลังกลั่นเพื่อส่งออกอีกครั้งหนึ่ง และมีอำนาจในฐานะรัฐมนตรีพลังงาน แต่ทำไมจึงไม่มีการแก้ไขสูตรราคาขายคนไทยให้เป็นธรรมในปี 2550?

ประเด็น “โรงกลั่นไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านส่งเสริมการลงทุน”

ผมโต้แย้ง : ข่าวในกรุงเทพธุรกิจ ระบุว่า บริษัท ไทยออยล์ ที่จะขยายกำลังผลิตจาก 1.75 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็น 4 แสนนั้น จะมีการยื่นขอส่งเสริมการลงทุน (ดูรูปที่ 7) และกฎระเบียบการส่งเสริมการลงทุน ข้อ 6.3 ก็ระบุถึงกิจการโรงกลั่นน้ำมัน (ดูรูปที่ 8, 9)
ภาพจากเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala
ภาพจากเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala
ภาพจากเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala
อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ผมไม่ติดใจ ถ้าไม่ให้ส่งเสริม ก็ดีแล้ว แต่ถ้าให้ ก็ควรยกเลิก เพราะเงินที่รัฐบาลต้องใช้ดูแลชาวบ้านรอบโรงกลั่น และแก้ปัญหามลภาวะน้ำมันรั่วในทะเล ไม่ควรจะเป็นภาระประชาชน จึงไม่ควรให้โรงกลั่นได้รับยกเว้นภาษีใดๆ

ประเด็น “ราคาขายปลีกน้ำมันไทยต่ำกว่าสิงคโปร์ แม้สูตรโรงกลั่นจะสูงกว่า”

ผมโต้แย้ง : การเปรียบเทียบราคาขายปลีกระหว่างประเทศนั้น ไม่ค่อยเกิดประโยชน์มากนัก เพราะแต่ละประเทศกำหนดอัตราภาษีแตกต่างกัน

ทั้งนี้ ประเด็นที่ถกเถียงกันนั้น ไม่ใช่ราคาขายปลีก แต่เป็นประเด็นที่รัฐบาลไทยใช้สูตรหน้าโรงกลั่นไทย ด้วยราคานำเข้า ทำให้ราคาที่สูงเกินไป หรือไม่? และเป็นสิ่งที่ควรปรับแก้ไขลดลงได้เป็นสิ่งแรกเพราะไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน ใช่หรือไม่?

นอกจากนี้ สิงคโปร์เป็นเกาะเล็กนิดเดียว จึงใช้มาตรการหลายอย่างเพื่อบีบบังคับไม่ให้คนใช้รถยนต์ เช่น ก่อนซื้อรถต้องแสดงที่จอดรถให้ทางการ มีการเก็บเงินพิเศษสำหรับรถที่ขับเข้าพื้นที่ชั้นใน ดังนั้น การที่สิงคโปร์ตั้งราคาขายปลีกสูงกว่าไทย จึงเป็นเหตุผลเฉพาะตัว

คำชี้แจงข้อนี้จึงไม่สามารถอ้างราคาขายปลีกสิงคโปร์ที่แพงกว่าไทย เป็นข้ออ้างเพื่อบวกค่าขนส่งเทียมได้

ทั้งนี้ ผมขอย้ำว่า กระทรวงพลังงาน/หน่วยงานที่กำกับดูแลโครงสร้างราคาน้ำมันที่ขายภายในประเทศ จะต้องตอบคำถามประชาชนว่า - ทำไมยอมให้มีการบวกค่าขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์ ค่าสูญเสียระหว่างขนส่ง และค่าประกันภัยเข้าไปในราคาขาย อันเป็นค่าใช้จ่ายเทียม ทั้งที่การกลั่นกระทำในประเทศไทย?

ท่านนายกฯ ก็รู้ในประเด็นนี้มาก่อน มิใช่หรือ?

รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานคนปัจจุบันก็รู้ มิใช่หรือ?

รัฐบาลนี้จึงมีหน้าที่ต้องชี้แจงว่า นโยบายพลังงานของท่าน เห็นถึงความจำเป็นในกรณีนี้ ของโรงกลั่น หรือของประชาชนกันแน่?

และผมขอคำตอบที่ตรงประเด็น จากรัฐบาล!

“และขอร้องว่า ท่านไม่ต้องส่งคนจากโรงกลั่น/ผู้ผลิต/ผู้ค้าส่ง-ค้าปลีก หรือผู้ซึ่งได้รับประโยชน์ในเรื่องนี้ ออกมาชี้แจงที่มาของผลประโยชน์ของตัวเอง แบบอ้อมไป อ้อมมา ซึ่งประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร” นายธีระชัย ระบุตอนท้าย








กำลังโหลดความคิดเห็น