ถึงแม้ว่าละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ของทางช่อง 3 จะลาจอกันไปแล้ว แต่ด้วยละครกระแสดีและได้รับความนิยมจนส่งผลให้ตัวละครต่างๆ ในเรื่องที่ไม่ใช่เพียงแต่ตัวเอก ต่างก็ถูกพูดถึงและได้รับความสนใจจากผู้ชมไปตามๆ กัน เฉกเช่นเดียวกันกับบท “แม่แก้ว” ลูกสาวของแม่นายการะเกดและคุณพ่อเดชหรือพระศรีวิสารสุนทร ที่รับบทโดย ฟ้อนด์-ณัฐทิชา จันทรวารีเลขา ต่างก็เป็นที่พูดถึง จนทำให้ใครหลายคนอยากรู้จักเธอกันให้มากขึ้น
จากเด็กที่ชอบการแสดง ชอบการทำกิจกรรมเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้ครั้งหนึ่งเธอเคยชนะเลิศโครงการ McDonald’s Champions Of play 2012 ซึ่งครั้งนั้นมีอายุเพียง 10 ขวบเท่านั้น กระทั่งปัจจุบันมีโอกาสร่วมเล่นละครบุพเพสันนิวาสทางช่อง 3 ซึ่งเร็วๆ นี้ก็จะมีผลงานซีรีส์เรื่อง kiss me again ค่าย GMM, โฆษณา McDonald’s, โฆษณา True, โฆษณา Honda, โฆษณา Sharp Air ให้ได้เห็นกันอีกด้วย
เอาเป็นว่ามาทำความรู้จักสาวน้อยวัย 15 ปีที่เต็มไปด้วยความน่ารักสดใสคนนี้กันดีกว่า แล้วคุณจะรู้ว่านอกจากฝีมือการแสดงแล้ว การเรียนของเธอก็ไม่เป็นรองใครเลยเช่นกัน
แจ้งเกิดเพราะ… “บุพเพสันนิวาส”
ละครเรื่องแรกในชีวิต
ละครเรื่องบุพเพสันนิวาสเป็นเรื่องแรกของหนูเลยค่ะ ที่หนูได้ไปเล่นเรื่องนี้เนื่องจากมีทางผู้ใหญ่ที่เป็นโมเดลลิ่งติดต่อมา
ตอนแรกที่พี่เขาโทร.มาหนูก็ตกใจนะคะ คิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง เพราะตอนนั้นพี่เขาติดต่อมาทางคุณแม่ก่อน แล้วคุณแม่ไม่ได้รับสาย พี่เขาก็เลยโทร.มาที่เบอร์คุณพ่อ บอกกับคุณพ่อว่าทางทีมนักแสดง ผู้กำกับได้เห็นหนูแล้วสนใจ เขาชอบอยากให้ไปร่วมแสดงด้วย พอคุณพ่อทราบก็โทร.มาหาหนูเลยค่ะ ตอนนั้นหนูอยู่กับเพื่อน ไปอบรมกับทางโรงเรียนอยู่ พอคุณพ่อบอก ตอนแรกก็ไม่เชื่อนะคะ คิดว่าคุณพ่อพูดเล่น เพราะปกติคุณพ่อชอบพูดเล่นกับหนูอยู่แล้วด้วย หนูก็เลยคิดว่าไม่จริงหรอก แต่พอมาถึงบ้าน คุณพ่อคุณแม่เขาดูจริงจัง บอกว่าเป็นเรื่องจริง ไม่ได้พูดเล่น ตอนนั้นเราดีใจมากๆ เลยค่ะ
หลังจากนั้นทางทีมงานก็ได้นัดมาดูคาแรกเตอร์ ดูบุคลิกต่างๆ ของหนูว่าตรงกับทางแม่การะเกด (เบลล่า ราณี แคมเปน) ไหม หรือว่าสามารถเข้ากันได้หรือเปล่า ซึ่งดูแล้วพี่ๆ เขาโอเค ผลสรุปหนูก็ได้เข้าร่วมแสดงค่ะเพราะพี่เขาบอกว่าบุคลิกท่าทาง รูปหน้า การพูดจา สายตา หนูสามารถเข้ากับซีนของพล็อตเรื่องนี้ได้พอดี ใกล้เคียงและตรงกับแม่การะเกดพอดี (ยิ้ม) หนูเลยได้มาเล่นบทนี้ค่ะ
หนูรับบทเป็นตัวละคร “แม่แก้ว” ลูกสาวของแม่การะเกด บทจะเป็นตัวละครที่เรียบร้อย พูดจาอ่อนหวาน มีมารยาท ซึ่งก็แตกต่างกับตัวจริงหนูพอสมควรเลยนะคะเพราะตัวจริงหนูเป็นคนขี้เล่น เฮฮา สนุกสนานค่ะ (หัวเราะ)
ตอนที่ทราบว่าจะได้เล่นละคร หนูก็เตรียมตัว เตรียมความพร้อมเริ่มจากควบคุมอาหารก่อนเลยค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่จะดูแลเป็นพิเศษเลย อย่างถ้ากินอะไรที่เป็นของหวานๆ เขาก็จะมองแล้ว (หัวเราะ) เขาก็จะบอกว่าห้ามทานเยอะนะ แล้วก็มีไปออกกำลังกายบ้างค่ะ ส่วนเรื่องผิวพรรณช่วงนั้นก็จะพยายามเลี่ยงไม่ให้โดนแดด ไปไหนต้องพกร่มตลอดเลยค่ะ ที่เหลือก็ต้องเตรียมใจ พยายามให้ตัวเองไม่ตื่นเต้น ทำให้ตัวเองพร้อมมากที่สุด
ถามว่ากดดันไหม ยอมรับว่ากดดันนะคะ เรื่องยิ้มจะเป็นอะไรที่หนูกดดันที่สุดแล้ว เพราะว่าหนูยิ้มไม่ถนัด ปกติหนูจะเป็นคนที่ชอบยิ้มเห็นฟัน แต่เรื่องนี้ต้องยิ้มแบบไม่เห็นฟัน เพราะสาวยุคนั้นกิริยาทุกท่วงท่าจะเรียบร้อย ซึ่งหนูก็ต้องปรับ ต้องพยายามฝึกยิ้มหน้ากระจก ต้องพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ก็ใช้เวลานานพอสมควรเลยค่ะ
ส่วนเรื่องบทหนูจะไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เพราะบทพูดหนูจะไม่เยอะอยู่แล้ว จะเป็นตามธรรมชาติเลย ที่เหลือส่วนใหญ่จะเป็นการแอกติ้งมากกว่า เลยจะไม่ได้ยากมาก แต่ถามว่าตอนแรกกลัวไหมหนูกลัวนะคะ กลัวว่าเราทำออกมาไม่ดีเหมือนกันค่ะ แต่หนูก็พยายามทำให้เต็มที่ เต็มความสามารถ ซึ่งจากที่ได้เข้าไปสัมผัสในกองละครสนุกมากๆ เลยค่ะ พี่ๆ ทุกคนน่ารักมาก เป็นกันเองด้วย พี่ๆ เขาก็จะเข้ามาทักทาย เข้ามาคุยก่อน อย่างตอนเข้าฉากแรก หนูก็จะเกร็งๆ นิดหนึ่ง เพราะว่าตื่นเต้นมาก ทุกคนก็จะมาอยู่ข้างๆ คอยบอก คอยสอนให้หนูคลายความตื่นเต้นค่ะ
หนูอยากบอกว่าหนูภูมิใจมากๆ ที่ได้เล่นละครเรื่องนี้ เพราะว่าเป็นละครเรื่องแรกแถมเป็นละครที่ดังและกระแสดีด้วย เรียกได้ว่าเป็นละครที่ครบรสเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะมีทั้งประวัติศาสตร์ที่แฝงไปด้วยความตลก ไม่เครียด อีกทั้งมีเรื่องการใช้ชีวิตของคนในสมัยก่อน เรื่องนิสัยคนว่าแบบไหนถึงจะเป็นที่รัก รวมถึงเรื่องความรักของคนในประเทศชาติ ความรักของคนในครอบครัว การให้อภัยต่างๆ ด้วย ซึ่งหนูอยากขอบคุณโชคชะตา ขอบคุณผู้ใหญ่ทุกท่าน ที่มอบโอกาสให้หนู จะเรียกว่าเป็นบุพเพสันนิวาสก็ได้ค่ะ (ยิ้ม)
ชื่นชอบการแสดงเป็นทุนเดิม
ถ้ามีโอกาสอยากทำงานในวงการบันเทิง
ตั้งแต่จำความได้ หนูก็รู้ว่าตัวเองชอบการแสดงแล้วนะคะ อย่างตอนเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่ชอบบอกว่าตอนที่หนูอายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบ หนูก็เริ่มเต้นแล้ว คุณพ่อจะชอบเปิดเพลง ตอนนั้นหนูเดินไม่ได้ หนูก็จะเต้นแบบกระดึ๊บๆ เอาค่ะ (หัวเราะ) พอโตขึ้นมาหน่อย หนูจะชอบอยู่หน้ากระจกคนเดียว ชอบเต้น ชอบร้องเพลง ชอบลองแอกติ้ง ทำเสียงพากย์ตลกๆ หน้ากระจก ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นอะไรที่ใช่สำหรับเรา
จริงๆ งานแรกของหนูเริ่มตั้งแต่ตอนป.4 น่าจะราวๆ 10 ขวบนะคะ ตอนนั้นหนูชนะโครงการ McDonald's Champions Of Play 2012 ค่ะ เป็นรายการประกวดหาเด็กไทยเป็นผู้สื่อข่าวไปโอลิมปิก ตรงนี้เริ่มมาจากที่คุณแม่ให้เล่นเกมเอาคูปองส่วนลดของร้าน McDonald's ซึ่งหนูก็เล่น ก็ได้คูปองมา ระหว่างรออาหารคุณแม่ก็เหลือบไปเห็นป้ายว่ามีให้สมัคร โครงการ McDonald's Champions Of Play คุณแม่เขาก็ชวนหนูให้ไปสมัคร หนูก็ไม่คิดอะไร เชื่อแม่ สมัครไปเล่นๆ ปรากฏว่าเข้ารอบ ซึ่งเราก็ต้องมาออดิชัน ตอนออดิชันหนูก็เต้นตามธรรมชาติของหนูไปเลย เพราะหนูชอบเต้น ชอบร้องเพลงอยู่แล้ว พอผ่านมารอบลึกขึ้นเราก็เริ่มจริงจังกับการแสดงมากขึ้น สุดท้ายเขาก็เลือกมา 3 คน ซึ่งหนูก็ได้เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้ไปชมโอลิมปิกที่สนามเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้ไปอัดรายการ และมีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์นักกีฬาไทยที่ได้ไปโอลิมปิก ซึ่งตอนนั้นพี่แก้ว พงษ์ประยูรเขาได้รางวัลโอลิมปิก หนูก็ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ด้วย ครั้งนั้นก็เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่น่าภูมิใจของเราเลยค่ะ
พอหลังจากนั้นตอนอายุ 13-14 ปี หนูก็จะเริ่มได้แคสต์งานแล้วค่ะ แต่ตอนนั้นคุณแม่ไม่ได้ดันสักเท่าไหร่ เพราะเราอยู่ต่างจังหวัดด้วย เพิ่งจะได้มาทำจริงๆ จังๆ ตอนนี้เองค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็จะเป็นคนรับงานให้ ช่วยสแกนให้ด้วย อย่างถ้างานไหนไม่ค่อย
ตรงกับคาแรกเตอร์ หรือคิดว่าไม่น่าจะได้ เขาก็จะไม่ให้มา เพราะเขาก็ไม่อยากให้หนูเสียการเรียนด้วย
ส่วนตัวหนูชอบการแสดงนะคะ ชอบทุกอย่างเลย อะไรที่เกี่ยวกับด้านบันเทิงจะชอบทั้งหมด ได้ทำแล้วมีความสุข ถ้าเป็นไปได้หนูก็อยากเข้าวงการบันเทิงเหมือนกันค่ะ
ตอนนี้นอกจากละครบุพเพสันนิวาสทางช่อง 3 แล้ว ผลงานต่อไปก็จะมีซีรีส์เรื่อง kiss me again ค่าย GMM, โฆษณา McDonald’s, โฆษณา True, โฆษณา Honda, โฆษณา Sharp Air และอีกหนึ่งโปรเจกต์ที่ต้องขออุบไว้ก่อนค่ะ
เรียนดี กิจกรรมเด่น
เป็นหนึ่งในแถวหน้าของโรงเรียน
คุณแม่จะบอกเสมอว่าเราสามารถทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วยได้นะแต่ต้องไม่ให้กระทบกับการเรียน เพราะว่าถ้าทำแล้วการเรียนแย่ลง คุณแม่ก็จะให้หยุดทำทันทีค่ะ หนูก็เลยต้องขวนขวายและพยายามพอสมควรเพื่อไม่ให้การเรียนตก เพราะว่าเดี๋ยวจะไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ
ตอนนี้หนูกำลังจะขึ้นชั้น ม.4 สายวิทย์ คณิต ที่โรงเรียนหัวหินวิทยาลัยค่ะ ส่วนผลการเรียนปัจจุบันหนูได้เกียรตินิยม เกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 3.88 อยู่อันดับที่ 7 จากนักเรียนในชั้นทั้งหมด 300 กว่าคนค่ะ
เคล็ดลับการเรียนให้ดีก็คือ หนูจะตั้งใจเรียนในห้องเรียนให้มากๆ จะพยายามจด ถ้าเรียนไม่ทันหรือไม่เข้าใจตรงไหนก็จะจดไว้แล้วไปหาหนังสือเพิ่มเติมมาเปิดอ่านหรือหาคลิปวิดีโอดูเสริมเอาค่ะ คุณแม่จะชอบซื้อแผ่นซีดีและหนังสือมาให้ติวที่บ้าน ถ้าเรื่องไหนเราเรียนไม่ทันที่โรงเรียน ก่อนสอบหนูก็จะใช้วิธีนี้ หนูจะพยายามฝึกฝนและทบทวนบ่อยๆ จะได้คล่องแคล่วและไม่ลืมค่ะ
อีกอย่างหนึ่งพอมาทำงานตรงนี้หนูก็ต้องตามงานกับเพื่อน พอหนูไม่มาโรงเรียน เพื่อนเขาจะจดส่งมาให้ในข้อความเลยค่ะว่าวันนี้มีงานอะไรบ้าง ครูสอนอะไรบ้าง ทำให้หนูตามงานทัน โชคดีที่หนูได้เพื่อนดีด้วยค่ะ (ยิ้ม)
นอกจากการเรียนแล้วหนูยังชอบทำกิจกรรมด้วยค่ะ หนูค่อนข้างจะเป็นคนที่กล้าแสดงออก ยิ่งถ้าเป็นงานหรือว่าต่อหน้าคนเยอะๆ จะชอบมาก (หัวเราะ) ก็จะมีไปแข่งขันด้านวิชาการบ้าง หนูเป็นเด็กนาฏศิลป์ด้วยก็จะมีการแสดงต่างๆ เช่น รำดาบ รำมโนราห์ ฯลฯ ด้วยค่ะ
หนูชอบทำกิจกรรมเพราะคุณแม่จะสอนให้เรากล้าตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ซึ่งการทำกิจกรรมก็ถือว่าเป็นการช่วยให้เรากล้าแสดงออกด้วย เพราะคนในโรงเรียนก็มีหลายพันคนอยู่แล้ว ถ้าเรากล้าในโรงเรียนเราก็จะกล้าที่อื่นด้วย มันเลยเป็นส่วนช่วยเสริมประสบการณ์ตรงนี้ได้ด้วยค่ะ
อนาคตใฝ่ฝันอยากจะเรียนนิเทศศาสตร์หรือไม่ก็ทันตแพทย์
แนะคนที่มีความฝัน ทำตามฝันได้ แต่ต้องไม่ทิ้งการเรียน
อนาคตหนูก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่าอยากเรียนนิเทศศาสตร์แต่หนูก็กำลังสับสนอยู่ว่าจะเรียนทันตแพทย์ดีไหม ก็ต้องลองเรียน ม.ปลายดูก่อน น่าจะรู้ตัวเองมากขึ้น ถึงวันนั้นก็ค่อยปรึกษาและคุยกับคุณพ่อคุณแม่อีกที แต่จริงๆ คุณพ่อคุณแม่เขาก็ไม่ได้บังคับนะคะ เขาก็ให้อิสระกับหนูพอสมควร เราอยากทำอะไรเขาก็จะให้ทำ คุณพ่อคุณแม่จะบอกเสมอค่ะว่าจะเก่งอะไรยังไงก็แล้วแต่ แค่เราเรียนให้ได้ก็พอแล้ว ให้เรามีความสุข ไม่ต้องมาวิชาการจ๋า เพราะบางคนคะยั้นคะยออยากให้ลูกเป็นแพทย์ เป็นอะไร แต่สำหรับคุณพ่อคุณแม่บอกว่าไม่จำเป็นเลยค่ะ แต่เราก็ต้องแยกแยะให้ได้ด้วยว่าอันนี้เวลาเรียนนะ อันนี้เวลาทำกิจกรรมนะ เต็มที่กับการเรียนเสร็จ เราถึงจะมาทำกิจกรรม ทำในสิ่งที่ชอบต่อ ประมาณนี้ค่ะ
หนูอยากฝากบอกน้องๆ หรือเพื่อนๆ ว่าอยากทำอะไรก็ขอให้ทำในสิ่งตัวเองรัก แต่ต้องไม่ทิ้งการเรียนด้วย เพราะสุดท้ายแล้วยังไงการเรียนก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้อนาคตเราไปได้ไกล ส่วนเรื่องความชอบบางคนอาจจะชอบเตะบอล ชอบวาดรูป ชอบร้องเพลง หรือจะชอบอะไรก็แล้วแต่ ก็ขอให้เป็นเรื่องรอง ให้พยายามแบ่งเวลาทำควบคู่กันไป เพื่อจะได้ทำออกมาให้ดีทั้งคู่ค่ะ
Profile
ชื่อ สกุล : ณัฐทิชา จันทรวารีเลขา
ชื่อเล่น : ฟ้อนด์
วันเกิด : วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2545
อายุ : 15 ปี
การศึกษา : กำลังจะขึ้นระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหัวหินวิทยาลัย
อาหารที่ชอบ : อาหารเผ็ดๆ ต้มยำ ส้มตำ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ กะเพราหมูกรอบ ซูชิ สปาเกตตี ข้าวหน้าเป็ด
ไอดอล : ฟรัง นรีกุล ชอบมีคนมาทักเสมอๆ ว่าหน้าคล้าย อีกอย่างพี่เขาน่ารัก แถมยังขยัน มีความคิดที่ดี และเรียนเก่งอีกด้วย คุณแม่เลยชอบบอกว่า “ทำให้ได้แบบพี่เขานะ หม่าม๊าจะภูมิใจมากๆ”
งานอดิเรก : ร้องเพลง เต้น ดูหนัง บางทีก็ชอบนั่งพากย์การ์ตูนเล่นๆ ที่บ้าน
ผลงาน : ละครบุพเพสันนิวาส, ซีรีส์ kiss me again ค่าย gmm, โฆษณา McDonald’s, โฆษณา True, โฆษณา Honda, โฆษณา Sharp Air, ชนะเลิศโครงการ McDonald’s Champions Of play 2012.
คติประจำใจ : “ถ้าเราฝันได้ เราก็ทำได้”
3 สิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิต :
1. เสียงดนตรี เพราะในทุกๆ วันจะต้องร้องเพลงหรือไม่ก็เต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกไม่สบายใจค่ะ
2. อาหารเผ็ดๆ เพราะถ้าบนโลกนี้ไม่มีอาหารเผ็ดคงไม่มีความสุขกับการกิน อยู่ไม่ได้และคงผอมเป็นกุ้งแห้งไปแล้วแน่ๆ
3. ครีมกันแดด ไปไหนก็ต้องพกติดตัวไปด้วยทุกที่ เพราะเป็นคนผิวดำง่ายมาก และก็กลับไปขาวยากด้วยเช่นกันค่ะ
เรื่อง : วรัญญา งามขำ, พุทธิตา ลามคำ
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช, อินสตาแกรม @fondnattichaa และอินสตาแกรม @fondnatticha_family
จากเด็กที่ชอบการแสดง ชอบการทำกิจกรรมเป็นชีวิตจิตใจ ทำให้ครั้งหนึ่งเธอเคยชนะเลิศโครงการ McDonald’s Champions Of play 2012 ซึ่งครั้งนั้นมีอายุเพียง 10 ขวบเท่านั้น กระทั่งปัจจุบันมีโอกาสร่วมเล่นละครบุพเพสันนิวาสทางช่อง 3 ซึ่งเร็วๆ นี้ก็จะมีผลงานซีรีส์เรื่อง kiss me again ค่าย GMM, โฆษณา McDonald’s, โฆษณา True, โฆษณา Honda, โฆษณา Sharp Air ให้ได้เห็นกันอีกด้วย
เอาเป็นว่ามาทำความรู้จักสาวน้อยวัย 15 ปีที่เต็มไปด้วยความน่ารักสดใสคนนี้กันดีกว่า แล้วคุณจะรู้ว่านอกจากฝีมือการแสดงแล้ว การเรียนของเธอก็ไม่เป็นรองใครเลยเช่นกัน
แจ้งเกิดเพราะ… “บุพเพสันนิวาส”
ละครเรื่องแรกในชีวิต
ละครเรื่องบุพเพสันนิวาสเป็นเรื่องแรกของหนูเลยค่ะ ที่หนูได้ไปเล่นเรื่องนี้เนื่องจากมีทางผู้ใหญ่ที่เป็นโมเดลลิ่งติดต่อมา
ตอนแรกที่พี่เขาโทร.มาหนูก็ตกใจนะคะ คิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง เพราะตอนนั้นพี่เขาติดต่อมาทางคุณแม่ก่อน แล้วคุณแม่ไม่ได้รับสาย พี่เขาก็เลยโทร.มาที่เบอร์คุณพ่อ บอกกับคุณพ่อว่าทางทีมนักแสดง ผู้กำกับได้เห็นหนูแล้วสนใจ เขาชอบอยากให้ไปร่วมแสดงด้วย พอคุณพ่อทราบก็โทร.มาหาหนูเลยค่ะ ตอนนั้นหนูอยู่กับเพื่อน ไปอบรมกับทางโรงเรียนอยู่ พอคุณพ่อบอก ตอนแรกก็ไม่เชื่อนะคะ คิดว่าคุณพ่อพูดเล่น เพราะปกติคุณพ่อชอบพูดเล่นกับหนูอยู่แล้วด้วย หนูก็เลยคิดว่าไม่จริงหรอก แต่พอมาถึงบ้าน คุณพ่อคุณแม่เขาดูจริงจัง บอกว่าเป็นเรื่องจริง ไม่ได้พูดเล่น ตอนนั้นเราดีใจมากๆ เลยค่ะ
หลังจากนั้นทางทีมงานก็ได้นัดมาดูคาแรกเตอร์ ดูบุคลิกต่างๆ ของหนูว่าตรงกับทางแม่การะเกด (เบลล่า ราณี แคมเปน) ไหม หรือว่าสามารถเข้ากันได้หรือเปล่า ซึ่งดูแล้วพี่ๆ เขาโอเค ผลสรุปหนูก็ได้เข้าร่วมแสดงค่ะเพราะพี่เขาบอกว่าบุคลิกท่าทาง รูปหน้า การพูดจา สายตา หนูสามารถเข้ากับซีนของพล็อตเรื่องนี้ได้พอดี ใกล้เคียงและตรงกับแม่การะเกดพอดี (ยิ้ม) หนูเลยได้มาเล่นบทนี้ค่ะ
หนูรับบทเป็นตัวละคร “แม่แก้ว” ลูกสาวของแม่การะเกด บทจะเป็นตัวละครที่เรียบร้อย พูดจาอ่อนหวาน มีมารยาท ซึ่งก็แตกต่างกับตัวจริงหนูพอสมควรเลยนะคะเพราะตัวจริงหนูเป็นคนขี้เล่น เฮฮา สนุกสนานค่ะ (หัวเราะ)
ตอนที่ทราบว่าจะได้เล่นละคร หนูก็เตรียมตัว เตรียมความพร้อมเริ่มจากควบคุมอาหารก่อนเลยค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่จะดูแลเป็นพิเศษเลย อย่างถ้ากินอะไรที่เป็นของหวานๆ เขาก็จะมองแล้ว (หัวเราะ) เขาก็จะบอกว่าห้ามทานเยอะนะ แล้วก็มีไปออกกำลังกายบ้างค่ะ ส่วนเรื่องผิวพรรณช่วงนั้นก็จะพยายามเลี่ยงไม่ให้โดนแดด ไปไหนต้องพกร่มตลอดเลยค่ะ ที่เหลือก็ต้องเตรียมใจ พยายามให้ตัวเองไม่ตื่นเต้น ทำให้ตัวเองพร้อมมากที่สุด
ถามว่ากดดันไหม ยอมรับว่ากดดันนะคะ เรื่องยิ้มจะเป็นอะไรที่หนูกดดันที่สุดแล้ว เพราะว่าหนูยิ้มไม่ถนัด ปกติหนูจะเป็นคนที่ชอบยิ้มเห็นฟัน แต่เรื่องนี้ต้องยิ้มแบบไม่เห็นฟัน เพราะสาวยุคนั้นกิริยาทุกท่วงท่าจะเรียบร้อย ซึ่งหนูก็ต้องปรับ ต้องพยายามฝึกยิ้มหน้ากระจก ต้องพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ก็ใช้เวลานานพอสมควรเลยค่ะ
ส่วนเรื่องบทหนูจะไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เพราะบทพูดหนูจะไม่เยอะอยู่แล้ว จะเป็นตามธรรมชาติเลย ที่เหลือส่วนใหญ่จะเป็นการแอกติ้งมากกว่า เลยจะไม่ได้ยากมาก แต่ถามว่าตอนแรกกลัวไหมหนูกลัวนะคะ กลัวว่าเราทำออกมาไม่ดีเหมือนกันค่ะ แต่หนูก็พยายามทำให้เต็มที่ เต็มความสามารถ ซึ่งจากที่ได้เข้าไปสัมผัสในกองละครสนุกมากๆ เลยค่ะ พี่ๆ ทุกคนน่ารักมาก เป็นกันเองด้วย พี่ๆ เขาก็จะเข้ามาทักทาย เข้ามาคุยก่อน อย่างตอนเข้าฉากแรก หนูก็จะเกร็งๆ นิดหนึ่ง เพราะว่าตื่นเต้นมาก ทุกคนก็จะมาอยู่ข้างๆ คอยบอก คอยสอนให้หนูคลายความตื่นเต้นค่ะ
หนูอยากบอกว่าหนูภูมิใจมากๆ ที่ได้เล่นละครเรื่องนี้ เพราะว่าเป็นละครเรื่องแรกแถมเป็นละครที่ดังและกระแสดีด้วย เรียกได้ว่าเป็นละครที่ครบรสเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะมีทั้งประวัติศาสตร์ที่แฝงไปด้วยความตลก ไม่เครียด อีกทั้งมีเรื่องการใช้ชีวิตของคนในสมัยก่อน เรื่องนิสัยคนว่าแบบไหนถึงจะเป็นที่รัก รวมถึงเรื่องความรักของคนในประเทศชาติ ความรักของคนในครอบครัว การให้อภัยต่างๆ ด้วย ซึ่งหนูอยากขอบคุณโชคชะตา ขอบคุณผู้ใหญ่ทุกท่าน ที่มอบโอกาสให้หนู จะเรียกว่าเป็นบุพเพสันนิวาสก็ได้ค่ะ (ยิ้ม)
ชื่นชอบการแสดงเป็นทุนเดิม
ถ้ามีโอกาสอยากทำงานในวงการบันเทิง
ตั้งแต่จำความได้ หนูก็รู้ว่าตัวเองชอบการแสดงแล้วนะคะ อย่างตอนเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่ชอบบอกว่าตอนที่หนูอายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบ หนูก็เริ่มเต้นแล้ว คุณพ่อจะชอบเปิดเพลง ตอนนั้นหนูเดินไม่ได้ หนูก็จะเต้นแบบกระดึ๊บๆ เอาค่ะ (หัวเราะ) พอโตขึ้นมาหน่อย หนูจะชอบอยู่หน้ากระจกคนเดียว ชอบเต้น ชอบร้องเพลง ชอบลองแอกติ้ง ทำเสียงพากย์ตลกๆ หน้ากระจก ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นอะไรที่ใช่สำหรับเรา
จริงๆ งานแรกของหนูเริ่มตั้งแต่ตอนป.4 น่าจะราวๆ 10 ขวบนะคะ ตอนนั้นหนูชนะโครงการ McDonald's Champions Of Play 2012 ค่ะ เป็นรายการประกวดหาเด็กไทยเป็นผู้สื่อข่าวไปโอลิมปิก ตรงนี้เริ่มมาจากที่คุณแม่ให้เล่นเกมเอาคูปองส่วนลดของร้าน McDonald's ซึ่งหนูก็เล่น ก็ได้คูปองมา ระหว่างรออาหารคุณแม่ก็เหลือบไปเห็นป้ายว่ามีให้สมัคร โครงการ McDonald's Champions Of Play คุณแม่เขาก็ชวนหนูให้ไปสมัคร หนูก็ไม่คิดอะไร เชื่อแม่ สมัครไปเล่นๆ ปรากฏว่าเข้ารอบ ซึ่งเราก็ต้องมาออดิชัน ตอนออดิชันหนูก็เต้นตามธรรมชาติของหนูไปเลย เพราะหนูชอบเต้น ชอบร้องเพลงอยู่แล้ว พอผ่านมารอบลึกขึ้นเราก็เริ่มจริงจังกับการแสดงมากขึ้น สุดท้ายเขาก็เลือกมา 3 คน ซึ่งหนูก็ได้เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้ไปชมโอลิมปิกที่สนามเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้ไปอัดรายการ และมีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์นักกีฬาไทยที่ได้ไปโอลิมปิก ซึ่งตอนนั้นพี่แก้ว พงษ์ประยูรเขาได้รางวัลโอลิมปิก หนูก็ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ด้วย ครั้งนั้นก็เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่น่าภูมิใจของเราเลยค่ะ
พอหลังจากนั้นตอนอายุ 13-14 ปี หนูก็จะเริ่มได้แคสต์งานแล้วค่ะ แต่ตอนนั้นคุณแม่ไม่ได้ดันสักเท่าไหร่ เพราะเราอยู่ต่างจังหวัดด้วย เพิ่งจะได้มาทำจริงๆ จังๆ ตอนนี้เองค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็จะเป็นคนรับงานให้ ช่วยสแกนให้ด้วย อย่างถ้างานไหนไม่ค่อย
ตรงกับคาแรกเตอร์ หรือคิดว่าไม่น่าจะได้ เขาก็จะไม่ให้มา เพราะเขาก็ไม่อยากให้หนูเสียการเรียนด้วย
ส่วนตัวหนูชอบการแสดงนะคะ ชอบทุกอย่างเลย อะไรที่เกี่ยวกับด้านบันเทิงจะชอบทั้งหมด ได้ทำแล้วมีความสุข ถ้าเป็นไปได้หนูก็อยากเข้าวงการบันเทิงเหมือนกันค่ะ
ตอนนี้นอกจากละครบุพเพสันนิวาสทางช่อง 3 แล้ว ผลงานต่อไปก็จะมีซีรีส์เรื่อง kiss me again ค่าย GMM, โฆษณา McDonald’s, โฆษณา True, โฆษณา Honda, โฆษณา Sharp Air และอีกหนึ่งโปรเจกต์ที่ต้องขออุบไว้ก่อนค่ะ
เรียนดี กิจกรรมเด่น
เป็นหนึ่งในแถวหน้าของโรงเรียน
คุณแม่จะบอกเสมอว่าเราสามารถทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วยได้นะแต่ต้องไม่ให้กระทบกับการเรียน เพราะว่าถ้าทำแล้วการเรียนแย่ลง คุณแม่ก็จะให้หยุดทำทันทีค่ะ หนูก็เลยต้องขวนขวายและพยายามพอสมควรเพื่อไม่ให้การเรียนตก เพราะว่าเดี๋ยวจะไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ
ตอนนี้หนูกำลังจะขึ้นชั้น ม.4 สายวิทย์ คณิต ที่โรงเรียนหัวหินวิทยาลัยค่ะ ส่วนผลการเรียนปัจจุบันหนูได้เกียรตินิยม เกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 3.88 อยู่อันดับที่ 7 จากนักเรียนในชั้นทั้งหมด 300 กว่าคนค่ะ
เคล็ดลับการเรียนให้ดีก็คือ หนูจะตั้งใจเรียนในห้องเรียนให้มากๆ จะพยายามจด ถ้าเรียนไม่ทันหรือไม่เข้าใจตรงไหนก็จะจดไว้แล้วไปหาหนังสือเพิ่มเติมมาเปิดอ่านหรือหาคลิปวิดีโอดูเสริมเอาค่ะ คุณแม่จะชอบซื้อแผ่นซีดีและหนังสือมาให้ติวที่บ้าน ถ้าเรื่องไหนเราเรียนไม่ทันที่โรงเรียน ก่อนสอบหนูก็จะใช้วิธีนี้ หนูจะพยายามฝึกฝนและทบทวนบ่อยๆ จะได้คล่องแคล่วและไม่ลืมค่ะ
อีกอย่างหนึ่งพอมาทำงานตรงนี้หนูก็ต้องตามงานกับเพื่อน พอหนูไม่มาโรงเรียน เพื่อนเขาจะจดส่งมาให้ในข้อความเลยค่ะว่าวันนี้มีงานอะไรบ้าง ครูสอนอะไรบ้าง ทำให้หนูตามงานทัน โชคดีที่หนูได้เพื่อนดีด้วยค่ะ (ยิ้ม)
นอกจากการเรียนแล้วหนูยังชอบทำกิจกรรมด้วยค่ะ หนูค่อนข้างจะเป็นคนที่กล้าแสดงออก ยิ่งถ้าเป็นงานหรือว่าต่อหน้าคนเยอะๆ จะชอบมาก (หัวเราะ) ก็จะมีไปแข่งขันด้านวิชาการบ้าง หนูเป็นเด็กนาฏศิลป์ด้วยก็จะมีการแสดงต่างๆ เช่น รำดาบ รำมโนราห์ ฯลฯ ด้วยค่ะ
หนูชอบทำกิจกรรมเพราะคุณแม่จะสอนให้เรากล้าตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ซึ่งการทำกิจกรรมก็ถือว่าเป็นการช่วยให้เรากล้าแสดงออกด้วย เพราะคนในโรงเรียนก็มีหลายพันคนอยู่แล้ว ถ้าเรากล้าในโรงเรียนเราก็จะกล้าที่อื่นด้วย มันเลยเป็นส่วนช่วยเสริมประสบการณ์ตรงนี้ได้ด้วยค่ะ
อนาคตใฝ่ฝันอยากจะเรียนนิเทศศาสตร์หรือไม่ก็ทันตแพทย์
แนะคนที่มีความฝัน ทำตามฝันได้ แต่ต้องไม่ทิ้งการเรียน
อนาคตหนูก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่าอยากเรียนนิเทศศาสตร์แต่หนูก็กำลังสับสนอยู่ว่าจะเรียนทันตแพทย์ดีไหม ก็ต้องลองเรียน ม.ปลายดูก่อน น่าจะรู้ตัวเองมากขึ้น ถึงวันนั้นก็ค่อยปรึกษาและคุยกับคุณพ่อคุณแม่อีกที แต่จริงๆ คุณพ่อคุณแม่เขาก็ไม่ได้บังคับนะคะ เขาก็ให้อิสระกับหนูพอสมควร เราอยากทำอะไรเขาก็จะให้ทำ คุณพ่อคุณแม่จะบอกเสมอค่ะว่าจะเก่งอะไรยังไงก็แล้วแต่ แค่เราเรียนให้ได้ก็พอแล้ว ให้เรามีความสุข ไม่ต้องมาวิชาการจ๋า เพราะบางคนคะยั้นคะยออยากให้ลูกเป็นแพทย์ เป็นอะไร แต่สำหรับคุณพ่อคุณแม่บอกว่าไม่จำเป็นเลยค่ะ แต่เราก็ต้องแยกแยะให้ได้ด้วยว่าอันนี้เวลาเรียนนะ อันนี้เวลาทำกิจกรรมนะ เต็มที่กับการเรียนเสร็จ เราถึงจะมาทำกิจกรรม ทำในสิ่งที่ชอบต่อ ประมาณนี้ค่ะ
หนูอยากฝากบอกน้องๆ หรือเพื่อนๆ ว่าอยากทำอะไรก็ขอให้ทำในสิ่งตัวเองรัก แต่ต้องไม่ทิ้งการเรียนด้วย เพราะสุดท้ายแล้วยังไงการเรียนก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้อนาคตเราไปได้ไกล ส่วนเรื่องความชอบบางคนอาจจะชอบเตะบอล ชอบวาดรูป ชอบร้องเพลง หรือจะชอบอะไรก็แล้วแต่ ก็ขอให้เป็นเรื่องรอง ให้พยายามแบ่งเวลาทำควบคู่กันไป เพื่อจะได้ทำออกมาให้ดีทั้งคู่ค่ะ
Profile
ชื่อ สกุล : ณัฐทิชา จันทรวารีเลขา
ชื่อเล่น : ฟ้อนด์
วันเกิด : วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2545
อายุ : 15 ปี
การศึกษา : กำลังจะขึ้นระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหัวหินวิทยาลัย
อาหารที่ชอบ : อาหารเผ็ดๆ ต้มยำ ส้มตำ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ กะเพราหมูกรอบ ซูชิ สปาเกตตี ข้าวหน้าเป็ด
ไอดอล : ฟรัง นรีกุล ชอบมีคนมาทักเสมอๆ ว่าหน้าคล้าย อีกอย่างพี่เขาน่ารัก แถมยังขยัน มีความคิดที่ดี และเรียนเก่งอีกด้วย คุณแม่เลยชอบบอกว่า “ทำให้ได้แบบพี่เขานะ หม่าม๊าจะภูมิใจมากๆ”
งานอดิเรก : ร้องเพลง เต้น ดูหนัง บางทีก็ชอบนั่งพากย์การ์ตูนเล่นๆ ที่บ้าน
ผลงาน : ละครบุพเพสันนิวาส, ซีรีส์ kiss me again ค่าย gmm, โฆษณา McDonald’s, โฆษณา True, โฆษณา Honda, โฆษณา Sharp Air, ชนะเลิศโครงการ McDonald’s Champions Of play 2012.
คติประจำใจ : “ถ้าเราฝันได้ เราก็ทำได้”
3 สิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิต :
1. เสียงดนตรี เพราะในทุกๆ วันจะต้องร้องเพลงหรือไม่ก็เต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกไม่สบายใจค่ะ
2. อาหารเผ็ดๆ เพราะถ้าบนโลกนี้ไม่มีอาหารเผ็ดคงไม่มีความสุขกับการกิน อยู่ไม่ได้และคงผอมเป็นกุ้งแห้งไปแล้วแน่ๆ
3. ครีมกันแดด ไปไหนก็ต้องพกติดตัวไปด้วยทุกที่ เพราะเป็นคนผิวดำง่ายมาก และก็กลับไปขาวยากด้วยเช่นกันค่ะ
เรื่อง : วรัญญา งามขำ, พุทธิตา ลามคำ
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช, อินสตาแกรม @fondnattichaa และอินสตาแกรม @fondnatticha_family