หากพูดถึงเธอคนนี้แล้ว มุมหนึ่ง…เธอคืออดีตนักร้องลูกทุ่งค่ายอาร์สยาม เจ้าของซิงเกิลเพลง “สวยไม่สุดแต่บุรุษไม่ขาด” ที่มียอดเข้าชมเป็นหลักล้าน ส่วนอีกมุมหนึ่งที่นอกจากการเป็นนักร้องนั้น เธอยังเป็นลูกสาวของหมอแสง หรือ แสงชัย แหเลิศตระกูล หมอพื้นบ้าน ผู้ผลิตสมุนไพรเพื่อผู้ป่วยมะเร็งที่ล่าสุดมีคนเข้าคิวรอรับยาเป็นหลักหมื่น
ตาลใจ-กชกร แหเลิศตระกูล
ลูกสาวคนเล็กวัย 22 ปี ของ “หมอแสง” ที่อดีตเคยถูกตรวจพบจุดในสมองจนถึงขั้นที่หมอวินิจฉัยว่าหากมีขนาดใหญ่ขึ้นต้องเข้ารับการผ่าตัด สิ่งนี้เองที่เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจที่ทำให้ “หมอแสง” ลุกขึ้นมาผลิตยาสมุนไพรเพื่อนำมาใช้กับอาการป่วยของลูกสาว และกลายเป็นสมุนไพรที่นำมาใช้แจกจ่ายให้แก่ผู้ป่วยมะเร็งเฉกเช่นทุกวันนี้
ด้วยผลผลิตแห่งความดีงามที่ถูกส่งต่อจากพ่อมาสู่ลูก ทำให้ ณ วันนี้ “ตาลใจ” ได้เข้าไปมีส่วนร่วมช่วยคุณพ่อจัดคิวดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ามารับยาทุกวันเสาร์และอาทิตย์ต้นเดือนเป็นประจำ ตลอดจนยังเป็นผู้ถ่ายทอดบทเพลงเพื่อสร้างกำลังใจให้แก่ผู้ป่วยด้วยอีกแรง การเป็นจิตอาสาร่วมกันกับพ่อ ส่งผลให้เธอได้รับประกาศเกียรติคุณรางวัล “นาคราชทอง” ในโครงการทำความดี แทนคุณแผ่นดิน ประจำปี พ.ศ. 2561 และรางวัล“ลูกกตัญญู Best of Picty” จากเดลิมิเร่อร์ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมาอีกด้วย
• เพราะมีความฝันอยากเป็นนักร้อง ตาลใจ อาร์สยาม…กับผลงานซิงเกิลแรก “สวยไม่สุดแต่บุรุษไม่ขาด”
หนูมีความฝันอยากจะเป็นนักร้อง และพิธีกร เพราะหนูชอบพูดค่ะ แต่พอได้มาเป็นนักร้องจริงๆ เราได้เอนเตอร์เทนคนดูเวลาอยู่บนเวทีด้วยก็รู้สึกสนุกดีค่ะ
หนูมาเป็นนักร้องเพราะตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยปี 1 หนูได้เข้าไปในโครงการ RS ATP โครงการที่ทางอาร์เอสจัดขึ้นมาเพื่อเฟ้นหาเด็กที่มีความสามารถสำหรับใครที่ชอบร้องเพลง ชอบเต้น หรืออยากเป็นพิธีกร เป็นนักแสดง ซึ่งหนูก็ได้เรียนไปด้วย แล้วก็เทสต์ไปด้วย เดือนต่อเดือน พอเดือนสุดท้ายเขาจะให้เทสต์ต่อหน้าผู้บริหาร โดยผู้บริหารจะเป็นคนเลือกเรา ทางค่ายอาร์สยามก็เป็นคนเลือกหนูค่ะ พอได้เข้าไปก็ได้ฝึกอยู่นานพอสมควร จนได้ออกมาเป็นซิงเกิลแรกชื่อเพลงว่า “สวยไม่สุดแต่บุรุษไม่ขาด”
• อีกมุมหนึ่งนอกจากเป็นนักร้องแล้ว ยังเป็นลูกสาว ‘หมอแสง’ ผู้ผลิตสมุนไพรเพื่อผู้ป่วยมะเร็งด้วย เหตุนี้เองจึงนำไปสู่การทำเพลงให้กำลังใจผู้ป่วยตามมา
ตอนนี้ตาลใจออกจากค่ายเพลงมาเป็นนักร้องอิสระแล้วนะคะ เพราะช่วงนี้จะเน้นไปทางเรื่องเรียนและช่วยคุณพ่อเป็นหลักด้วยค่ะ แต่เราก็ยังชอบร้องเพลงอยู่
ด้วยความที่เราชอบร้องเพลง เราเลยอยากทำเพลงให้กำลังใจผู้ป่วย อย่างก่อนหน้านี้หนูจะมีเพลง “แสงแห่งความหวัง” เพลงนั้นคุณอาที่รู้จักกันเป็นคนแต่งให้ อารมณ์เพลงจะเป็นประมาณว่าถ้าคุณมีลมหายใจ คุณก็จะยังมีหวัง อะไรทำนองนี้ค่ะ
ส่วนเร็วๆ นี้ก็จะมีเพลงที่เกี่ยวกับการทำงานของคุณพ่อ เพลงนี้จะมีอาจารย์แต่งให้ ท่านกำลังดำเนินเรื่องให้อยู่ จะลงในช่องของคุณพ่อเลย เพราะเราอยากทำเพลงเพื่อเปิดให้ผู้ป่วยที่เขามาที่บ้านได้ฟัง เนื่องจากคนที่มาแต่ละคน เขาหมดหวังแล้วทั้งนั้น แล้วเขาเห็นเราเป็นที่พึ่งสุดท้าย เราก็เลยอยากจะให้กำลังใจเขา เพราะแน่นอนว่าผู้ป่วยเขาเครียด กำลังใจจึงเป็นสิ่งที่ดีที่เขาต้องการที่สุด ซึ่งเพลงก็อาจจะไปเพิ่มกำลังใจให้เขาได้อีกทางหนึ่งค่ะ
• ในฐานะลูกสาวหมอแสงและคลุกคลีอยู่กับสิ่งที่พ่อทำมาตลอดระยะเวลา 10 กว่าปี ตรงนี้ขอย้อนถามถึงเรื่องราวความเป็นมาของคุณพ่อหน่อยค่ะ
สิ่งที่พ่อทำมาเข้าปีที่ 12 แล้วค่ะ หนูคลุกคลีอยู่กับการที่พ่อทำเพื่อผู้ป่วยมะเร็งแบบนี้มาตั้งแต่อายุ 10 กว่าขวบได้ค่ะ
แรงบันดาลใจของคุณพ่อส่วนหนึ่งเริ่มมาจากตอนเด็กๆ หนูป่วย อาเจียนและเวียนหัวร่วมด้วย เลยไปโรงพยาบาล คุณหมอก็เลยส่งไปเอกซเรย์ทั้งตัว ปรากฏว่าเจอจุดในสมอง คุณหมอบอกว่าถ้าจุดมีขนาดใหญ่ขึ้น เราต้องผ่าตัดออก แต่คุณพ่อคุณแม่เขาบอกว่ากลัวเรื่องการผ่าตัด ยิ่งตรงที่สมองเป็นส่วนที่สำคัญด้วย เขาเลยไม่อยากให้ทำ
พอทราบว่าเราเป็นอะไร คุณพ่อก็หาทุกวิธีเลยค่ะ ทั้งพาไปรดน้ำมนต์ พระวัดไหนที่ว่าดีก็พาไปกราบไหว้หมดเลย จนมีอยู่วันหนึ่งคุณพ่อผสมสูตรสมุนไพรขึ้นมา ซึ่งเป็นสมุนไพรที่มีส่วนผสมหลักคือ “รำข้าว” ที่หมูกิน พ่อบอกว่าหมูกินได้ กินแล้วมันยังอ้วนเลย คนก็ต้องกินได้ กินแล้วก็ต้องมีแรง แข็งแรง อ้วนได้เหมือนกันกับหมูสิ อะไรทำนองนี้ค่ะ
จริงๆ ส่วนตัวคุณพ่อเขาเป็นคนที่ชอบผสมสมุนไพรหมักไว้อยู่แล้ว ก่อนหน้าที่จะนำมาให้หนูกิน เขาก็นำไปทดลองกับสุนัขที่ป่วยเป็นมะเร็งอวัยวะเพศด้วย เพราะสัตวแพทย์บอกว่าต้องไปถ่ายเลือดนะถึงจะรอด คุณพ่อก็เลยเอาสมุนไพรคลุกกับปลาหมึกให้สุนัขกินทุกวันเป็นประจำ ตื่นเช้ามามันก็เป็นปกติ พอสุนัขอาการดีขึ้น เขาก็เลยนำมาใช้กับเรา หนูกินมาเรื่อยๆ มาตลอด พอกินสมุนไพรของคุณพ่อ หนูก็ไม่ได้คิดจะไปตรวจอีกเลย เพราะว่าเราไม่ได้มีอาการปวดหัวและอาเจียนอีกแล้ว อาการแย่ๆ มันหายไป รู้สึกดีขึ้น อีกอย่างจุดก็ไม่ได้โตขึ้น เราก็เลยไม่ได้ไปหาหมออีกเลยค่ะ
ตอนนี้หนูก็ยังกินสมุนไพรของคุณพ่ออยู่นะคะ แต่ก็ไม่ได้กินเยอะอะไรขนาดนั้นแล้ว จะทานสัปดาห์ละ 1 เม็ด หรือถ้าวันไหนไม่มีให้กินก็จะไม่กิน แต่ส่วนมากช่วงหลังๆ จะไม่ค่อยได้กินเท่าไหร่ค่ะ เพราะยาไม่พอ เราต้องแจกคนอื่นให้ครบก่อน
ช่วงแรกๆ คุณพ่อจะทำคนเดียวทั้งหมดเลยนะคะ เพราะพูดตามตรงมันไม่ค่อยมีคนอยากกินเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะว่า 1. คือยาอะไรก็ไม่รู้ 2. คุณเป็นใครก็ไม่รู้ คือคนส่วนใหญ่เขาจะมองอย่างนั้น อีกอย่างคุณพ่อเขาจะดูนักเลง คนเขาก็ไม่ค่อยกล้ากินหรอก เพราะเขาไม่ค่อยเชื่อถือ แต่คุณพ่อจะเป็นคนที่เวลาทำอะไรเขาจะมุ่งมั่นมาก
• แบบนี้พอหมอแสงตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะทำแล้ว มีปัญหาอะไรตามมาบ้างไหมคะ
เคยมีช่วงที่เราแจกไปสักพักหนึ่ง แล้วก็มีปัญหาในเรื่องที่ว่าคุณพ่อไม่ได้เป็นหมอ แจกไม่ได้นะ และเราเก็บเอกสารของคนป่วย ซึ่งมันผิดกฎหมาย ช่วงนั้นปัญหาเข้ามาเยอะมากในบ้าน มีคนจะมาจับเรา บอกว่าเราผิด ซึ่งทุกคนอยากให้คุณพ่อเลิกทำ เพราะทำไปก็ไม่ได้มีความสุข
อีกอย่างที่บ้านหนู คุณแม่รับราชการ คุณพ่อทำงานรัฐวิสาหกิจ คุณแม่ก็กลัวว่าจะกระทบต่อหน้าที่การงาน ถ้าเลิกทำไปได้มันก็ดี จะได้ไม่ต้องลำบากใจไปถึงลูกๆ ด้วย ทำให้มีครั้งหนึ่งคุณพ่อตัดสินใจว่าจะเลิกแจก โดยให้เหตุผลไปว่า “ผมไม่ได้เป็นหมอ ผมแจกแล้วผิดกฎหมาย” แต่ก็มีคนป่วยที่กินแล้วดี เขามากราบคุณพ่อเลยนะคะว่าให้ทำยังไงก็ได้ เขาจะไม่กลับ จะอยู่กินยาให้ได้ คุณพ่อก็บอกไปว่า “ถ้าอยากกินยาก็ให้ไปแจ้งความเอาว่าจะไม่เอาผิดผม” ตรงนี้ก็เลยเริ่มมีคนไปแจ้งความว่าจะไม่เอาผิดคุณพ่อค่ะ
ช่วงนั้นมีปัญหาเยอะมากค่ะ เยอะจนเราเครียดกันหมดทั้งบ้าน มันเหมือนการบริจาคของอย่างหนึ่ง แต่ทำไมมันมีแต่เรื่อง เราก็แจกฟรี หนูเลยบอกคุณพ่อว่าถ้ามันไม่ไหวหรือมันกระทบจิตใจเรา กระทบจิตใจคนในครอบครัว เราหยุดดีไหม แต่คุณพ่อเขาก็ยังยืนยันว่าเขาไม่หยุดค่ะ
• วันนั้นที่หมอแสงเลือกที่จะไม่หยุดทำ แบบนี้ครอบครัวทำอย่างไรต่อไปคะ
ระยะหลังๆ เราก็เลยบอกคุณพ่อว่าอยากทำอะไรก็ทำเลย เอาเลย เราจะคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง เรา 4 คนในครอบครัวก็เลยมาช่วยกันทำค่ะ
ตอนนี้ทางครอบครัวก็สนับสนุนให้คุณพ่อทำต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเขาเหนื่อยเมื่อไหร่เราก็อยากให้เขาพัก คุณพ่อเคยบอกว่าถ้าเกิดมีกระแสลบมากๆ ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้หยุดทำไปเลย คือก็ประมาณน้อยใจว่าจะอะไรกับเขานักหนา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำให้มันถูกต้องนะ เพราะเขาก็ให้เอาไปตรวจ ให้เอาไปทำทุกอย่างหมดแล้ว ตอนนี้คนจะมองแต่ว่าเราไม่เห็นทำอะไรสักอย่าง ได้แต่พูด แต่จริงๆ แล้ว เราให้ไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่รอกระบวนการและระยะเวลาเท่านั้นเองค่ะ
• ตอนนี้คนในครอบครัวหันมาช่วยกันแล้ว แบ่งหน้าที่กันยังไง?
กำหนดการในการแจกสมุนไพรของเรา เราจะแจกอาทิตย์แรกของเดือน โดยเราจะแบ่งการรับยาออกเป็น 4 รอบ รอบแรกจะเป็นผู้ป่วยเก่าที่มารับยาด้วยตัวเอง รอบสอง เป็นผู้ป่วยเก่าที่ให้คนอื่นมารับแทน รอบสามจะเป็นผู้ป่วยใหม่มารับยาด้วยตัวเอง และรอบสี่ จะเป็นผู้ป่วยใหม่ที่ให้คนอื่นมารับแทน
หน้าที่ของเราจะแบ่งกัน โดยคุณพ่อนอกจากจะผลิตสมุนไพรแล้ว เขาก็จะเป็นคนมาแจกเองด้วยตั้งแต่ 4 โมงเย็นของวันเสาร์ ไปจนถึง 10 โมงเช้าของวันอาทิตย์ด้วย
ส่วนคุณแม่ก็จะคอยคุมทุกอย่างทั้งในเรื่องยา คอยเช็กว่าเดือนนี้ยาพอไหม เพราะว่าบางทีเราได้แต่ทำ แต่เราก็ไม่ได้นับกันหรอก แม่ก็จะมาคอยนับ คอยดูถุง เขากลัวว่าถุงจะไม่แน่น แต่วันแจกแม่จะดูแลอยู่บนบ้านค่ะ
ส่วนหนูนอกเหนือไปจากการทำเพลงให้กำลังใจผู้ป่วยแล้ว หนูก็มีส่วนช่วยคุณพ่อทำตั้งแต่เรื่องกระบวนการการทำยา ช่วยดูสัดส่วนยา บรรจุ แล้วก็ช่วยดูที่บ้าน ทั้งเรื่องคิว เรื่องแถว ต้องไปจัดการ เพราะในบ้านเราก็มีกันแค่ 4 คน พ่อ แม่ พี่สาว แล้วก็เรา ก็ต้องช่วยกันบริหาร ต้องคอยประสานกัน ต้องคุยไลน์กันตลอดว่าเดือนนี้เราเจอปัญหาอะไรบ้าง พยายามปรับเพื่อให้คนไม่ต้องรอนาน
ในส่วนทีมจิตอาสา เราจะใช้คนเยอะมากไม่ได้ เพราะว่าสิ่งที่เราทำอยู่บนความไว้ใจ เราจะต้องเลือกคนที่เขาไม่คิดร้าย หรือไม่ได้เอายาไปทำไม่ดีด้วย จิตอาสาของเราแต่ละคนที่มาช่วย เขาไม่เคยได้เงินเลยนะคะ เขามาด้วยใจล้วนๆ ส่วนใหญ่คนที่มาช่วยจะเป็นพวกพี่ๆ ที่บางคนเขาทำงานประจำอยู่ด้วย เลิกงานเขาก็จะมาช่วยทำอีกแรงค่ะ
ตอนนี้เรามีจิตอาสาทั้งหมด 200 กว่าคน ซึ่งวันแจกเราต้องเตรียมทุกอย่างไว้หมดเลย ทั้งเรื่องยา เรื่องอำนวยความสะดวก เรื่องปฐมพยาบาลต่างๆ ก็จะมีทำแอมโมเนีย ทำยาหม่อง ฯลฯ หรือตรงคอมพิวเตอร์ตอนนี้ก็มี 20 เครื่อง จิตอาสา 20 คน แล้วก็จะมีเปลี่ยนอีก 10 คน ต้องทำตลอด ห้ามให้คนป่วยยืนรอ ซึ่งจิตอาสาทุกคนไม่มีใครได้นอนกันเลย ตั้งแต่วันศุกร์ เพราะวันศุกร์คนจะเริ่มมากันแล้วค่ะ อย่างตอนแจกจะมีพักเบรกกันแค่ 10 นาทีเพื่อกินข้าว กินน้ำเท่านั้นเองค่ะ
• จากที่ได้เข้าไปช่วยคุณพ่อ เราได้เห็นหรือได้สัมผัสอะไรบ้างคะ
ส่วนตัวแล้วคุณพ่อจะสอนอยู่เสมอว่าให้เรารู้จักให้นะ ต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดินบ้างนะ เขาก็พูดแบบนี้ตลอด สิ่งนี้เลยทำให้หนูเห็นคุณค่าของชีวิตคนมากขึ้น และเราก็ได้รู้ว่าสุดท้ายแล้วการไม่มีโรคเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
พูดตามตรงนะว่าหนูอยากให้ทุกคนมาเห็นภาพผู้ป่วยที่เขามารับยาจากมือเรา เพราะผู้ป่วยแต่ละคน พอเขารับยาไปแล้ว เขากำยาแน่นมากเลยนะคะ เพราะส่วนใหญ่คนที่มาคือก็หมดหวังแล้ว เป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว เราก็เหมือนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งแค่นั้นเองค่ะ มีบางคนเขาเข้ามากอดเรา บอกว่าเราทำให้เขาเหมือนมีชีวิตใหม่ มันเป็นภาพที่ติดตาและซาบซึ้งใจสำหรับหนูมากๆ
• ช่วยยกตัวอย่างเคสที่เดินทางมารับยาที่เราประทับใจให้ฟังหน่อยค่ะ
ยกตัวอย่างเคสหนึ่งที่หนูรู้สึกประทับใจเขามาก เขาเป็นชาวไทยใหญ่ พูดกะเหรี่ยง เขาจะมาตั้งแต่วันที่ 20 เลยเพราะว่าไม่ได้มีเงิน เลยต้องโบกรถมาเรื่อยๆ พอถึงวันรับยา เขาถามว่าขอยาเพิ่มได้ไหม ยาไม่พอ แต่เขาบอกว่าเขาไม่มีอะไรมาให้เลยนะ ครั้งแรกระหว่างนั่งรถมา เขาถักหมวกมาให้คุณพ่อ ทุกวันนี้ก็ยังมาทุกเดือน หลังๆ จะเอาผักมาให้ แต่ด้วยความที่ใช้เวลาเดินทางมาหลายวัน ผักด้านล่างมันก็เละหมดแล้ว แต่เราเห็นน้ำใจเขา
หรืออย่างเช่น ยายคนหนึ่งเขาก็บอกเขาไม่มีอะไรให้นะ เขาก็เลยเอาสายสิญจน์มาผูกข้อมือให้ก็มีค่ะ
อีกส่วนหนึ่งหนูได้เห็นว่ามากกว่า ‘ยา’ มันคือ ‘กำลังใจ’ เพราะบางทีคนที่มารับยาเป็นลูกที่ไม่เคยเจอหน้าพ่อแม่เลย ประมาณว่า ลูกอยู่กรุงเทพฯ แต่พ่อแม่อยู่อีสาน ลูกมาเอายา กลับไปหาพ่อแม่ พ่อแม่ดีใจกว่าได้ยาซะอีก เพราะได้เจอหน้าลูก คือมันเป็นกำลังใจ บางทีไม่เคยเจอหน้ากันหรือเราไม่เคยแสดงความรักอะไรต่อกันเลย อันนี้ก็เหมือนเป็นตัวแสดงความรักได้อีกทางหนึ่ง เพราะกว่าคุณจะได้ยา นี่คุณสุดยอดมากเลยนะ
• ในมุมกลับกัน ต้องพูดตามตรงว่าหลายคนก็มองว่าสิ่งที่หมอแสงทำไม่น่าเชื่อถือ! เหมือนกัน
เราไปห้ามให้ใครคิดยังไงไม่ได้หรอกค่ะ พ่อหนูเขาก็บอกตลอดนะว่าเขาไม่ได้บังคับใคร ใครมาขอเขาก็ให้ ปันน้ำใจให้ แล้วเขาก็ไม่เคยบอกว่าให้ออกมารักษากับเขา เขามีแต่บอกว่าให้ไปรักษากับแพทย์มาก่อน ถ้าเกิดแพทย์ไม่ไหวแล้ว หรือไม่มีเงิน ค่อยมาหาเขา หรือจะควบคู่กันไปก็ได้ ไม่ได้ว่าอะไร สุดท้ายจะดีหรือจะไม่ดีก็ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ดีกว่า เพราะเราก็บริสุทธิ์ใจทุกอย่าง เขาจะพูดแบบนี้ตลอด
เอาจริงๆ หนูก็ไม่รู้หรอกว่ายามันดีไหม แต่คนกินแล้วหายก็มี คนที่กินแล้วค่ามะเร็งลดลงก็มี คืออย่างที่บอกมันมีแต่สมุนไพรพื้นๆ จะมีแต่สมุนไพรทั้งนั้น ซึ่งเราก็มีข้อมูลเก็บไว้หมดเลยนะคะ ตอนนี้ก็ได้เกือบ 400-500 คนแล้วที่เขากินแล้วค่าเลือด ค่ามะเร็งลดลง บางคนก็ใช้ชีวิตปกติจากแต่ก่อนที่ต้องนอนติดเตียงก็มี
• คิดยังไงกับสิ่งที่คุณพ่อทำเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งมาตลอดระยะเวลาหลายปีบ้างคะ
หนูเคยสงสัยนะคะ อย่างค่าใช้จ่ายเขาก็ออกเองทั้งหมดเลย ก็จะมีเพื่อนคุณพ่อที่ช่วยสม่ำเสมอบ้าง เพราะบางคนกินแล้วดีขึ้น เขาก็อยากจะช่วย เนื่องจากมันมีกระถินพิมานที่จะราคาแพง แต่ตัวอื่นก็เป็นอะไรที่หาได้ค่ะ แต่ส่วนใหญ่คุณพ่อเขาจะไม่รับเงิน ถ้าจะให้เงิน เขาจะให้ไปบริจาคที่วัดแทน เพราะตอนนี้วัดก็เปิดเป็นที่พักให้นอนด้วยค่ะ
เพื่อนหนูก็ชอบถามเหมือนกันนะคะว่า “พ่อทำไปได้อะไร” “พ่อได้เก็บค่ารักษาไหม” “ได้เก็บค่ายาไหม” หนูก็บอกว่าไม่ได้เก็บหรอก คือคุณพ่อเขาอยากให้มองในมุมผู้ป่วยเป็นหลัก หนูมองว่าคุณพ่อเขาเป็นผู้ให้จริงๆ เขาบอกว่าเขาอยากช่วยคนป่วยไม่มีทางเลือก บางคนเขาไม่มีหนทาง แต่จะให้นอนหมดหวังอยู่บ้าน เหมือนนอนรอความตายมันก็ไม่ใช่ คนเรามีค่ามากกว่านั้น เพราะเวลาที่พ่อได้เห็นคนที่หมดหนทาง ยิ้มได้ มันคือที่สุดของเขาแล้วค่ะ
• แล้วเคยถามคุณพ่อไหมว่าสิ่งที่ทำไปได้อะไร
“ได้ใจคน” เขาจะบอกแบบนี้เสมอ ซึ่งหนูนับถือตรงที่เขาเป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจแบบนี้นะคะ คนอะไรโคตรใจนักเลงเลย ให้คนเป็นหมื่นๆ คนเข้ามาในบ้าน ซึ่งจริงๆ บ้านเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะให้คนแปลกหน้าเข้ามาด้วยซ้ำ แต่หนูงงว่าทำไมคุณพ่อเขาเป็นคนที่ใจกล้าขนาดนี้
แรกๆ ที่พ่อทำ คนมาไม่เยอะมากนะคะจะมีแค่ 20 คน หลังๆ ก็เริ่มขยับมาเป็นร้อย เป็นพัน จนเป็นหมื่นๆ อย่างล่าสุดก็มีคนมารับยาประมาณ 30,000 คนได้ค่ะ
จะว่าไปแล้วพ่อเปลี่ยนไปมากตั้งแต่เริ่มแจกยาให้กับคนเยอะขึ้น แต่ก่อนเขาก็เป็นคนตั้งใจอยู่แล้ว เขาไม่ค่อยท้อแท้กับอะไรง่ายๆ เขาสู้มาก ซึ่งถ้าหนูเป็นเขาแล้วต้องมารับกับกระแสลบอะไรอย่างนี้ หนูคงไม่ทำหรอก เพราะเราก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว เงินก็ไม่ได้
อีกอย่างเขาก็ทำงานหนักอยู่แล้ว กลับมาเขาก็ต้องมาทำสมุนไพรต่อ อย่างช่วงก่อนจะถึงวันแจกยา บางคืนหนูเห็นคุณพ่อไปหลับในห้องยาจนเราต้องไปตามเลยก็มี หรืออย่างบางทีตีหนึ่งตีสองหายไปไหนก็ไม่รู้ สรุปว่าไปหลับอยู่ในห้องยา ตอนนี้เขาอยู่ในห้องยาเยอะกว่าอยู่บ้านอีก ซึ่งพ่อเขาก็จะไม่ห่วงสุขภาพตัวเองเท่าไหร่ เดือนที่ผ่านมาตอนแจกก็มีจะวูบ แจกไม่ไหวเหมือนกันค่ะ ก็เลยต้องให้เพื่อนคุณพ่อมานั่งแจกแทน หนูรู้นะว่าพ่อเหนื่อย เพราะอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว บางทีหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ แต่เขาก็ยังจะฝืนตัวเอง เพียงเพราะไม่อยากให้คนรอ ห่วงคนอื่นแต่กลับไม่ค่อยห่วงตัวเอง
หนูยอมรับว่าเคยน้อยใจพ่อนะคะ อย่างแต่ก่อนเขาจะโทร.หาหนูเกือบทุกวันเลยเพราะหนูมาเรียนอยู่กรุงเทพฯ แต่พอเขาเริ่มทำยาเยอะขึ้น เราก็ไม่ได้คุยกันเลย กลับไปบ้านทีหนึ่งถึงได้คุยกัน แล้วพ่อก็ไม่ค่อยว่างด้วย ต้องเดินทางไปที่นั่นที่นี่ตลอด แต่พอทุกวันนี้ได้กลับไปช่วยงานเขา เราก็เข้าใจพ่อมากขึ้น
• ณ วันนี้เห็นว่าหมอแสงถูกรับรองว่าเป็นหมอพื้นบ้านแล้วใช่ไหมคะ ตรงนี้คิดว่าพอจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ไหมคะว่าสิ่งที่ทำมาไม่สูญเปล่า
ใช่ค่ะ แต่ว่ารับรองกับไม่รับรองก็ไม่ได้ต่างกันเลยนะคะ เพราะในใบรับรองก็จะมีเขียนระบุไว้ว่า ห้ามเชิงพาณิชย์ ห้ามขาย ห้ามแจกนอกสถานที่ แต่จริงๆ พ่อเคยคิดว่าอยากไปแจกทุกภาคเลยนะคะ คนจะได้ไม่ต้องเดินทางมาให้ลำบาก เพราะคนเดินทางไกล บางคนมาจากภาคเหนือ ภาคใต้กว่าจะมาถึง ต้องเดินทางมาก่อนตั้งหลายวัน แต่ว่ามันก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากว่ามันมีกฎข้อบังคับอยู่ เดี๋ยวผิดกฎหมาย แต่การที่ได้รับรองว่าเป็นหมอพื้นบ้านก็มีส่วนที่จะทำให้คนกินเชื่อมั่นขึ้นมาว่าเขาได้กินยาของหมอพื้นบ้านนะ เขาไม่ได้กินกันสุ่มสี่สุ่มห้านะ อะไรทำนองนี้ค่ะ
• ท้ายนี้เราอยากสานฝันในสิ่งที่คุณพ่อทำต่อหรือเปล่า
จริงๆ คุณพ่อไม่ได้บังคับนะคะ แต่หนูเคยบอกว่าถ้าหมดพ่อไป หนูไม่ทำนะ เพราะหนูไม่ใช่คนใจกล้าที่จะเอาคนเป็นหมื่นๆ เข้ามาในบ้านได้ขนาดนั้น หนูบอกเลยว่าหนูรับแรงกดดันขนาดนี้ไม่ไหวหรอก เพราะว่าเราเป็นผู้หญิงด้วย หนูขอไปในสายงานที่หนูเรียนมา ที่หนูอยากทำดีกว่า แต่ทุกวันนี้พ่อยังอยู่ แน่นอนว่าหนูก็จะช่วยเหลือเขาเต็มที่ สนับสนุนเขาให้เต็มที่ค่ะ
เรื่อง : วรัญญา งามขำ, พุทธิตา ลามคำ
ภาพ : กัมพล เสนสอน และอินสตาแกรม @tarnjai_
ตาลใจ-กชกร แหเลิศตระกูล
ลูกสาวคนเล็กวัย 22 ปี ของ “หมอแสง” ที่อดีตเคยถูกตรวจพบจุดในสมองจนถึงขั้นที่หมอวินิจฉัยว่าหากมีขนาดใหญ่ขึ้นต้องเข้ารับการผ่าตัด สิ่งนี้เองที่เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจที่ทำให้ “หมอแสง” ลุกขึ้นมาผลิตยาสมุนไพรเพื่อนำมาใช้กับอาการป่วยของลูกสาว และกลายเป็นสมุนไพรที่นำมาใช้แจกจ่ายให้แก่ผู้ป่วยมะเร็งเฉกเช่นทุกวันนี้
ด้วยผลผลิตแห่งความดีงามที่ถูกส่งต่อจากพ่อมาสู่ลูก ทำให้ ณ วันนี้ “ตาลใจ” ได้เข้าไปมีส่วนร่วมช่วยคุณพ่อจัดคิวดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ามารับยาทุกวันเสาร์และอาทิตย์ต้นเดือนเป็นประจำ ตลอดจนยังเป็นผู้ถ่ายทอดบทเพลงเพื่อสร้างกำลังใจให้แก่ผู้ป่วยด้วยอีกแรง การเป็นจิตอาสาร่วมกันกับพ่อ ส่งผลให้เธอได้รับประกาศเกียรติคุณรางวัล “นาคราชทอง” ในโครงการทำความดี แทนคุณแผ่นดิน ประจำปี พ.ศ. 2561 และรางวัล“ลูกกตัญญู Best of Picty” จากเดลิมิเร่อร์ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมาอีกด้วย
• เพราะมีความฝันอยากเป็นนักร้อง ตาลใจ อาร์สยาม…กับผลงานซิงเกิลแรก “สวยไม่สุดแต่บุรุษไม่ขาด”
หนูมีความฝันอยากจะเป็นนักร้อง และพิธีกร เพราะหนูชอบพูดค่ะ แต่พอได้มาเป็นนักร้องจริงๆ เราได้เอนเตอร์เทนคนดูเวลาอยู่บนเวทีด้วยก็รู้สึกสนุกดีค่ะ
หนูมาเป็นนักร้องเพราะตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยปี 1 หนูได้เข้าไปในโครงการ RS ATP โครงการที่ทางอาร์เอสจัดขึ้นมาเพื่อเฟ้นหาเด็กที่มีความสามารถสำหรับใครที่ชอบร้องเพลง ชอบเต้น หรืออยากเป็นพิธีกร เป็นนักแสดง ซึ่งหนูก็ได้เรียนไปด้วย แล้วก็เทสต์ไปด้วย เดือนต่อเดือน พอเดือนสุดท้ายเขาจะให้เทสต์ต่อหน้าผู้บริหาร โดยผู้บริหารจะเป็นคนเลือกเรา ทางค่ายอาร์สยามก็เป็นคนเลือกหนูค่ะ พอได้เข้าไปก็ได้ฝึกอยู่นานพอสมควร จนได้ออกมาเป็นซิงเกิลแรกชื่อเพลงว่า “สวยไม่สุดแต่บุรุษไม่ขาด”
• อีกมุมหนึ่งนอกจากเป็นนักร้องแล้ว ยังเป็นลูกสาว ‘หมอแสง’ ผู้ผลิตสมุนไพรเพื่อผู้ป่วยมะเร็งด้วย เหตุนี้เองจึงนำไปสู่การทำเพลงให้กำลังใจผู้ป่วยตามมา
ตอนนี้ตาลใจออกจากค่ายเพลงมาเป็นนักร้องอิสระแล้วนะคะ เพราะช่วงนี้จะเน้นไปทางเรื่องเรียนและช่วยคุณพ่อเป็นหลักด้วยค่ะ แต่เราก็ยังชอบร้องเพลงอยู่
ด้วยความที่เราชอบร้องเพลง เราเลยอยากทำเพลงให้กำลังใจผู้ป่วย อย่างก่อนหน้านี้หนูจะมีเพลง “แสงแห่งความหวัง” เพลงนั้นคุณอาที่รู้จักกันเป็นคนแต่งให้ อารมณ์เพลงจะเป็นประมาณว่าถ้าคุณมีลมหายใจ คุณก็จะยังมีหวัง อะไรทำนองนี้ค่ะ
ส่วนเร็วๆ นี้ก็จะมีเพลงที่เกี่ยวกับการทำงานของคุณพ่อ เพลงนี้จะมีอาจารย์แต่งให้ ท่านกำลังดำเนินเรื่องให้อยู่ จะลงในช่องของคุณพ่อเลย เพราะเราอยากทำเพลงเพื่อเปิดให้ผู้ป่วยที่เขามาที่บ้านได้ฟัง เนื่องจากคนที่มาแต่ละคน เขาหมดหวังแล้วทั้งนั้น แล้วเขาเห็นเราเป็นที่พึ่งสุดท้าย เราก็เลยอยากจะให้กำลังใจเขา เพราะแน่นอนว่าผู้ป่วยเขาเครียด กำลังใจจึงเป็นสิ่งที่ดีที่เขาต้องการที่สุด ซึ่งเพลงก็อาจจะไปเพิ่มกำลังใจให้เขาได้อีกทางหนึ่งค่ะ
• ในฐานะลูกสาวหมอแสงและคลุกคลีอยู่กับสิ่งที่พ่อทำมาตลอดระยะเวลา 10 กว่าปี ตรงนี้ขอย้อนถามถึงเรื่องราวความเป็นมาของคุณพ่อหน่อยค่ะ
สิ่งที่พ่อทำมาเข้าปีที่ 12 แล้วค่ะ หนูคลุกคลีอยู่กับการที่พ่อทำเพื่อผู้ป่วยมะเร็งแบบนี้มาตั้งแต่อายุ 10 กว่าขวบได้ค่ะ
แรงบันดาลใจของคุณพ่อส่วนหนึ่งเริ่มมาจากตอนเด็กๆ หนูป่วย อาเจียนและเวียนหัวร่วมด้วย เลยไปโรงพยาบาล คุณหมอก็เลยส่งไปเอกซเรย์ทั้งตัว ปรากฏว่าเจอจุดในสมอง คุณหมอบอกว่าถ้าจุดมีขนาดใหญ่ขึ้น เราต้องผ่าตัดออก แต่คุณพ่อคุณแม่เขาบอกว่ากลัวเรื่องการผ่าตัด ยิ่งตรงที่สมองเป็นส่วนที่สำคัญด้วย เขาเลยไม่อยากให้ทำ
พอทราบว่าเราเป็นอะไร คุณพ่อก็หาทุกวิธีเลยค่ะ ทั้งพาไปรดน้ำมนต์ พระวัดไหนที่ว่าดีก็พาไปกราบไหว้หมดเลย จนมีอยู่วันหนึ่งคุณพ่อผสมสูตรสมุนไพรขึ้นมา ซึ่งเป็นสมุนไพรที่มีส่วนผสมหลักคือ “รำข้าว” ที่หมูกิน พ่อบอกว่าหมูกินได้ กินแล้วมันยังอ้วนเลย คนก็ต้องกินได้ กินแล้วก็ต้องมีแรง แข็งแรง อ้วนได้เหมือนกันกับหมูสิ อะไรทำนองนี้ค่ะ
จริงๆ ส่วนตัวคุณพ่อเขาเป็นคนที่ชอบผสมสมุนไพรหมักไว้อยู่แล้ว ก่อนหน้าที่จะนำมาให้หนูกิน เขาก็นำไปทดลองกับสุนัขที่ป่วยเป็นมะเร็งอวัยวะเพศด้วย เพราะสัตวแพทย์บอกว่าต้องไปถ่ายเลือดนะถึงจะรอด คุณพ่อก็เลยเอาสมุนไพรคลุกกับปลาหมึกให้สุนัขกินทุกวันเป็นประจำ ตื่นเช้ามามันก็เป็นปกติ พอสุนัขอาการดีขึ้น เขาก็เลยนำมาใช้กับเรา หนูกินมาเรื่อยๆ มาตลอด พอกินสมุนไพรของคุณพ่อ หนูก็ไม่ได้คิดจะไปตรวจอีกเลย เพราะว่าเราไม่ได้มีอาการปวดหัวและอาเจียนอีกแล้ว อาการแย่ๆ มันหายไป รู้สึกดีขึ้น อีกอย่างจุดก็ไม่ได้โตขึ้น เราก็เลยไม่ได้ไปหาหมออีกเลยค่ะ
ตอนนี้หนูก็ยังกินสมุนไพรของคุณพ่ออยู่นะคะ แต่ก็ไม่ได้กินเยอะอะไรขนาดนั้นแล้ว จะทานสัปดาห์ละ 1 เม็ด หรือถ้าวันไหนไม่มีให้กินก็จะไม่กิน แต่ส่วนมากช่วงหลังๆ จะไม่ค่อยได้กินเท่าไหร่ค่ะ เพราะยาไม่พอ เราต้องแจกคนอื่นให้ครบก่อน
ช่วงแรกๆ คุณพ่อจะทำคนเดียวทั้งหมดเลยนะคะ เพราะพูดตามตรงมันไม่ค่อยมีคนอยากกินเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะว่า 1. คือยาอะไรก็ไม่รู้ 2. คุณเป็นใครก็ไม่รู้ คือคนส่วนใหญ่เขาจะมองอย่างนั้น อีกอย่างคุณพ่อเขาจะดูนักเลง คนเขาก็ไม่ค่อยกล้ากินหรอก เพราะเขาไม่ค่อยเชื่อถือ แต่คุณพ่อจะเป็นคนที่เวลาทำอะไรเขาจะมุ่งมั่นมาก
• แบบนี้พอหมอแสงตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะทำแล้ว มีปัญหาอะไรตามมาบ้างไหมคะ
เคยมีช่วงที่เราแจกไปสักพักหนึ่ง แล้วก็มีปัญหาในเรื่องที่ว่าคุณพ่อไม่ได้เป็นหมอ แจกไม่ได้นะ และเราเก็บเอกสารของคนป่วย ซึ่งมันผิดกฎหมาย ช่วงนั้นปัญหาเข้ามาเยอะมากในบ้าน มีคนจะมาจับเรา บอกว่าเราผิด ซึ่งทุกคนอยากให้คุณพ่อเลิกทำ เพราะทำไปก็ไม่ได้มีความสุข
อีกอย่างที่บ้านหนู คุณแม่รับราชการ คุณพ่อทำงานรัฐวิสาหกิจ คุณแม่ก็กลัวว่าจะกระทบต่อหน้าที่การงาน ถ้าเลิกทำไปได้มันก็ดี จะได้ไม่ต้องลำบากใจไปถึงลูกๆ ด้วย ทำให้มีครั้งหนึ่งคุณพ่อตัดสินใจว่าจะเลิกแจก โดยให้เหตุผลไปว่า “ผมไม่ได้เป็นหมอ ผมแจกแล้วผิดกฎหมาย” แต่ก็มีคนป่วยที่กินแล้วดี เขามากราบคุณพ่อเลยนะคะว่าให้ทำยังไงก็ได้ เขาจะไม่กลับ จะอยู่กินยาให้ได้ คุณพ่อก็บอกไปว่า “ถ้าอยากกินยาก็ให้ไปแจ้งความเอาว่าจะไม่เอาผิดผม” ตรงนี้ก็เลยเริ่มมีคนไปแจ้งความว่าจะไม่เอาผิดคุณพ่อค่ะ
ช่วงนั้นมีปัญหาเยอะมากค่ะ เยอะจนเราเครียดกันหมดทั้งบ้าน มันเหมือนการบริจาคของอย่างหนึ่ง แต่ทำไมมันมีแต่เรื่อง เราก็แจกฟรี หนูเลยบอกคุณพ่อว่าถ้ามันไม่ไหวหรือมันกระทบจิตใจเรา กระทบจิตใจคนในครอบครัว เราหยุดดีไหม แต่คุณพ่อเขาก็ยังยืนยันว่าเขาไม่หยุดค่ะ
• วันนั้นที่หมอแสงเลือกที่จะไม่หยุดทำ แบบนี้ครอบครัวทำอย่างไรต่อไปคะ
ระยะหลังๆ เราก็เลยบอกคุณพ่อว่าอยากทำอะไรก็ทำเลย เอาเลย เราจะคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง เรา 4 คนในครอบครัวก็เลยมาช่วยกันทำค่ะ
ตอนนี้ทางครอบครัวก็สนับสนุนให้คุณพ่อทำต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเขาเหนื่อยเมื่อไหร่เราก็อยากให้เขาพัก คุณพ่อเคยบอกว่าถ้าเกิดมีกระแสลบมากๆ ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้หยุดทำไปเลย คือก็ประมาณน้อยใจว่าจะอะไรกับเขานักหนา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำให้มันถูกต้องนะ เพราะเขาก็ให้เอาไปตรวจ ให้เอาไปทำทุกอย่างหมดแล้ว ตอนนี้คนจะมองแต่ว่าเราไม่เห็นทำอะไรสักอย่าง ได้แต่พูด แต่จริงๆ แล้ว เราให้ไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่รอกระบวนการและระยะเวลาเท่านั้นเองค่ะ
• ตอนนี้คนในครอบครัวหันมาช่วยกันแล้ว แบ่งหน้าที่กันยังไง?
กำหนดการในการแจกสมุนไพรของเรา เราจะแจกอาทิตย์แรกของเดือน โดยเราจะแบ่งการรับยาออกเป็น 4 รอบ รอบแรกจะเป็นผู้ป่วยเก่าที่มารับยาด้วยตัวเอง รอบสอง เป็นผู้ป่วยเก่าที่ให้คนอื่นมารับแทน รอบสามจะเป็นผู้ป่วยใหม่มารับยาด้วยตัวเอง และรอบสี่ จะเป็นผู้ป่วยใหม่ที่ให้คนอื่นมารับแทน
หน้าที่ของเราจะแบ่งกัน โดยคุณพ่อนอกจากจะผลิตสมุนไพรแล้ว เขาก็จะเป็นคนมาแจกเองด้วยตั้งแต่ 4 โมงเย็นของวันเสาร์ ไปจนถึง 10 โมงเช้าของวันอาทิตย์ด้วย
ส่วนคุณแม่ก็จะคอยคุมทุกอย่างทั้งในเรื่องยา คอยเช็กว่าเดือนนี้ยาพอไหม เพราะว่าบางทีเราได้แต่ทำ แต่เราก็ไม่ได้นับกันหรอก แม่ก็จะมาคอยนับ คอยดูถุง เขากลัวว่าถุงจะไม่แน่น แต่วันแจกแม่จะดูแลอยู่บนบ้านค่ะ
ส่วนหนูนอกเหนือไปจากการทำเพลงให้กำลังใจผู้ป่วยแล้ว หนูก็มีส่วนช่วยคุณพ่อทำตั้งแต่เรื่องกระบวนการการทำยา ช่วยดูสัดส่วนยา บรรจุ แล้วก็ช่วยดูที่บ้าน ทั้งเรื่องคิว เรื่องแถว ต้องไปจัดการ เพราะในบ้านเราก็มีกันแค่ 4 คน พ่อ แม่ พี่สาว แล้วก็เรา ก็ต้องช่วยกันบริหาร ต้องคอยประสานกัน ต้องคุยไลน์กันตลอดว่าเดือนนี้เราเจอปัญหาอะไรบ้าง พยายามปรับเพื่อให้คนไม่ต้องรอนาน
ในส่วนทีมจิตอาสา เราจะใช้คนเยอะมากไม่ได้ เพราะว่าสิ่งที่เราทำอยู่บนความไว้ใจ เราจะต้องเลือกคนที่เขาไม่คิดร้าย หรือไม่ได้เอายาไปทำไม่ดีด้วย จิตอาสาของเราแต่ละคนที่มาช่วย เขาไม่เคยได้เงินเลยนะคะ เขามาด้วยใจล้วนๆ ส่วนใหญ่คนที่มาช่วยจะเป็นพวกพี่ๆ ที่บางคนเขาทำงานประจำอยู่ด้วย เลิกงานเขาก็จะมาช่วยทำอีกแรงค่ะ
ตอนนี้เรามีจิตอาสาทั้งหมด 200 กว่าคน ซึ่งวันแจกเราต้องเตรียมทุกอย่างไว้หมดเลย ทั้งเรื่องยา เรื่องอำนวยความสะดวก เรื่องปฐมพยาบาลต่างๆ ก็จะมีทำแอมโมเนีย ทำยาหม่อง ฯลฯ หรือตรงคอมพิวเตอร์ตอนนี้ก็มี 20 เครื่อง จิตอาสา 20 คน แล้วก็จะมีเปลี่ยนอีก 10 คน ต้องทำตลอด ห้ามให้คนป่วยยืนรอ ซึ่งจิตอาสาทุกคนไม่มีใครได้นอนกันเลย ตั้งแต่วันศุกร์ เพราะวันศุกร์คนจะเริ่มมากันแล้วค่ะ อย่างตอนแจกจะมีพักเบรกกันแค่ 10 นาทีเพื่อกินข้าว กินน้ำเท่านั้นเองค่ะ
• จากที่ได้เข้าไปช่วยคุณพ่อ เราได้เห็นหรือได้สัมผัสอะไรบ้างคะ
ส่วนตัวแล้วคุณพ่อจะสอนอยู่เสมอว่าให้เรารู้จักให้นะ ต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดินบ้างนะ เขาก็พูดแบบนี้ตลอด สิ่งนี้เลยทำให้หนูเห็นคุณค่าของชีวิตคนมากขึ้น และเราก็ได้รู้ว่าสุดท้ายแล้วการไม่มีโรคเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
พูดตามตรงนะว่าหนูอยากให้ทุกคนมาเห็นภาพผู้ป่วยที่เขามารับยาจากมือเรา เพราะผู้ป่วยแต่ละคน พอเขารับยาไปแล้ว เขากำยาแน่นมากเลยนะคะ เพราะส่วนใหญ่คนที่มาคือก็หมดหวังแล้ว เป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว เราก็เหมือนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งแค่นั้นเองค่ะ มีบางคนเขาเข้ามากอดเรา บอกว่าเราทำให้เขาเหมือนมีชีวิตใหม่ มันเป็นภาพที่ติดตาและซาบซึ้งใจสำหรับหนูมากๆ
• ช่วยยกตัวอย่างเคสที่เดินทางมารับยาที่เราประทับใจให้ฟังหน่อยค่ะ
ยกตัวอย่างเคสหนึ่งที่หนูรู้สึกประทับใจเขามาก เขาเป็นชาวไทยใหญ่ พูดกะเหรี่ยง เขาจะมาตั้งแต่วันที่ 20 เลยเพราะว่าไม่ได้มีเงิน เลยต้องโบกรถมาเรื่อยๆ พอถึงวันรับยา เขาถามว่าขอยาเพิ่มได้ไหม ยาไม่พอ แต่เขาบอกว่าเขาไม่มีอะไรมาให้เลยนะ ครั้งแรกระหว่างนั่งรถมา เขาถักหมวกมาให้คุณพ่อ ทุกวันนี้ก็ยังมาทุกเดือน หลังๆ จะเอาผักมาให้ แต่ด้วยความที่ใช้เวลาเดินทางมาหลายวัน ผักด้านล่างมันก็เละหมดแล้ว แต่เราเห็นน้ำใจเขา
หรืออย่างเช่น ยายคนหนึ่งเขาก็บอกเขาไม่มีอะไรให้นะ เขาก็เลยเอาสายสิญจน์มาผูกข้อมือให้ก็มีค่ะ
อีกส่วนหนึ่งหนูได้เห็นว่ามากกว่า ‘ยา’ มันคือ ‘กำลังใจ’ เพราะบางทีคนที่มารับยาเป็นลูกที่ไม่เคยเจอหน้าพ่อแม่เลย ประมาณว่า ลูกอยู่กรุงเทพฯ แต่พ่อแม่อยู่อีสาน ลูกมาเอายา กลับไปหาพ่อแม่ พ่อแม่ดีใจกว่าได้ยาซะอีก เพราะได้เจอหน้าลูก คือมันเป็นกำลังใจ บางทีไม่เคยเจอหน้ากันหรือเราไม่เคยแสดงความรักอะไรต่อกันเลย อันนี้ก็เหมือนเป็นตัวแสดงความรักได้อีกทางหนึ่ง เพราะกว่าคุณจะได้ยา นี่คุณสุดยอดมากเลยนะ
• ในมุมกลับกัน ต้องพูดตามตรงว่าหลายคนก็มองว่าสิ่งที่หมอแสงทำไม่น่าเชื่อถือ! เหมือนกัน
เราไปห้ามให้ใครคิดยังไงไม่ได้หรอกค่ะ พ่อหนูเขาก็บอกตลอดนะว่าเขาไม่ได้บังคับใคร ใครมาขอเขาก็ให้ ปันน้ำใจให้ แล้วเขาก็ไม่เคยบอกว่าให้ออกมารักษากับเขา เขามีแต่บอกว่าให้ไปรักษากับแพทย์มาก่อน ถ้าเกิดแพทย์ไม่ไหวแล้ว หรือไม่มีเงิน ค่อยมาหาเขา หรือจะควบคู่กันไปก็ได้ ไม่ได้ว่าอะไร สุดท้ายจะดีหรือจะไม่ดีก็ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ดีกว่า เพราะเราก็บริสุทธิ์ใจทุกอย่าง เขาจะพูดแบบนี้ตลอด
เอาจริงๆ หนูก็ไม่รู้หรอกว่ายามันดีไหม แต่คนกินแล้วหายก็มี คนที่กินแล้วค่ามะเร็งลดลงก็มี คืออย่างที่บอกมันมีแต่สมุนไพรพื้นๆ จะมีแต่สมุนไพรทั้งนั้น ซึ่งเราก็มีข้อมูลเก็บไว้หมดเลยนะคะ ตอนนี้ก็ได้เกือบ 400-500 คนแล้วที่เขากินแล้วค่าเลือด ค่ามะเร็งลดลง บางคนก็ใช้ชีวิตปกติจากแต่ก่อนที่ต้องนอนติดเตียงก็มี
• คิดยังไงกับสิ่งที่คุณพ่อทำเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งมาตลอดระยะเวลาหลายปีบ้างคะ
หนูเคยสงสัยนะคะ อย่างค่าใช้จ่ายเขาก็ออกเองทั้งหมดเลย ก็จะมีเพื่อนคุณพ่อที่ช่วยสม่ำเสมอบ้าง เพราะบางคนกินแล้วดีขึ้น เขาก็อยากจะช่วย เนื่องจากมันมีกระถินพิมานที่จะราคาแพง แต่ตัวอื่นก็เป็นอะไรที่หาได้ค่ะ แต่ส่วนใหญ่คุณพ่อเขาจะไม่รับเงิน ถ้าจะให้เงิน เขาจะให้ไปบริจาคที่วัดแทน เพราะตอนนี้วัดก็เปิดเป็นที่พักให้นอนด้วยค่ะ
เพื่อนหนูก็ชอบถามเหมือนกันนะคะว่า “พ่อทำไปได้อะไร” “พ่อได้เก็บค่ารักษาไหม” “ได้เก็บค่ายาไหม” หนูก็บอกว่าไม่ได้เก็บหรอก คือคุณพ่อเขาอยากให้มองในมุมผู้ป่วยเป็นหลัก หนูมองว่าคุณพ่อเขาเป็นผู้ให้จริงๆ เขาบอกว่าเขาอยากช่วยคนป่วยไม่มีทางเลือก บางคนเขาไม่มีหนทาง แต่จะให้นอนหมดหวังอยู่บ้าน เหมือนนอนรอความตายมันก็ไม่ใช่ คนเรามีค่ามากกว่านั้น เพราะเวลาที่พ่อได้เห็นคนที่หมดหนทาง ยิ้มได้ มันคือที่สุดของเขาแล้วค่ะ
• แล้วเคยถามคุณพ่อไหมว่าสิ่งที่ทำไปได้อะไร
“ได้ใจคน” เขาจะบอกแบบนี้เสมอ ซึ่งหนูนับถือตรงที่เขาเป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจแบบนี้นะคะ คนอะไรโคตรใจนักเลงเลย ให้คนเป็นหมื่นๆ คนเข้ามาในบ้าน ซึ่งจริงๆ บ้านเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะให้คนแปลกหน้าเข้ามาด้วยซ้ำ แต่หนูงงว่าทำไมคุณพ่อเขาเป็นคนที่ใจกล้าขนาดนี้
แรกๆ ที่พ่อทำ คนมาไม่เยอะมากนะคะจะมีแค่ 20 คน หลังๆ ก็เริ่มขยับมาเป็นร้อย เป็นพัน จนเป็นหมื่นๆ อย่างล่าสุดก็มีคนมารับยาประมาณ 30,000 คนได้ค่ะ
จะว่าไปแล้วพ่อเปลี่ยนไปมากตั้งแต่เริ่มแจกยาให้กับคนเยอะขึ้น แต่ก่อนเขาก็เป็นคนตั้งใจอยู่แล้ว เขาไม่ค่อยท้อแท้กับอะไรง่ายๆ เขาสู้มาก ซึ่งถ้าหนูเป็นเขาแล้วต้องมารับกับกระแสลบอะไรอย่างนี้ หนูคงไม่ทำหรอก เพราะเราก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว เงินก็ไม่ได้
อีกอย่างเขาก็ทำงานหนักอยู่แล้ว กลับมาเขาก็ต้องมาทำสมุนไพรต่อ อย่างช่วงก่อนจะถึงวันแจกยา บางคืนหนูเห็นคุณพ่อไปหลับในห้องยาจนเราต้องไปตามเลยก็มี หรืออย่างบางทีตีหนึ่งตีสองหายไปไหนก็ไม่รู้ สรุปว่าไปหลับอยู่ในห้องยา ตอนนี้เขาอยู่ในห้องยาเยอะกว่าอยู่บ้านอีก ซึ่งพ่อเขาก็จะไม่ห่วงสุขภาพตัวเองเท่าไหร่ เดือนที่ผ่านมาตอนแจกก็มีจะวูบ แจกไม่ไหวเหมือนกันค่ะ ก็เลยต้องให้เพื่อนคุณพ่อมานั่งแจกแทน หนูรู้นะว่าพ่อเหนื่อย เพราะอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว บางทีหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ แต่เขาก็ยังจะฝืนตัวเอง เพียงเพราะไม่อยากให้คนรอ ห่วงคนอื่นแต่กลับไม่ค่อยห่วงตัวเอง
หนูยอมรับว่าเคยน้อยใจพ่อนะคะ อย่างแต่ก่อนเขาจะโทร.หาหนูเกือบทุกวันเลยเพราะหนูมาเรียนอยู่กรุงเทพฯ แต่พอเขาเริ่มทำยาเยอะขึ้น เราก็ไม่ได้คุยกันเลย กลับไปบ้านทีหนึ่งถึงได้คุยกัน แล้วพ่อก็ไม่ค่อยว่างด้วย ต้องเดินทางไปที่นั่นที่นี่ตลอด แต่พอทุกวันนี้ได้กลับไปช่วยงานเขา เราก็เข้าใจพ่อมากขึ้น
• ณ วันนี้เห็นว่าหมอแสงถูกรับรองว่าเป็นหมอพื้นบ้านแล้วใช่ไหมคะ ตรงนี้คิดว่าพอจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ไหมคะว่าสิ่งที่ทำมาไม่สูญเปล่า
ใช่ค่ะ แต่ว่ารับรองกับไม่รับรองก็ไม่ได้ต่างกันเลยนะคะ เพราะในใบรับรองก็จะมีเขียนระบุไว้ว่า ห้ามเชิงพาณิชย์ ห้ามขาย ห้ามแจกนอกสถานที่ แต่จริงๆ พ่อเคยคิดว่าอยากไปแจกทุกภาคเลยนะคะ คนจะได้ไม่ต้องเดินทางมาให้ลำบาก เพราะคนเดินทางไกล บางคนมาจากภาคเหนือ ภาคใต้กว่าจะมาถึง ต้องเดินทางมาก่อนตั้งหลายวัน แต่ว่ามันก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากว่ามันมีกฎข้อบังคับอยู่ เดี๋ยวผิดกฎหมาย แต่การที่ได้รับรองว่าเป็นหมอพื้นบ้านก็มีส่วนที่จะทำให้คนกินเชื่อมั่นขึ้นมาว่าเขาได้กินยาของหมอพื้นบ้านนะ เขาไม่ได้กินกันสุ่มสี่สุ่มห้านะ อะไรทำนองนี้ค่ะ
• ท้ายนี้เราอยากสานฝันในสิ่งที่คุณพ่อทำต่อหรือเปล่า
จริงๆ คุณพ่อไม่ได้บังคับนะคะ แต่หนูเคยบอกว่าถ้าหมดพ่อไป หนูไม่ทำนะ เพราะหนูไม่ใช่คนใจกล้าที่จะเอาคนเป็นหมื่นๆ เข้ามาในบ้านได้ขนาดนั้น หนูบอกเลยว่าหนูรับแรงกดดันขนาดนี้ไม่ไหวหรอก เพราะว่าเราเป็นผู้หญิงด้วย หนูขอไปในสายงานที่หนูเรียนมา ที่หนูอยากทำดีกว่า แต่ทุกวันนี้พ่อยังอยู่ แน่นอนว่าหนูก็จะช่วยเหลือเขาเต็มที่ สนับสนุนเขาให้เต็มที่ค่ะ
Profile ชื่อ สกุล : นางสาวกชกร แหเลิศตระกูล ชื่อเล่น : ตาลใจ วันเกิด : 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 อายุ : 22 ปี การศึกษา : กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะมนุษยศาสตร์ สาขาการท่องเที่ยว งานอดิเรก : ฝึกร้องเพลง, เดินทางท่องเที่ยว, ถ่ายรูป คติประจำใจ : พรสวรรค์ไม่สนุกเท่าพรแสวง รางวัลที่ได้รับ : -พ.ศ.๒๕๖๑ รางวัล “ลูกกตัญญู Best of Picty” จากเดลิมิเร่อร์ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ -พ.ศ.๒๕๖๑ ได้รับประกาศเกียรติคุณรางวัล “นาคราชทอง” ในโครงการทำความดี แทนคุณแผ่นดิน |
เรื่อง : วรัญญา งามขำ, พุทธิตา ลามคำ
ภาพ : กัมพล เสนสอน และอินสตาแกรม @tarnjai_