“ทนาย” เผย ฎีกาของฝ่ายพันธมิตรฯ ไม่ได้รับการพิจารณา เนื่องจากตามข้อกฎหมายห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง สืบเนื่องจากศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาเพิ่มข้อหาโดยที่โทษเท่าเดิม เป็นเหตุให้ต้องเข้าเรือนจำไม่ได้รอลงอาญา ด้าน “พิภพ” เผยหากเงินบริจาคได้มากพอ เล็งจ่ายให้ครอบครัวละ 1 หมื่นบาท ชี้หลายคนเดือดร้อนหนัก
วานนี้ (27 ก.พ.) นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนางรัศมี เพ็ญสุข ทนายความ ร่วมพูดคุยในรายการ “คนเคาะข่าว” ภายใต้หัวข้อ “ข้อเท็จจริงและแนวทางเยียวยาคดี NBT” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง “นิวส์วัน”
โดยทนายความกล่าวถึงแนวทางการต่อสู้คดีว่า ผู้บุกไป NBT มีจุดประสงค์เนื่องจาก NBT เสนอข่าวไม่ตรงความจริง ทุกคนมีจิตใจเดียวกันคือต้องการให้เสนอข่าวไม่บิดเบือน พอส่งฟ้องข้อหาที่ตั้งมาก็มีเป็นซ่องโจร คือการวางแผนนัดหมายเพื่อบุกเข้าไปทำความผิด, ก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง, บุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนและกักขังหน่วงเหนี่ยวทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งเราดูแล้วเรายอมรับว่าบุกเข้าไปจริง แต่เจตนาแค่ต้องการให้เสนอข่าวให้ถูกต้อง ไม่ได้กักขังหน่วงเหนี่ยว ไม่ได้ทำให้เเกิดความเสียหายทั้งสิ้น อัยการเป็นโจทก์ฟ้องเรา เราก็เอาเจตนาสู้ว่าไม่ได้หวังทำให้วุ่นวาย
ศาลชั้นต้นลงข้อหาซ่องโจร บุกรุกเคหสถาน ข่มขืนใจหมายประทุษร้าย แต่ยกฟ้องข้อหาก่อความวุ่นวาย กับ กักขังหน่วงเหนี่ยว เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์ ศาลลงโทษ 6 เดือนเป็นขั้นต่ำกับส่วนใหญ่ แต่บางคนก็มีเพิ่มจากนี้
มาถึงศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องข้อหาซ่องโจรเพราะไม่มีการนัดหมายหารือกัน แต่ลงข้อหาก่อความวุ่นวาย , กักขังหน่วงเหนี่ยว กับ บุกรุกเคหสถาน มีจำนวนข้อหาเพิ่ม แต่นับไปนับมาแล้วโทษก็อยู่ที่ 6 เดือนเท่าเดิม
พอศาลฎีกา ฝ่ายโจทก์ฎีกาให้ลงข้อหาซ่องโจรด้วย แต่แล้วศาลฎีกาก็ยกฟ้องข้อหานี้ไป จำเลยฎีกาว่าไม่มีเจตนาก่อความวุ่นวาย ขอให้รอลงอาญา เพราะมองในแง่ว่าเราไม่ได้เป็นโจร แต่เป็นเหตุทางการเมืองที่ต้องเข้าไป แต่เนื่องจากศาลอุทธรณ์แก้ความผิด คือเอาข้อหาซ่องโจรออก แล้วเอาข้อหาก่อความวุ่นวาย กับ กักขังหน่วงเหนี่ยวเข้ามา โทษเท่าเดิมแต่ข้อหามากขึ้น ตามกฎหมายก็เลยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงกับข้อกฎหมายต่างกัน ข้อเท็จจริง เช่น ฎีกาว่าขอให้รอลงอาญาหรือที่พยานโจทก์เบิกความมาไม่จริง ส่วนข้อกฎหมาย เช่น อายุความ
“พอเป็นข้อเท็จจริงศาลเลยไม่ได้หยิบยกฎีกาของเราขึ้นมาพิจารณาเลย ที่เราเขียนไปทั้งหมด ทำให้ต้องเข้าเรือนจำ เพราะฎีกาเราไม่ได้รับการพิจารณาซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย แล้วศาลฎีกาก็ยืนตามศาลอุทธรณ์” ทนายความระบุ
ด้าน นายพิภพ กล่าวว่า คนที่มาชุมนุมพันธมิตรฯมีทั้งคนหาเช้ากินค่ำ เกษตรกร แรงงาน และคนชนชั้นกลางที่มีตำแหน่งอาชีพต่างๆ ส่วนคนที่ยากจนมีความยากลำบากระหว่างการดำเนินคดีอย่างมาก แต่พี่น้องพันธมิตรฯก็ช่วยบริจาคตลอด เราก็ได้นำไปช่วย ตนไปเยี่ยมพี่น้องในเรือนจำ หลายคนไม่สามารถทำมาหากินได้ บางคนมีลูก จึงมีมติเอาเงินพันธมิตรฯสู้คดีจ่ายก่อน 3 พันต่อคนต่อเดือน ตอนนี้จ่ายชุดแรกไปแล้ว แล้วคิดกันว่าถ้ามีเงินเยอะพอควรจะจ่ายให้ครอบครัวละ 1 หมื่นบาท เพราะครอบครัวต้องเลี้ยงชีพขณะที่หัวหน้าครอบครัวไปอยู่ในเรือนจำ
ทนายความกล่าวเสริมว่า ขณะเดินเข้าเรือนจำมีน้องผู้หญิงคนนึงบอกว่ากำลังได้งานทำ กำลังจะผ่อนบ้าน แต่ต้องมาตกงานเข้าเรือนจำ ตนก็อึ้ง ทุกคนลำบากมาก
นายพิภพกล่าวอีกว่า ทุกคนไม่คิดว่าจะต้องติดคุก เพราะทุกคนบริสุทธิ์ใจ แล้วก็เป็นโอกาสในชีวิตที่จะออกมาต่อสู้ แต่แล้วก็ต้องมาโดนคดี รัฏฐะทำไม่ถูกที่เอาการเคลื่อนไหวของประชาชนไม่ว่ากลุ่มไหนก็แล้วแต่มาเป็นคดีอาญา แบบนี้ไม่เป็นธรรม