กำหนดงานวันอำลาของ อังสนา (นาครทรรพ) พันธุ์เจริญ
วันที่ 27 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2561
ณ วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ปากเกร็ด นนทบุรี
เสาร์ 27 มกราคม 2561
รดน้ำ 16.30 น. ที่ศาลา 2
เสาร์ที่ 27 - พุธที่ 31 มกราคม 2561
สวดอภิธรรม 19.00-20.00 น.
พฤหัสบดี 1 กุมภาพันธ์ 2561
มาติกาบังสุกุล เลี้ยงเพลพระ 11.00 น.
สลายสรีรธาตุ (ฌาปนกิจ) 14.00 น.
กรุณางดพวงหรีด พัดลม และต้นไม้
มีอาคารจอดรถที่วัดกว้างขวาง
**อังสนา (นาครทรรพ) พันธุ์เจริญ เป็นน้องสาวคนสุดท้องของ ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ นักรัฐศาสตร์และนักวิชาการอิสระ อดีตที่ปรึกษาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2561 สิริอายุ 73 ปี
ประวัติ คุณอังสนา (นาครทรรพ) พันธุ์เจริญ ชื่อเล่น “น้อย”
เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน 7 คน ของนายแพทย์อ้วน นาครทรรพ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรธานี 2 สมัย และสมาชิกขบวนการเสรีไทย
เป็นหลานคุณปู่ พระยาอดุลยเดชสยาเมศวรภักดีพิริยพาหะ (อุ้ย นาครทรรพ) เจ้าคุณเทศา (สมุหเทศาภิบาลปกครองมณฑลอุดร) และองคมนตรีในการปักปันดินแดนลุ่มแม่น้ำโขง) กับคุณย่าปาน (สุริยวรรณ)
เป็นน้องสาวสุดท้องที่รักของอาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ
จบการศึกษารัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมรสแล้วมีบุตรชาย 3 คน เคยรับราชการที่กระทรวงศึกษาธิการ และเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนวัดโสธร ที่มีบทบาทสำคัญให้โรงเรียนแห่งนี้มีหลักสูตรตั้งแต่อนุบาล-ม.6
ต่อมาได้ลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุ ภายหลังจากสามีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ต้องเป็น single mom และย้ายครอบครัวไปอยู่สหรัฐอเมริกา มีกิจการร้านอาหาร แต่ยังคงมีความรักผูกพันกับครอบครัว มีบ้านอยู่บริเวณเดียวกับบ้านอาจารย์ปราโมทย์
“พี่น้อย” เป็นคนมีน้ำใจโอบอ้อมอารี และคงเป็นเพราะพี่น้อยมีสายเลือดนักปกครองพี่น้อยจึงมีความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศไทยไม่วางเฉยเมื่อเห็นภัยมาใกล้ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
คำไว้อาลัยของลูกชายทั้งสามถึงแม่น้อย (อังสนา พันธุ์เจริญ)
“แม่น้อยเคยบอกลูกๆ อยู่หลายครั้งว่า แม่อยากให้ลูกแต่ละคนเขียนคำไว้อาลัยให้แม่อ่านตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ โอบอกกับแม่น้อยว่าจะรีบไปทำไมเพราะแม่น้อยเคยเล่าให้ฟังว่าหมอดูบอกว่าแม่จะอายุยืนถึง 92 โอเลยบอกว่าถ้าแม่น้อยอยู่ถึง 92 ลูกๆ อาจจะตายก่อนก็ได้นะ ปกติทุกวันที่โอกลับมาบ้าน แม้ว่าจะดึกแค่ไหนภาพที่ชินตาอยู่ทุกวันคือจะเห็นแม่น้อยยังง่วนอยู่กับสังคมเล็กๆ ของแม่น้อย ซึ่งมีสมาชิก 1,000 กว่าคนนั่นก็คือเฟซบุ๊ก พอแม่น้อยเห็นโอกับพิว แม่น้อยก็จะเดินมาถามทุกทีว่า "วันนี้มีอะไรมากินบ้าง" แล้วก็เดินมาดูทุกครั้ง ปากก็บอกว่า "แม่จะลดความอ้วน" แต่เกือบทุกทีที่เห็นอาหาร ถ้าของนั้นเป็นที่ถูกจริต แม่น้อยก็จะเดินไปเอาจานมาแล้วก็พูดว่า "กินก็ได้วะ ยอมอ้วนอีกวัน" แต่พออิ่มก็ไม่วายที่จะหันมาบอกพิวว่า " พรุ่งนี้อย่าทำมาอีกนะ" แม่น้อยคุยกับโอก่อนกลับเมืองไทยครั้งนี้ว่า ถ้าแม่กลับมาเราหาที่ไปเที่ยวกันดีกว่า สงสัยแม่น้อยจะติดใจตอนไปยุโรปกับโอ พิว ครั้งก่อน ที่ได้ขับรถเที่ยวไปถึง 10 ประเทศ ได้ดูวิวสวยๆ ที่แม่น้อยชอบและมีโอกาสได้ขับรถลอดอุโมงค์ทะลุเทือกเขาแอลป์ซึ่งมีความยาวกว่า 20 กิโลเมตร เราสามคนได้แต่ร้องว้าวๆ ลุ้นกันว่าเมื่อไหร่จะถึงทางออกซะที กลับไทยครั้งนี้เอกับโอขับรถมาส่งแม่น้อยที่ JFK เราได้กอดกันสามคนแม่ลูก คำสั่งสุดท้ายที่แม่น้อยพูดคือ "อยู่กันดีๆ นะ " ซึ่งเป็นคำนิยมสำหรับสั่งลาทุกครั้งที่แม่น้อยจะต้องเดินทางไกลไปต่างประเทศ เอกับโอยืนส่งแม่น้อยอยู่ด้านนอกจนแม่น้อยเดินลับตาไป และไม่เคยคิดเลยว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่ลูกต้องจากกันตลอดกาล ระหว่างอยู่เมืองไทยแม่น้อยบ่นว่าแม่ไอมากต้องไปหาหมอ และมีครั้งหนึ่งที่ถ่ายรูปเท้าที่บวมส่งมาให้ดู แล้วบอกว่าแม่เท้าบวม ไม่รู้เป็นอะไร ต้องไปหาหมอ ลูกๆ จึงบอกให้แม่น้อยไปตรวจให้ละเอียดเลย เพราะเท้าบวมมีสาเหตุจากโรคอันตรายหลายโรค จนถึงวันก่อนที่แม่น้อยจะจากพวกเราไปอย่างไม่มีวันกลับ เรายังแชตกันทางไลน์ถึงเรื่องคนครัวที่ร้าน แม่น้อยจึงค่อนข้างจะเครียด ถึงปากจะชอบบอกว่าไม่เครียดไม่เครียดก็ตาม ตอนนั้นเวลาตี 4.44 โต้งถามแม่น้อยในไลน์กลุ่มว่า "อาน้อยได้นอนยังครับ" ตี 4.51แม่น้อยตอบโต้งไปว่า"ยังเลย หลับได้งัย" ตี 4.53 "มิน่าวันจันทร์ใจมันหวิวๆ พิกล ไม่ได้ไปซื้อของเลย ไปแต่หาหมอ" จากนั้นก็ได้หยุดคุยกันแต่แม่น้อยคงยังไม่ยอมนอน ทั้งๆ ที่โอบอกให้แม่น้อยนอนพักผ่อน จนเวลา 6.47 ตอนเช้า "หาในบ้าน 669 นะ สมุดบัญชีจ่ายเงินอาทิตย์" นั่นคือประโยคสุดท้ายที่แม่น้อยพิมพ์ส่งให้ลูกๆ ไปจัดการธุระให้เรียบร้อย และไม่มีใครได้รู้มาก่อนเลยว่าแม่น้อยจะนัดเพื่อนให้พาไปไหว้พระที่อยุธยาต่อ จนเวลาบ่าย 3.58 ของวันที่ 25 ตามเวลาเมืองไทย โอ๊ตโทรมาร้องไห้เสียงเครือๆ ในใจโอไม่อยากจะคิดเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ใจเริ่มสั่นระรัว โอ๊ตบอกว่า "แม่น้อยไม่อยู่กับเราแล้วนะ " โอบอกว่า "ไม่จริง ทำไมเค้าช่วยแม่น้อยไม่ได้ ไหนขอดูแม่น้อยหน่อย" โอ๊ตจึงเปิดเป็นวีดีโอคอลแล้วหันไปถ่ายรูปแม่น้อย โอร้องไห้ออกมาทันที แล้วยกมือไหว้แม่น้อยในภาพ บอกให้แม่น้อย ตื่น และโอก็ยังส่งไลน์ไปหาแม่น้อยอีกบอกให้ "ตื่นๆๆๆๆ" ไม่มีเสียงเตือนไลน์ตอบกลับ แม่น้อยจากพวกเราไปแล้วจริงๆ อยากให้มันเป็นแค่ความฝันมากๆ เพราะแม่น้อยเป็นคนแข็งแรงเดินเที่ยวได้เป็นกิโลๆโดยไม่มีคำว่าเหนื่อยเลย แล้วทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับแม่น้อยได้ ร่างแม่น้อยนอนนิ่งมีเครื่องช่วยหายใจเสียบอยู่ในปาก โอ๊ตบอกแม่น้อยไม่กลับมาแล้ว ตัวเย็นแล้ว เค้าช่วยกันปั้มหัวใจอยู่หลายที แต่แม่น้อยก็ไม่กลับมา ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วและกระทันหันมากๆ จนลูกๆไม่ทันได้ตั้งตัวเตรียมใจเลย แม่น้อยจากไปอย่างสงบโดยไม่ได้สั่งเสียอะไรไว้กับใครเลย ลูกๆ ทั้งสามคนอยู่กันคนละที่ แต่คิดว่าในเวลานั้นเราทุกคนต่างร้องไห้เสียใจกับการจากไปอย่างกระทันหัน ทั้งๆ ที่แค่อีก 7 วันแม่น้อยก็จะกลับมาอเมริกาแล้ว แม่น้อยเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง แม่น้อยเลี้ยงลูกๆ มาโดยลำพังหลังจากพ่อเหม่งจากพวกเราไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนั้นเออายุเพียง 5 ขวบ โอ 3 ขวบ โอ๊ต 1 ขวบไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อเลย จากนั้นแม่น้อยก็ทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่เลี้ยงลูกๆ มาอย่างดี แม่น้อยเป็นผู้หญิงแกร่ง ใครมีอะไร ลูกแม่ก็ต้องมี หรือมีมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำไป แม่น้อยเลี้ยงลูกแบบไม่เคร่งครัดมากนักแต่ก็ไม่ถึงกับปล่อยปละละเลย แม่น้อยยังสั่งให้พวกเราทำความสะอาดบ้าน ซักรองเท้ากับถุงเท้านักเรียนเอง และกำหนดเวลาให้พวกเราทำการบ้านอ่านหนังสือทุกวัน ถึงจะไม่ได้จ้ำจี้จ้ำไชมากนัก แต่ลูกๆ ทุกคนคิดว่าพวกเราได้รับความเข้มแข็งมาจากแม่น้อย แม่น้อยมีเพื่อนเยอะเป็นที่รักของคนทุกคน เราสามคนอยากบอกแม่น้อยว่าแม่น้อยไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้ว ลูกๆ ของแม่น้อยมีความแกร่งอยู่ในตัว ปัญหาใดๆ ที่ผ่านเข้ามาจะหนักหรือเบา พวกเราสามารถผ่านมันไปได้แน่นอน แม่น้อยเป็นตัวอย่างของความอดทน ความมีชีวิตที่เรียบง่าย กินง่ายอยู่ง่ายจนลูกๆ ได้ซึมซับนิสัยเหล่านั้นมา หลับให้สบายนะครับแม่น้อยที่รักของลูกๆ ไปเป็นนางฟ้ากลับสู่สรวงสวรรค์เหมือนที่เพื่อนๆ และลูกศิษย์ของแม่น้อยบอก แต่สำหรับเราสามคน แม่น้อยเป็นยิ่งกว่านางฟ้า ความเป็นแม่ของแม่น้อยนั้นยิ่งใหญ่นัก แม่น้อยยังอยู่ข้างๆ ลูกและคอยช่วยเหลือพวกเราตลอดไม่ว่าเรื่องใด แม่น้อยจึงเปรียบเหมือน Wind Beneath our Wings พวกเรารักแม่น้อยสุดหัวใจ ถึงแม้จะมีดื้อบ้างงอนกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา ต่อจากนี้พวกเราไม่มีลมพยุงใต้ปีกอีกแล้ว แต่พวกเราได้โตขึ้นเปรียบดั่งนกที่เติบใหญ่ มีปีกที่แข็งแรง สามารถบินไปไหน ไกลแค่ไหนก็ได้ภายใต้ท้องฟ้านี้ โดยมีแม่น้อยคอยมองพวกเราจากข้างบนนั้น
พวกเรารักแม่น้อยมากที่สุดในโลกครับ
เอ-โอ-โอ๊ต
26 ม.ค. 2561”