บรรยากาศประชาชนจากทั่วสารทิศเดินทางมาร่วมกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
วันนี้ (16 ส.ค.) บรรยากาศการไว้อาลัยและกราบสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 287 ตลอดทั้งวันยังคงมีประชาชนจากทั่วสารทิศทั้งกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด เดินทางมาสักการะพระบรมศพอย่างเนืองแน่น ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น
นางตอบ ปุดประโคน เดินทางมาพร้อมกับญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้าน รวม 6 คน จาก จังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ดีใจมากที่ได้มากราบสักการะพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ ๙ ที่จริงอยากจะมานานแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสเดินทางมาวันนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เดินทางมากรุงเทพมหานครด้วย ซึ่งขณะที่ขึ้นกราบเบื้องหน้าพระบรมโกศ ได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์ท่านคุ้มครองคนไทย และประเทศไทยให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป
“ที่ผ่านมา ไม่เคยมีโอกาสได้ชื่นชมพระองค์ท่านเลยซักครั้ง แต่ติดข่าวสารทางทีวีมาโดยตลอด ประทับใจในพระราชกรณียกิจที่พระองค์ทรงทำเพื่อประชาชนคนไทย และโดยส่วนตัวยังได้น้อมนำสิ่งที่พระองค์สอนมาใช้ในการประกอบอาชีพการเกษตรด้วยการทำปุ๋ยหมักใช้เองตามที่พระองค์ท่านเคยตรัสไว้ อีกทั้งยังนำสิ่งที่พระองค์ทรงสอนมาเป็นแบบอย่างในการสอนลูกๆ ทั้ง 5 คนให้เดินตามรอยพระองค์ท่านด้วย” เกษตรกรจากจังหวัดบุรีรีมย์กล่าว
โดย นายสพโชค บุญญแพทย์ เล่าว่า แม้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองและเพื่อนพนักงานในบริษัทจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ร่วมเป็นเจ้าภาพในพิธีบำเพ็ญกุศลมาแล้ว แต่ก็ตั้งใจว่าอยากพาภรรยาและลูกๆ มาถวายสักการะพระบรมศพพร้อมกันทั้งครอบครัวให้ได้สักครั้งจึงมาในวันนี้ ทั้งนี้ เจ้าตัวเล่าว่าได้น้อมนำบางส่วนของในหลวง รัชกาลที่ ๙ มาใช้ในการดำเนินชีวิต เช่น การพยายามทำตัวเองให้เป็นคนดีของสังคมโดยไม่เบียดเบียนคนอื่น การใช้สติและมีเหตุมีผลในการแก้ไขปัญหาให้ตรงประเด็น เพราะหากแก้ไขไม่ตรงประเด็นอาจจะทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมาอีกก็ได้
ฝ่ายแม่บ้าน นางจันทนา บุญญแพทย์ เผยความรู้สึกหลังจากได้กราบพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ ๙ ว่าส่วนหนึ่งยอมรับว่าเศร้าและเสียใจที่พระองค์เสด็จสวรรคต แต่อีกใจก็ยอมรับว่าพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมานานแล้ว คงถึงเวลาที่พระองค์ที่จะทรงได้พักแล้ว จากที่ได้เห็นการทรงงานของพระองค์ท่าน เพื่อช่วยเหลือประชาชนคนไทยรวมถึงทั่วโลกมาตลอดระยะเวลาที่พระองค์ทรงราชย์มานั้น เธอเป็นอีกหนึ่งคนที่น้อมนำเรื่องการแบ่งปัน และการช่วยเหลือสังคม ตามแบบในหลวง รัชกาลที่ ๙ มาใช้ตามกำลังและโอกาสของตัวเอง ขณะเดียวกันก็สอนให้ลูกๆ ให้ยึดปฏิบัติในข้อนี้เช่นกัน นอกเหนือจากเรื่องความพอเพียง
นางสาวปิยาภรณ์ จินดารักษ์ อายุ 35 ปี นักประชาสัมพันธ์และนักการตลาดอิสระ เล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือหลังจากเข้ากราบพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ ๙ ครั้งแรก ว่าการได้เกิดมาเป็นคนไทยถือว่าตัวเองโชคดีมากแล้ว แต่การได้เกิดมาในแผ่นดินในหลวง รัชกาลที่ ๙ ได้รู้จักพระองค์ ได้รักพระองค์ถือว่าเป็นความโชคที่สุดในชีวิต
“สำหรับตัวเองไม่ได้มองในหลวง รัชกาลที่ ๙ ว่า เป็นพระมหากษัตริย์แต่พระองค์ทรงเป็นเหมือนพ่อ ทรงดูแลประชาชนคนไทยด้วยความรักซึ่งรับรู้ได้ว่าเป็นความรักอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่ทรงทำเพียงแค่หน้าที่เท่านั้น ดังนั้น จึงคิดว่าการกราบพระบรมศพในครั้งนี้ของตัวเอง จึงไม่ใช่เป็นหน้าที่แต่เป็นจิตสำนึกที่ต้องมาแสดงความรักต่อพ่อ และถึงแม้ว่าจะมาที่วังเพียงครั้งเดียวแต่ในชีวิตประจำวัน หากมีโอกาสได้ดูข่าวพระราชสำนัก ตัวเองจะตั้งจิตอธิษฐานแล้วก้มลงกราบพระองค์ท่านผ่านทีวีทุกครั้ง นอกจากนี้ ในส่วนของการดำเนินชีวิตทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวนั้น จะมองพระองค์ท่านเป็นต้นแบบเรื่องการปิดทองหลังพระ และความไม่ท้อเวลาที่ทรงทำสิ่งใดแล้วไม่มีใครเห็น ขณะเดียวกันทรงไม่เคยรับสั่งให้ใครเปลี่ยนแต่ทรงทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง” นางสาวปิยาภรณ์ จินดารักษ์ กล่าว