xs
xsm
sm
md
lg

ยังมีต่อ! มหากาพย์ 8 ตำรวจเลว นอกจาก “ยัดยา-ปล้นทรัพย์” ยังเรียกนักโทษมาให้การเท็จ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


มหากาพย์ยังไม่จบ ตำรวจ 8 นาย ยัดยาเสพติดและปล้นทรัพย์สองผัวเมียชาวแม่กลอง พบสารวัตรและดาบตำรวจให้การคนละเรื่อง อึ้งกันทั้งศาล พยานโจทก์ย้ำหน้าบัลลังก์ “ให้เบิกความปรักปรำจำเลย” ผงะเอกสารจับกุมกับคำร้องฝากขังต่อศาลต่างกัน พนักงานสอบสวนตอบสั้นๆ “พิมพ์ผิด”

หลังจากที่ MGR Online ตีแผ่คดีฉาวโฉ่สะเทือนวงการสีกากี ที่ตำรวจ 8 นาย ยัดยาเสพติดและปล้นทรัพย์ นายตูน และ น.ส.เปิ้ล (นามสมมติ) สองสามีภรรยาชาว จ.สมุทรสงคราม และได้ขอความช่วยเหลือ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เพื่อเยาวชนและสังคม แต่ศาลจังหวัดสมุทรสาครยกฟ้องสามี ส่วนภรรยาก่อนหน้านี้ศาลสั่งจำคุก 4 ปี แต่ก็ได้รับการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ ส่วนตำรวจ 8 นาย ถูกแจ้งความที่ สภ.เมืองสมุทรสงคราม ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และได้ส่งเรื่องมาถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เรียบร้อยแล้ว

อ่านประกอบ : มหากาพย์! ตำรวจเลว “ยัดยา-ปล้นทรัพย์” สองผัวเมียวัยรุ่น ทนายสู้คดีจนสามีพ้นคุก

นายษิทรา เปิดเผยต่อถึงเบื้องหลังที่ตำรวจชุดจับกุม 8 นาย พยายามที่จะไม่ให้แพ้คดี เพราะจะมีผลในคดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ที่ยังอยู่ใน ป.ป.ท. จึงไม่ว่าจะเป็นการทำเอกสารใหม่ขึ้นมา พยานที่เพิ่มมา หรือการทำให้ศาลเชื่อว่า นายตูน และ น.ส.เปิ้ล เป็นเครือข่ายยาเสพติด โดยการจัดฉากจับกุมซ้ำเพื่อนำผลคดีไปใช้ในคดีที่สมุทรสาคร รวมทั้งกรณีที่สารวัตรซึ่งเป็น 1 ใน 8 ชุดจับกุม เข้าไปเยี่ยมในเรือนจำ ยื่นข้อเสนอ นายกันต์ (นามสมมติ) ให้เบิกความให้ในคดีที่นายตูน และ น.ส.เปิ้ล ขึ้นศาล เพื่อให้นายกันต์ได้รับโทษลดลง โดยให้เซ็นเอกสารฉบับหนึ่ง หลังการจับกุมผ่านไป 1 เดือน และศาลจังหวัดสมุทรสาครตัดสินได้รับการลดโทษต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด คือ การทำขยายผลช่วยราชการจับผู้ค้ารายอื่น

ย้อนกลับไปวันสืบพยานศาล ต้องสู้คดี 2 รอบ ใน 2 บัลลังก์ การสืบพยานคดี น.ส.เปิ้ล เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2560 อัยการโจทก์เบิกพยาน 4 ปาก คือ ชุดจับกุม ได้แก่ สารวัตร ดาบตำรวจ นายกันต์ และพนักงานสอบสวน ส่วนฝ่ายจำเลย อ้างพยานหลายปากทั้ง น.ส.เปิ้ล นายตูน แม่บ้านที่ปั๊มน้ำมัน ปตท.ธวัชภิญโญ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสงคราม พี่สาว น.ส.เปิ้ล และออกหมายเรียกรองผู้กำกับ 1 ใน 8 มาให้การบนศาล แต่ให้มาเป็นพยานจำเลยเพิ่มเติมอีก 1 คน ในช่วงเช้าโจทก์สืบพยานคู่ก่อน

พยานปากแรกเป็นสารวัตรในชุดจับกุม ระบุว่า จับนายกันต์มา นายกันต์โทรศัพท์สั่งซื้อยาจากนายตูน นัดไปรับปั๊ม แอล.พี.จี.ขาออก ต.นาโคก อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร ไปถึงเจอ น.ส.เปิ้ล นั่งคร่อมจักรยานยนต์อยู่ จับกุม น.ส.เปิ้ล ได้ น.ส.เปิ้ล บอกไปจับสามีตนด้วย ยืนขายยาอยู่ปั๊มน้ำมันบางจาก ถัดไปแค่ 2 กิโลเมตร ถัดมาอีก 2 ชั่วโมง ก็ไปถึงปั๊มบางจากที่นายตูนยืนอยู่ นายตูนรอให้มาจับกุมอยู่แล้ว ตำรวจลงไปจับกุมทั้งคู่รับสารภาพ พาขึ้นรถไปโรงพัก ทั้งคู่ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน ทำงานสำเร็จอีก 2 คดี เพิ่มสถิติคดีให้โรงพัก ผู้บังคับบัญชาชื่นชม

- “สารวัตร-ดาบตำรวจ” ให้การคนละเรื่อง พิรุธเรื่องสายลับ-โทรศัพท์ล่อซื้อ

เมื่อทนายความจำเลยถามค้าน พบว่า ก่อนจับจำเลย สารวัตรกล่าวว่ามีสายลับ เป็นผู้ชายอายุประมาณ 30 ปี มาแจ้งข้อมูลว่าจำเลยค้ายาก่อนเกิดเหตุ 7 วัน แต่สายลับไม่เคยพบตัวสารวัตรมาก่อน เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกวันมาแจ้งเลย แต่ดาบตำรวจกลับเบิกความตอบคำถามว่า สายลับคนนี้เคยเข้ามาแจ้งข้อมูลหลายครั้งแล้ว และเคยเห็นและรู้จักกับสารวัตร ขณะเดียวกัน สารวัตร กล่าวว่า พอได้ข้อมูลจากสายลับ ได้รายงานให้รองผู้กำกับฯ จึงให้สารวัตรไปสืบข้อมูลเพิ่มเติม แต่สารวัตรกับทีมงานไม่มีใครไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเลย จนถึงวันจับกุม ความหมายคือ ไม่มีการไปสืบอะไรนับตั้งแต่สายลับมาบอก ขณะที่ดาบตำรวจให้การว่า หลังจากได้ข้อมูล ดาบตำรวจได้ออกไปหาข่าว โดยรายงานสารวัตรให้รู้ตลอด

นอกจากนี้ สารวัตรกล่าวว่า ยอมรับว่า ก่อนจับนายตูน นายตูนไม่เคยมีข้อมูลว่าจะเคยไปยุ่งกับยาเสพติดมาก่อน จับนายกันต์ได้ในวันเกิดเหตุ นายกันต์ได้ติดต่อนายตูนเพื่อสั่งซื้อยาเสพติด เมื่อทนายจำเลยถามว่า ตอนที่เขาโทรศัพท์คุยกัน มีเจ้าหน้าที่ใครฟังบ้าง เปิดลำโพงหรือไม่ เพราะเป็นการล่อซื้อ สารวัตรกล่าวว่า ไม่ได้เปิดลำโพง แต่มีจ่า กับสิบตำรวจ เอาหูแนบฟัง ส่วนตัวสารวัตรเองกับดาบตำรวจ ไม่ได้ยินอะไรเลย แตกต่างจากดาบตำรวจตอบคำถามค้านว่า เปิดลำโพง เสียงปลายสายเป็นเสียงผู้ชาย ชุดจับทุกคนมานั่งฟัง และสารวัตรก็นั่งฟังอยู่ด้วย อีกทั้ง สารวัตรยอมรับว่า ไม่ได้ตรวจสอบรายงานการใช้โทรศัพท์ ระหว่างนายกันต์ กับนายตูน ซี่งคดีนี้แน่ชัดแล้วว่า ไม่มีการโทรคุยกันอย่างที่เบิกความ อีกทั้งทั้งสำนวนของนายกันต์ และนายตูน กลับไม่มีบันทึกการตรวจยึดโทรศัพท์แต่อย่างใด

- หึ่ง! ไม่เจอโทรศัพท์-ไม่ค้นบ้านจำเลย-ไม่ส่งที่บรรจุยาบ้าตรวจลายนิ้วมือ

จุดเกิดเหตุเป็นหน้าปั้ม ติดริมถนนพระราม 2 เส้นมุ่งหน้าไปเพชรบุรี ลักษณะจุดเกิดเหตุเป็นที่โล่งแจ้ง ไม่มีที่กำบัง ตำรวจเบิกความว่าไม่ได้มีการกำหนดหน้าที่ ให้ใครดักหน้า ดักหลัง ป้องกันการหลบหนี เมื่อรถตำรวจ 3 คันขับมาถึงไม่ได้เข้าปั๊ม แต่จอดห่างจากจำเลยยืนขายยาอยู่ไม่กี่เมตร รออยู่ในรถ 5 นาที โดยจำเลยยืนอยู่เฉยๆ ไม่มีความสงสัยอะไรเลยว่ารถใครมาจอด ตำรวจลงไปจับได้โดยละม่อม ทั้งที่โดยตรรกะแล้ว เจอรถคนแปลกหน้ามาจอดก็หลบหนี ตำรวจไม่ได้มีการวางกำลังป้องกันการหลบหนีด้วย จากรูปก็มีทางไปได้หลายทาง

สารวัตรเบิกความอีกว่า ไม่ได้ไปขอให้เด็กปั๊มที่เป็นผู้หญิง มาช่วยค้นตัว ซึ่งหากมียามากกว่านี้ สารวัตรก็เบิกความว่าคงไม่ทราบ นอกจากนี้ การจับกุมครั้งนี้ไม่เจอโทรศัพท์ และไม่ได้ไปค้นบ้านจำเลยต่อ ทั้งที่ทุกคดี ถ้าจับจริงไม่ได้ยัดต้องไปค้นที่พักต่อ เพราะอาจมีซุกซ่อนอยู่อีกก็ได้ ถ้าเจอก็ได้ผลงานไปอีก และตำรวจไม่ได้ส่งที่บรรจุยาไปตรวจลายนิ้วมือ

- สารวัตรถอดสี! เผย “คำเบิกความ” นายกันต์ งงไปเอามาจากไหน

มาถามถึงเอกสาร ทนายจำเลยถามว่า ทำไมไปให้นายกันต์เซนต์หลังเกิดเหตุเกือบ 2 เดือน สารวัตรตอบ ไม่ทราบ เมื่อถามว่า สารวัตรเป็นคนไปเบิกความให้นายกันต์ ได้ประโยชน์ตามมาตรา 100/2 หรือไม่ ตอบว่าใช่ พร้อมส่งคำเบิกความในคดีที่สารวัตรไปเบิกความคดีนายกันต์อ้างส่งศาล สีหน้าสารวัตรเริ่มวิตกว่าไปได้ข้อมูลมาจากไหน ถามว่า พยานไปหานายกันต์ที่เรือนจำวันที่ 18 เมษายน 2560 ใช่ไหม สารวัตรปฎิเสธ

- ฉี่แตก! สารวัตรหลบหน้า เห็นภาพ “ผู้กำกับสืบจังหวัด” พร้อมหลักฐานไปเคลียร์ครอบครัว น.ส.ตูน

ทนายจำเลยถามว่า พ่อของจำเลยเค้าไม่อยากเอาเรื่องพยานกับชุดจับใช่ไหม มีผู้ใหญ่ขอให้เคยไปคุยกับพ่อ แม่ พี่สาว ของ น.ส.เปิ้ล แล้วก็ น.ส.เปิ้ล นายตูน ที่ จ.สมุทรสงคราม ใช่ไหม สารวัตรรีบเถียงว่า ไปคุยกับพ่อ แม่ พี่สาว เท่านั้น น.ส.เปิ้ล นายตูน ไม่ได้คุยด้วย ถามต่อว่า วันคุยมีใครบ้าง สารวัตรเงียบ ไม่ตอบ ทนายจำเลยจึงกล่าวว่า มีสารวัตร รองผู้กำกับ แล้วก็ดาบตำรวจอีกคนใช่หรือไม่ สารวัตรพยักหน้า ไม่อยากตอบ ถามว่า วันนั้นที่คุย มีอีกคนใช่ไหม สารวัตรนิ่งไม่ตอบ ถามย้ำก็วันนั้นที่ไป มีพวกสารวัตร 3 คน พ่อ แม่ พี่สาว น.ส.เปิ้ล แล้วยังมีผู้กำกับสืบจังหวัดไปเคลียร์ให้ใช่ไหม สารวัตรไม่ตอบ

มาถึงตอนนี้ ศาลมาช่วยถาม “เอ้าท่าน ทนายถามตกลงมีหรือไม่มี” สารวัตรตอบเบาๆ ว่า “ครับ” ทนายจำเลยหยิบรูปผู้กำกับสืบจังหวัด กล่าวว่า ตำรวจคนนั้นคือคนนี้ใช่ไหม พยานมองภาพเบือนหน้าหนี แล้วตอบว่า “จำไม่ได้” จึงเลิกถามเรื่องนี้ต่อ ไปถามว่า แล้ววันนั้นไปคุยกันเพื่อกล่อมให้จำเลยถอนแจ้งความใช่ไหม สารวัตรตอบ “ไม่ใช่ครับ แค่ถามว่ามาฟ้องพวกเขาทำไม?” จึงให้ทีมงานหยิบคอมพิวเตอร์ เปิดหลักฐานสำคัญ ผมเปิดเทปบางอย่าง สารวัตรตกใจหน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด พร้อมพูดกับศาล ขอเข้าห้องน้ำ จึงให้ทีมงานทนายจำเลยไปเฝ้า ห้ามให้คุยโทรศัพท์ หรือคุยกับพยานอีกปากเป็นอันขาด เมื่อกลับมาอีกครั้ง สารวัตรกล่าวว่า ไม่ยืนยันว่าเป็นเสียงเขาเอง เนื่องจากฟังไม่รู้เรื่อง จึงบอกว่า จะส่งศาลให้ศาลพิจารณาเอง

- ถึงคิวนายกันต์ “จำชื่อคนติดต่อซื้อยาไม่ได้” โจทก์ต้องเอากระดาษไปชี้ชื่อ

เมื่อถึงคิว นายกันต์ พยานโจทก์ปากที่ 3 เมื่ออัยการโจทก์เริ่มถามให้นายกันต์เล่ารายละเอียดที่เกิดขึ้น จากที่สังเกตนายกันต์เป็นคนพูดน้อย และไม่ค่อยมั่นใจในการตอบ ขณะที่โจทก์ให้ยืนยันว่า วันนั้นได้โทร.ไปติดต่อซื้อยาจากใคร (โจทก์ใช้คำถามนำ คือบอกชื่อไปเลยไม่ได้) นายกันต์ ตอบเบาๆ ว่า นาย ... โจทก์ตกใจถามย้ำไปว่า “ไม่ใช่ๆ วันนั่นน่ะคิดดูให้ดี เราโทร.ไปสั่งยาจากใคร” นายกันต์ ก็พูดชื่อเดิมมาอีก (ศาลไม่จดบันทึก)

สรุปนายกันต์จำชื่อเล่นนายตูนไม่ได้ และนาย ... คือ คนที่โทร.ไปจริงๆ จนโจทก์ไม่รู้ทำอย่างไง ถามนำก็ไม่ได้ จึงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีชื่อนายตูนมา เป็นเอกสารที่นายกันต์เซ็นหลังเกิดเหตุ ตอนอยู่ในเรือนจำ แล้วก็ชี้ไปที่ชื่อ ลองนึกดูอีกทีนะชื่อนี้รึเปล่า นายกันต์ก็ไม่พูดชื่อ แต่พยักหน้า คราวนี้ศาลจดบันทึก เมื่อนายกันต์เบิกความตามที่ศาลจดบันทึก ก็เป็นในแบบที่เขาต้องการ คือ นายกันต์โทรศัพท์สั่งยาจากนายตูน นายตูนไม่อยู่ แต่ น.ส.เปิ้ล อยู่ น.ส.เปิ้ล ถูกจับเลยบอกให้ไปจับนายตูนต่อ

- นายกันต์ระบุ ไม่เคยรู้จัก “เปิ้ล-ตูน” แต่ได้ยินตำรวจยัดยา-บีบให้ “เปิ้ล” สารภาพ

มาถึงคิวทนายจำเลยถามค้านแล้ว จึงกล่าวกับนายกันต์ ว่า อยากให้พูดความจริงต่อหน้าศาล รู้แล้วว่าเรื่องจริงๆ ทั้งหมดเป็นยังไง ถ้านายกันต์โกหกศาลแล้วตนจับได้ นายกันต์ ก็อาจโดนคดีเบิกความเท็จ นายกันต์ ออกจากคุกเมื่อไหร่ นายกันต์ บอกว่าอีกปีกว่า จึงกล่าวว่า นายกันต์พูดความจริงออกมา จะได้กลับไปอยู่กับครอบครัว

ทนายจำเลยเริ่มถามนายกันต์ เริ่มเบิกความใหม่ พบว่า ต่างจากที่เบิกความต่ออัยการโจทก์โดยสิ้นเชิง โดยกล่าวว่า ส่วนตัวนายกันต์ไม่เคยรู้จัก น.ส.เปิ้ล มาก่อนเลย ก่อนหน้านี้ ไม่เคยเล่นเฟซบุ๊ก หรือติดต่อกับนายตูน และ น.ส.เปิ้ล มาก่อน นายกันต์ไม่เคยสั่งซื้อยาเสพติดกับนายตูน วันเกิดเหตุนายกันต์ถูกจับกุมตอนเช้า เห็น น.ส.เปิ้ล ถูกจับมาในห้องตอนบ่าย ในวันนั้นได้ยินว่าเปิ้ลพูดกับตำรวจว่า “ไม่มียาเสพติด ไม่ได้เกี่ยวข้อง และได้ยินนายตำรวจคนหนึ่งพูดว่า “ยาเป็นของเปิ้ล ให้รับสารภาพ เปิ้ลบอกว่าหนูถูกยัด”

- อึ้งทั้งศาล! นายกันต์ย้ำหน้าบัลลังก์ “เพื่อให้เบิกความปรักปรำ น.ส.เปิ้ล”

นายกันต์ เล่าต่อว่า วันที่ 18 เมษายน 2560 ก่อนมาเบิกความคดีนี้ไม่กี่วัน มีสารวัตรชื่อ ป. ซึ่งเป็น 1 ใน 8 ชุดจับกุมคดีนี้ เข้าไปหานายกันต์ในเรือนจำ เมื่อถามว่า ไปหาเพื่ออะไร ทั้งที่คดีจบแล้ว นายกันต์ตอบต่อหน้าบัลลังก์ศาล ว่า “เพื่อให้เบิกความปรักปรำ น.ส.เปิ้ล คือ จำเลยในคดีนี้” มาถึงตรงนี้ศาล อัยการ เริ่มตกใจ ทนายความจำเลยก็ตกใจ แล้วคิดในใจว่า ทำกันขนาดนี้เลยเหรอเพื่อให้ตัวเองรอด

ทนายจำเลยถามนายกันต์ต่อ นายกันต์ยอมรับตามเอกสาร ว่า สารวัตรคนเดิมไปเบิกความให้ตนได้ลดโทษในคดีที่นายกันต์เป็นจำเลย แล้วที่รับอาสามาเบิกความในศาลเป็นพยานโจทก์ เพราะตอนแรกกลัวว่าตำรวจจะไม่ช่วยในคดีตนเอง
เมื่อถามถึงเอกสารที่มีลายเซ็นนายกันต์ นายกันต์ ตอบว่า มีตำรวจเอาไปให้เซ็น ตำรวจได้พิมพ์ วางพล็อตเรื่องไว้หมดแล้ว มาถึงแค่ให้นายกันต์เซ็นเพียงเท่านี้

นายกันต์ เล่าต่อว่า วันถูกจับเจอนายตูนในห้องขังตอน 1 ทุ่ม นายกันต์เคยรู้จักนายตูนมาก่อน ตอนยังเป็นเยาวชน โดยนายตูนได้เล่าให้นายกันต์ฟังว่าถูกกลั่นแกล้ง หลังจากนั้น ก็ไม่เคยเจอนายตูนและ น.ส.เปิ้ล อีกจนวันขึ้นศาล นายตูน น.ส.เปิ้ล ก็ไม่เคยขอให้เบิกความช่วยแต่อย่างใด

เมื่อทนายจำเลยถามเสร็จ โจทก์ก็ลุกขึ้นมาถามติง แต่นายกันต์ก็ยังยืนยันว่า ไม่ได้อ่านก่อนลงลายมือชื่อ และพนักงานสอบสวนก็ไม่ได้อ่านให้ฟัง

- อึ้งได้อีก! พนง.สอบสวน บอกสั้นๆ “บันทึกจับกุม-คำร้องขอฝากขัง” พิมพ์ผิด

พอสืบพยานปากนายกันต์เสร็จ ก็เหลืออีกปากของโจทก์ คือ พนักงานสอบสวน ปากนี้ก็เบิกความตามเอกสารอยู่แล้ว ทนายจำเลยหยิบบันทึกจับกุม และคำร้องขอฝากขังขึ้นมา ที่เคยตั้งข้อสังเกตว่า เอกสาร 2 ใบนี้ข้อเท็จจริงต่างกัน บันทึกจับกุมบอกมีสายลับแจ้งว่า น.ส.เปิ้ล และ นายตูน ชอบมาขายยาที่ปั๊ม ตำรวจเลยขับไปดูเจอท่าทางมีพิรุธเลยจับ แต่คำร้องขอฝากขัง ไปพิมพ์ข้อเท็จจริงว่า ตำรวจออกตรวจพื้นที่ตามปกติ ไปเจอ น.ส.เปิ้ล และ นายตูน โดยบังเอิญ ทำท่าทางพิรุธก็เลยจับ

ทนายจำเลยหยิบเอกสาร 2 ใบมาถามพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนอึ้ง แล้วก็รวบรวมความกล้าตอบออกมาว่า “พิมพ์ผิด” และยอมรับว่า เอกสารที่นายกันต์เซ็น จัดทำขึ้นหลังจากจับกุม น.ส.เปิ้ล และ นายตูน 2 เดือน และเมื่อถามอีกก็ตอบมาว่า เอกสารดังกล่าวสามารถให้นายกันต์เซ็นได้ตั้งแต่วันที่ 15 - 17 กรกฎาคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่นายกันต์ถูกจับจนถึงวันไปฝากขังต่อศาล แต่ไม่ได้ให้เซ็น

- ศาลซัก “สร้อยข้อมือ-พระห้อยคอ” ไม่มีในบัญชีของกลาง บอก “เรื่องแบบนี้ไม่เคยรอลงอาญา เอาไปคืนเค้าซะ”

พนักงานสอบสวนยอมรับว่าแผนที่เกิดเหตุไม่มีลายเซ็น น.ส.เปิ้ล และ นายตูน เพราะทั้งคู่ไม่สมัครใจ พนักงานสอบสวนไม่ได้ขอกล้องวงจรปิดในปั๊มที่อ้างว่าเกิดเหตุ ไม่มีการส่งโทรศัพท์มาเป็นของกลางในคดี แต่ในส่วนคดีนายกันต์จะยึดโทรศัพท์หรือไม่จำไม่ได้

พนักงานสอบสวนยังรับอีกว่า ไม่ปรากฏสร้อยข้อมือ สร้อยคอพร้อมพระ ในบัญชีของกลาง ซึ่งเรื่องนี้อีกบัลลังก์นึงได้มีการซักร้อยเวรหนักมาก และได้พูดว่า “เรื่องแบบนี้ไม่เคยรอลงอาญา เอาไปคืนเค้าซะ” พอตอนหลังร้อยเวรเห็นท่าไม่ดีตอนอัยการถามติง เลยโบ้ยว่า “เอกสารสารวัตรเป็นคนทำรวบรวมส่งให้ตน”

- แม่นายกันต์กระวนกระวาย! คดีจบไม่สิ้น ถูกขยายฎีกาออกไปเรื่อย ทั้งที่จำคุกแค่ปีกว่า

นายษิทรา ยังเล่าอีกว่า คดีของนายกันต์ตัดสินไปนานแล้วให้ได้รับโทษแค่ปีกว่าๆ ซึ่งมีการอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น แต่พบว่า คดีนายกันต์มีการขยายฎีกาออกไปเรื่อยถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2560 หมายความว่า หากมีอภัยโทษในสิ้นเดือนกรกฎาคม นายกันต์ก็หมดสิทธิ เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด

แม่ของนายกันต์ทั้งไลน์ ทั้งโทรศัพท์มาหาหลายครั้ง ตนสงสารหัวอกคนเป็นแม่ ลูกชดใช้กรรมแล้ว ก็อยากให้ลูกได้รับโอกาสจากสังคม ออกมาแล้วทำตัวเสียใหม่ เริ่มต้นใหม่ มีชีวิตใหม่ แต่เหมือนกับระบบยังไม่อนุญาต




บันทึกการสนทนากับแม่นายกันต์ (นามสมมติ)
กำลังโหลดความคิดเห็น